ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

ไม่มีใครอยากป่วยหรอก ทั้งน้ำมูกไหล ระคายคอเพราะไข้หวัด ไปจนถึงอาการเป็นไข้ตัวร้อน และอาเจียนเพราะไข้หวัดใหญ่ การป่วยทำให้คุณไม่สบายตัวได้อย่างมาก เนื่องจากไม่มีวิธีรักษาไข้หวัดหรือไข้หวัดใหญ่ให้หายขาด คุณจึงทำได้เพียงรอให้เวลา 3 - 10 วันที่อาการป่วยไข้มักเกิดขึ้นนี้ผ่านไป แต่หากมีการดูแลรักษาตัวที่ดี คุณก็จะสามารถกลับมาหายดีได้เร็วขึ้นกว่าเดิม และทำกิจกรรมที่คุณโปรดปรานได้ [1]

วิธีการ 1
วิธีการ 1 ของ 4:

ดูแลตัวเองไม่ให้ป่วยมากกว่าเดิม

ดาวน์โหลดบทความ
  1. การออกไปข้างนอกตามปกติจะทำให้คุณป่วยมากขึ้น และยังเป็นการแพร่เชื้อหวัดไปให้คนรอบข้างด้วย คุณจึงควรอยู่บ้านและดูแลตัวเอง เพื่อที่จะได้ออกไปข้างนอกได้อีกครั้ง ให้นึกไว้เสมอว่าตอนเริ่มเป็นหวัดใหม่ๆ คือช่วงเวลาที่แพร่เชื้อได้ง่ายที่สุด สำหรับไข้หวัด มักเป็นช่วงเวลา 3 วันแรก หรืออาจจะ 4 – 5 วันแรก [2]
  2. การนอนคือขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้ร่างกายดีขึ้น เวลาที่ไข้หวัดจู่โจมร่างกายของคุณ ร่างกายจะต้องการพลังงานให้มากเพียงพอเพื่อต่อสู้กับไข้หวัด และการนอนช่วยให้พลังงานนั้น [3]
  3. แม้ว่าคุณจะออกกำลังกายทุกวันและพบว่ามันช่วยให้พลังเพิ่มขึ้น แต่การออกกำลังกายหนักระหว่างเป็นหวัดจะไม่ให้พลังเช่นนั้น เพราะมันจะยิ่งทำให้คุณอ่อนเพลียมากกว่าเดิม และอาจทำให้ระบบหายใจแย่ลงหรือเกิดปัญหาการคั่งของโลหิตได้ [4]
  4. วิธีนี้จะช่วยป้องกันคุณจากการได้รับเชื้อโรคเพิ่ม ซึ่งอาจนำไปสู่การป่วยหนักกว่าเดิมได้ และมันยังช่วยกำจัดเชื้อโรคที่สะสมอยู่บนมือด้วย [5] ล้างมือด้วยน้ำร้อน และถูด้วยสบู่อย่างน้อย 20 วินาที
    โฆษณา
วิธีการ 2
วิธีการ 2 ของ 4:

ดูแลตัวเองให้ดีขึ้นที่บ้าน

ดาวน์โหลดบทความ
  1. หากรู้ว่าคุณเป็นไข้ชนิดไหน ก็จะสามารถรักษาได้ถูกวิธี อาการไข้หวัดมักจะเกี่ยวกับบริเวณศีรษะของคุณ โดยจะมีอาการไอ จาม และน้ำมูกไหล ส่วนไข้หวัดใหญ่จะครอบคลุมทั้งร่างกาย อาการของไข้หวัดใหญ่คือ ปวดหัวและปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ หนาวสั่นไข้ขึ้น และอาเจียน แต่อาจจะไม่เกิดพร้อมกัน ไข้หวัดใหญ่จะทำให้รู้สึกป่วยมากกว่าไข้หวัดธรรมดา [6]
  2. บางครั้งการดื่มน้ำมากๆ จะช่วยกำจัดเชื้อโรคในระบบร่างกายคุณออกไป น้ำเปล่าคือตัวเลือกที่ดีที่สุด แต่คุณควรดื่มอะไรก็ได้ที่รสชาติถูกปาก สำหรับน้ำเปล่า ให้ดื่มน้ำแก้วใหญ่ทุกๆ 2 ชั่วโมง อาจลองดื่มพีเดียไลท์ (Pedialyte) หรือเครื่องดื่มอื่นๆ ที่ให้เกลือแร่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณอาเจียนหรือท้องเสีย [7]
  3. โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นไข้หวัด ชาจะช่วยบรรเทาอาการคั่งของเลือดและช่วยให้หายเจ็บคอ ชายังมีส่วนผสมของธีโอฟิลลีนซึ่งช่วยทำความสะอาดปอดและลดเสมหะอีกด้วย ชาทุกชนิดเป็นประโยชน์ทั้งสิ้น และหากใส่น้ำผึ้งด้วยก็จะช่วยเคลือบช่องคอและทำให้คุณรู้สึกสบายขึ้น [8]
  4. หากคุณมีความอยากอาหาร ให้เลือกกินธัญพืช ผลไม้ และเนื้อไม่ติดมัน แม้ว่าขนมหวานหรือฟาสต์ฟู้ดอาจจะน่ารับประทานในเวลานั้น แต่มันจะไม่ช่วยให้ร่างกายทำงานได้ดีและต่อสู้กับโรคหวัดด้วย ตัวเลือกอาหารที่ดีที่สุดขึ้นอยู่กับอาการที่คุณเป็นด้วย [9]
    • หากมีอาการเจ็บคอ ให้รับประทานอาหารอ่อน เช่น มันฝรั่งบด ไข่คน หรือซุปครีม
    • ในทางกลับกัน หากมีอาการปวดเมื่อยตามตัวให้รับประทานผักใบเขียว โยเกิร์ต และอะโวคาโด ซึ่งเป็นอาหารที่มีธาตุแม็กนีเซียมและแคลเซียมสูง
    • การดื่มน้ำจะช่วยเรื่องอาการปวดหัว บางครั้งคาเฟอีน เช่น กาแฟหรือชา อาจช่วยได้ในปริมาณน้อย แต่อย่าลืมคืนน้ำให้ร่างกายด้วยน้ำเปล่าหลังจากที่คาเฟอีนได้ทำให้คุณสูญเสียน้ำด้วย
    • ส่วนอาการเลือดคั่ง ให้ลองดื่ม “น้ำนมสีทอง” (Golden Milk) นำกะทิ 2 ถ้วยมาเคี่ยวบนเตา โดยใส่ขิงและขมิ้นลงไปอย่างละ 1 ช้อนชา และโรยด้วยพริกไทยดำ เคี่ยวเป็นเวลา 2-3 นาที แล้วจึงปล่อยให้เย็น 10 นาทีจึงค่อยดื่ม ขมิ้นมีสรรพคุณลดการอักเสบ และการดื่มก็เป็นวิธีที่ดีในการนำขมิ้นเข้าสู่ร่างกาย [10]
    • รับประทานซุปไก่ ภูมิปัญญาดั้งเดิมนั้นถูกต้องแล้ว ซุปไก่ช่วยให้หายจากอาการหวัดได้ มันจะช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน และเนื่องมาจากส่วนผสมของซุปมันจึงสามารถเพิ่มเกลือแร่และวิตามินหลายชนิด และยังช่วยลดเสมหะอีกด้วย [11]
  5. ไอน้ำร้อนจะช่วยละลายน้ำมูกและเสมหะ น้ำยังช่วยเพิ่มความสดชื่นให้ผิวในขณะที่ชำระล้างเชื้อโรคที่สะสมอยู่บนร่างกายที่ป่วยของคุณด้วย
  6. ใช้น้ำร้อนและเกลือปริมาณเต็มช้อน หรืออาจเติมไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ลงไปปริมาณเต็มช้อนด้วยก็ได้ คุณอาจใช้ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์เพียงอย่างเดียวก็ได้ แต่ระวังให้ใช้แค่จำนวนน้อยเท่านั้น (2 ช้อนชา) ในอุณหภูมิห้อง คุณอาจเติมน้ำเพื่อลดความเข้มข้นมันลงก็ได้ มันมีประสิทธิภาพในการช่วยกำจัดเสมหะ [12]
    โฆษณา
วิธีการ 3
วิธีการ 3 ของ 4:

ไปร้านขายยาเพื่อขอคำแนะนำ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. กินยารักษาไข้หวัดใหญ่หรือไข้หวัดตามร้านขายยา. มองหายาที่ตรงกับอาการที่คุณเป็น ตัวอย่างเช่น กินยาแก้ไอเพื่อรักษาอาการไอ หรือกินยาแก้ปวด หรือยาลดไข้ (เช่น แอสไพรินหรือไอบูโพรเฟน) เพื่อรักษาอาการปวดหัวหรือไข้ตัวร้อน อาการไอรักษาได้ด้วยการใช้ยาเดกซ์โทรเมทอร์แฟน ซึ่งเป็นส่วยผสมในยาน้ำแก้ไอและยาระงับซึ่งช่วยระงับอาการไอ ส่วนอาการเลือดคั่งให้กินยาที่มีส่วนผสมของยาไกวเฟนิซินและยาซูโดอีเฟดรีน หากมีข้อสงสัยให้ถามเภสัชกร [13]
  2. ร้านขายยานั้นมีผลิตภัณฑ์หลากหลายชนิดที่ช่วยละลายเสมหะและทำความสะอาดโพรงจมูก เช่น สเปรย์ยาลดอาการคัดจมูกไปจนถึงชุดอุปกรณ์ล้างจมูก (Neti Pod) อุปกรณ์ทำความสะอาดจมูกเหล่านี้ รวมทั้งอุปกรณ์ล้างจมูก (Neti Pod) อาจทำให้รู้สึกแปลกๆ ได้ (คุณจะต้องเทน้ำเกลือลงในจมูกรูหนึ่งแล้วมันจะไหลออกมาจากอีกรูหนึ่ง) แต่วิธีนี้เป็นประโยชน์จริงๆ ควรใช้น้ำบริสุทธิ์หรือน้ำกรอง (ไม่ใช่น้ำประปา) ในการทำสารละลายเกลือนี้ [14]
  3. อาการเจ็บคอจะดีขึ้นเมื่อได้อมยาแก้ไอ ซึ่งจะช่วยป้องกันไม่ให้คุณไอมากเกินด้วย ส่วนผสมในยาอมจะช่วยเคลือบช่องคอและทำให้คุณรู้สึกดีขึ้น อ่านฉลากก่อนด้วย คุณไม่ควรอมยาแก้ไอติดต่อกันมากเกินไปแม้มันจะมีรสชาติดีก็ตาม [15]
    โฆษณา
วิธีการ 4
วิธีการ 4 ของ 4:

ไปพบแพทย์เพื่อขอคำแนะนำ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. โทรหาบุคคลากรทางการแพทย์เพื่อขอคำแนะนำเพิ่มเติม. การคุยกับพยาบาลหรือผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์จะช่วยปรับเปลี่ยนแผนการรักษาให้ตรงจุด ผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ยังสามารถแนะนำยาบางตัวเป็นพิเศษหรืออาจออกใบรับรองแพทย์สำหรับนำไปร้านขายยาให้คุณได้ [16]
  2. ไปพบแพทย์หากมีอาการไข้หวัดใหญ่รุนแรงหรืออาการหวัดไม่ดีขึ้น. อย่าลังเลที่จะไป หากคุณมีอาการไข้สูง (เกิน 38.3 องศาเซลเซียสหรือ 101 องศาฟาเรนไฮต์) มีการหนาวจับสั่น รับประทานอาหารหรือดื่มอะไรไม่ได้ และมีเสลดหรือเสมหะเป็นเลือด อาการที่กล่าวมาทั้งหมดต้องได้รับการรักษาที่มากกว่าการดูแลตัวเองที่บ้าน [17]
  3. ทำตามขั้นตอนที่แพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์แนะนำ. หากคุณได้ใบรับรองแพทย์มา ก็ให้ปฏิบัติตามนานเท่าที่แพทย์แนะนำ หากแพทย์ต้องการให้มาตรวจเพื่อติดตามอาการ ก็ให้นัดเวลาให้เรียบร้อย แม้ว่าคุณจะรู้สึกดีขึ้นและไม่ต้องการยาหรือการตรวจอีก แต่คุณควรจะเชื่อผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ว่าพวกเขามีเหตุผลที่ดีแล้ว อย่าขัดขวางการพักฟื้นตัวของคุณเอง
    โฆษณา

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 3,538 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา