ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

โรคริดสีดวงทวารเป็นภาวะที่เส้นเลือดดำเกิดการโป่งพองออกที่เกิดขึ้นรอบๆ ทวารหนักทั้งภายในและภายนอก เกิดขึ้นเนื่องจากแรงกดที่เพิ่มขึ้นตรงเส้นเลือดดำบริเวณอุ้งเชิงกรานและไส้ตรงและมักมีสาเหตุมาจากอาการท้องผูก ท้องเสีย และถ่ายไม่ออก สามารถพบได้มากในผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป ซึ่งโรคริดสีดวงทวารสามารถสร้างเจ็บปวดและทำให้ชีวิตประจำวันของคุณเกิดความยุ่งยากและน่าอึดอัดได้ คุณสามารถทำตามขั้นตอนด้านล่างต่อไปนี้เพื่อช่วยบรรเทาอาหารริดสีดวงทวารให้ดีขึ้นได้โดยธรรมชาติ อย่างไรก็ตาม หากอาการยังคงไม่ดีขึ้นภายใน 4-7 วัน ควรปรึกษาแพทย์โดยทันที

ส่วน 1
ส่วน 1 ของ 3:

บรรเทาอาการเจ็บ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. การใช้ยาระบายเป็นประจำจะทำให้คุณติดเป็นนิสัยและส่งผลให้ระบบขับถ่ายอ่อนแอลงจนอาจนำไปสู่อาการท้องผูกเรื้อรังได้ [1]
    • หากต้องการกระตุ้นการขับถ่ายของคุณ ลองเปลี่ยนพฤติกรรมการทานอาหาร (อ่านต่อได้ในส่วนที่ 2) หรือทานอาหารเสริมสมุนไพรที่มีสรรพคุณเป็นยาระบาย (อ่านต่อได้ในส่วนที่ 3)
  2. โดยหลักการแล้วการนั่งแช่น้ำอุ่นคือการแช่บริเวณสะโพกในน้ำที่สูงเพียงไม่กี่นิ้ว แต่ถึงแม้ว่าคุณจะต้องการแช่น้ำทั้งตัวมากกว่า ผลลัพธ์ที่ได้นั้นก็ยังคงออกมาไม่แตกต่างกัน หากคุณต้องการนั่งแช่น้ำอุ่นตามวิธีการดั้งเดิม เพียงเปิดน้ำเติมในอ่างอาบน้ำให้สูงขึ้นมาเพียงไม่กี่นิ้วหรือหาซื้อกะละมังสำหรับแช่ก้นตามร้านขายยาหรือร้านขายอุปกรณ์การแพทย์ กะละมังสำหรับแช่ก้นบางยี่ห้ออาจมาพร้อมกับท่อน้ำและช่องระบายสำหรับหมุนเวียนน้ำตลอดเวลา ระบบนี้จะทำให้น้ำไหลเวียนเข้าออกอย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มความสะดวกในการนั่งแช่น้ำอุ่น อย่างไรก็ตาม ระบบนี้อาจไม่ได้สำคัญมากนัก เนื่องจากการใช้อ่างอาบน้ำก็สามารถให้ผลลัพธ์แบบเดียวกันนี้ การนั่งแช่ในน้ำจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดตรงบริเวณทวารหนัก จึงทำให้คุณรู้สึกผ่อนคลายและช่วยรักษาการบาดเจ็บของเนื้อเยื่อรอบๆ ทวารหนักให้ดีขึ้น [2] [3]
    • เติมเกลือเอปซอมลงไป 1 ถ้วยสำหรับน้ำเต็มอ่างหรือ 2-3 ช้อนโต๊ะสำหรับน้ำเพียงไม่กี่นิ้ว และควรแน่ใจว่าน้ำสำหรับแช่อุ่นพอดีและไม่ร้อนจนเกินไป ทำซ้ำ 2-3 ครั้งต่อวัน
    • เปิดน้ำอุ่นใส่อ่างอาบน้ำให้สูงขึ้นมาประมาณ 3 นิ้ว (15 ซม.) จากนั้นเติมเกลือเอปซอม 1 กำมือลงไปและผสมให้เข้ากันดี เมื่อเสร็จแล้วจึงลงไปนั่งในอ่างเป็นเวลา 15 นาทีโดยงอเข่าไว้ การงอเข่าเป็นการเปิดให้บริเวณทวารหนักให้สัมผัสถูกน้ำส่วนน้ำอุ่นจะช่วยให้การเจ็บปวดและการอักเสบบรรเทาลง
  3. เตรียมผ้าขนหนูสะอาดและนำไปแช่ในน้ำอุ่น (ที่ไม่ร้อนจนเกินไป) จากนั้นนำไปประคบตรงบริเวณที่เกิดริดสีดวงทวารไว้ประมาณ 10-15 นาที ทำซ้ำ 4-5 ครั้งต่อวัน [4]
  4. การประคบเย็นจะช่วยลดอาการบวมจากริดสีดวงทวาร โดยเตรียมแผ่นเจลสำเร็จรูปหรือน้ำแข็งใส่ในถุงพลาสติกและห่อไว้ด้วยผ้าแล้วนำไปประคบตรงบริเวณที่เกิดริดสีดวงทวาร [5]
    • พยายามประคบเย็นนานเพียง 5-10 นาทีต่อครั้ง รวมถึงหลีกเลี่ยงการประคบบนผิวหนังโดยตรง เนื่องจากความเย็นอาจก่อให้เกิดการบาดเจ็บบนผิวหนังของคุณ (เช่น ความเย็นกัด)
  5. การดูแลสุขอนามัยเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ที่เป็นโรคริดสีดวงทวารที่จะช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนต่างๆ อย่างการอักเสบหรือแผลพุพองตรงบริเวณเยื่อบุทวารหนักที่เกิดขึ้นจากความแห้งที่มากเกินไป เพื่อป้องกันไม่ให้ภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้เกิดขึ้น ให้คุณใช้ผ้าเช็ดแบบปราศจากกลิ่นเช็ดทำความสะอาดตรงบริเวณทวารหนักหลังการขับถ่ายทุกครั้ง [6]
    • ภายหลังการนั่งแช่ในอ่างหรือโดยทั่วๆ ไป ควรหลีกเลี่ยงการใช้กระดาษชำระหรือผ้าเช็ดเนื้อแข็งในการเช็ดทำความสะอาดตรงบริเวณทวารหนักและพยายามเช็ดทำความสะอาดด้วยวิธีที่เบาและนุ่มนวล การเลือกใช้กระดาษเช็ดสำหรับทารกเป็นวิธีหนึ่งที่ได้ผลดีและอ่อนโยนต่อผิวของคุณ
    • นอกจากนี้ยังควรหลีกเลี่ยงการใช้กระดาษชำระที่ผสมน้ำหอมหรือย้อมสี เนื่องจากสารเคมีที่ใช้ในการเติมกลิ่นหรือสีสามารถก่อให้เกิดการระคายเคืองได้
  6. ใช้สารกระชับรูขุมขนตรงบริเวณที่เป็นริดสีดวงทวาร. วิชฮาเซลเป็นสารสกัดจากธรรมชาติที่มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระและสารกระชับรูขุมขน มีส่วนช่วยในการบรรเทาอาการบวมและการบาดเจ็บของริดสีดวงทวาร รวมถึงช่วยลดอาการคันที่เกิดจากริดสีดวงทวารได้อีกด้วย คุณสามารถแต้มวิชฮาเซลได้บนริดสีดวงทวารโดยตรงโดยใช้สำลีก้อน [7] [8]
    • พยายามแต้มวิชฮาเซลอย่างน้อย 4-5 ครั้งต่อวัน หรือสามารถทำซ้ำได้บ่อยครั้งตามต้องการ
    • คุณสามารถเลือกใช้น้ำมันมะกอกอุ่นๆ แทนวิชฮาเซลได้ น้ำมันมะกอกสามารถทำหน้าที่เป็นสารหล่อลื่นอย่างดีที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ จึงมีส่วนช่วยในการเพิ่มความชุ่มชื้นตรงบริเวณที่เกิดริดสีดวงทวารได้เป็นอย่างดี
    • คุณยังสามารถประคบด้วยถุงชาอุ่นๆ เพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวดตรงบริเวณทวารหนักก็ได้เช่นกัน โดยเช็คให้มั่นใจว่าถุงชาที่นำมาใช้นั้นไม่ร้อนจนเกินไป ใบชาประกอบด้วยสารกระชับรูขุมขนที่มีส่วนช่วยในการลดอาการบวม ในขณะที่ความอุ่นของถุงชาสามารถช่วยบรรเทาอาการเจ็บได้เป็นอย่างดี
  7. ใช้เจลหรือโลชั่นที่ช่วยลดอาการคันและการบาดเจ็บ. หลังจากอาบน้ำและเช็ดตัวจนแห้งสนิทแล้ว ให้ใช้เจลว่านหางจระเข้หรือยาทา Preparation H ทาตรงบริเวณที่เกิดริดสีดวงทวารเพื่อลดอาการเจ็บและความไม่สบายตัว สามารถทาซ้ำได้บ่อยครั้งตามต้องการ [9] [10]
    • เจลว่านหางจระเข้ประกอบด้วยส่วนประกอบที่มีคุณสมบัติในการยับยั้งการติดเชื้อและช่วยฟื้นฟูบาดแผลเล็กๆ คุณสามารถใช้ว่านหางจระเข้สดจากต้นโดยตัดใบและปอกเปลือกออกเพื่อนำเนื้อออกมา หรือหาซื้อเจลว่านหางจระเข้บริสุทธิ์ 100 เปอร์เซ็นต์จากร้านขายยาทั่วไปก็ได้เช่นกัน
    • ยาทา Preparation H ประกอบด้วยปิโตรเลียมเจลลี่ น้ำมันแร่ น้ำมันตับปลาฉลาม และฟีนิลเอฟรีน โดยฟีนิลเอฟรีนมีฤทธิ์เป็นยาลดอาการบวมของเส้นเลือดและสามารถช่วยลดขนาดของริดสีดวงทวารได้ คุณสามารถหาซื้อยาทา Preparation H ได้ตามซูเปอร์มาร์เก็ตทั่วไป
  8. เตรียมบีทรูทและแครอทไว้ในตู้เย็นให้พร้อมใช้. นำบีทรูทและแครอทมาสกัดเป็นน้ำ จากนั้นใช้สำลีชิ้นหนาหรือผ้าก็อซแช่ในน้ำบีทรูทและแครอทแล้วนำไปเช็ดตรงบริเวณเส้นเลือดที่มีอาการบวม ผลการวิจัยพบว่าบีทรูทมีส่วนช่วยในการลดความดันโลหิตสูงรวมถึงช่วยลดการบวมของริดสีดวงทวารได้อีกด้วย [11]
  9. มีสมุนไพรมากมายหลายชนิดที่มีสรรพคุณเป็นยาระบาย ตัวอย่างเช่น
    • เซนนา : เป็นอาหารเสริมที่มีสรรพคุณในการทำให้อุจจาระอ่อนตัวลง คุณสามารถทานเซนนาในรูปแบบอาหารเสริมชนิดเม็ด (ตามคำแนะนำบนฉลาก) หรือจะเลือกดื่มเป็นชาก่อนนอนก็ได้เช่นกัน [12]
    • ซิลเลียม : เป็นอาหารเสริมที่มีสรรพคุณในการเพิ่มปริมาณอุจจาระและทำให้อุจจาระอ่อนตัวลง สำหรับผู้ใหญ่แล้วควรทานซิลเลียมประมาณ ½-2 ช้อนชาที่ละลายในน้ำเปล่า 250 มิลลิลิตรเป็นประจำทุกวัน (ส่วนผสมจะข้นขึ้นอย่างรวดเร็ว) หรือคุณอาจเริ่มจากการทานในปริมาณเพียง ½ ช้อนชาแล้วจึงเพิ่มเป็นอีก ½ ช้อนชาในวันถัดไปหากยังคงขับถ่ายไม่สะดวก [13]
    • แฟลกซ์ซีด : เป็นอาหารเสริมที่มีสรรพคุณในการเพิ่มปริมาณอุจจาระ คุณสามารถทานแฟลกซ์ซีดคู่กับอาหารต่างๆ อย่างซีเรียล สลัด ซุป และสมูทตี้ เพียงทานแฟลกซ์ซีดวันละ 2-3 ช้อนชาก็สามารถช่วยให้การขับถ่ายของคุณเป็นเรื่องง่ายขึ้น [14]
  10. มีวัตถุดิบในครัวมากมายที่คุณอาจไม่ทราบว่ามีส่วนช่วยในการรักษาโรคริดสีดวงทวาร ตัวอย่างเช่น
    • นำใบของมะระมาบดให้ละเอียดและทาทิ้งไว้ตรงบริเวณที่เกิดริดสีดวงทวารเพื่อลดอาการเจ็บปวดที่เกิดขึ้น [15]
    • ใช้เบคกิ้งโซดาแบบผงหรือแบบผสมน้ำจนเป็นเนื้อข้น (ผสมเบคกิ้งโซดา 1 ช้อนโต๊ะกับน้ำให้เข้ากัน) ทาทิ้งไว้ตรงเส้นเลือดที่มีอาการบวม พยายามอย่าทิ้งไว้นานเกิน 15 นาทีเนื่องจากเบคกิ้งโซดาอาจแข็งตัวและทำให้อาการแย่ลงแทนได้ [16]
    • เติมยางหรือน้ำจากต้นบันยันลงไปในนมสดประมาณ 5 มิลลิลิตรและดื่มวันละ 1 แก้วเป็นประจำทุกวัน (โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเช้า) เพื่อรักษาโรคริดสีดวงทวารให้มีอาการดีขึ้น
    • ผสมขิงและน้ำผึ้งเข้าด้วยกันแล้วนำไปต้มเพื่อสกัดนำสารสำคัญออกมาและเพิ่มรสชาติด้วยมะนาวหวานหรือใบโหระพา นำขิงผสมน้ำผึ้งมีส่วนช่วยในการขจัดสารพิษในร่างกายลดอุณหภูมิในร่างกายให้เย็นขึ้น รวมถึงช่วยกระตุ้นการไหลเวียนเลือดไปยังบริเวณที่เป็นริดสีดวงทวารอีกด้วย
    • ผสมน้ำผึ้ง 3 ช้อนชา พริกไทย 2 ช้อนชา และเฟนเนล 2 ช้อนเข้ากับน้ำเปล่า 500 มิลลิลิตรและนำไปตั้งไฟให้เดือดเพื่อสกัดนำสารสำคัญออกมา
  11. เติมน้ำมันหอมระเหยที่ต้องการ 2-4 หยดลงไปผสมกับน้ำมันพื้นฐาน 60 มิลลิลิตร เช่น น้ำมันแคสเตอร์หรือน้ำมันอัลมอนด์ ผสมให้เข้ากันและนำไปทาตรงบริเวณริดสีดวงทวารภายนอก คุณสามารถใช้น้ำมันหอมระเหยเพียงกลิ่นเดียวหรือเลือกผสมน้ำมันหอมระเหยได้ถึง 2-3 กลิ่น [17]
    • น้ำมันลาเวนเดอร์ช่วยในการบรรเทาอาการเจ็บและคัน
    • น้ำมันไซเปรสช่วยในการบรรเทาและรักษาอาการบาดเจ็บของเนื้อเยื่อ
    • น้ำมันทีทรีช่วยในการฆ่าเชื้อโรคและต้านการอักเสบ
    • น้ำมันอะโวคาโดช่วยในการเพิ่มความชุ่มชื้น บรรเทาอาการ และเร่งกระบวนการฟื้นฟู สามารถใช้ได้ทั้งเป็นน้ำมันพื้นฐานหรือนำไปผสมกับน้ำมันชนิดอื่นๆ
    โฆษณา
ส่วน 2
ส่วน 2 ของ 3:

ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการทาน

ดาวน์โหลดบทความ
  1. การป้องกันการขับถ่ายยากหรือขับถ่ายไม่ออกโดยการทำให้อุจจาระอ่อนตัวลงเป็นขั้นตอนสำคัญในการป้องกันและกำจัดริดสีดวงทวาร ซึ่งไฟเบอร์เป็นสารอาหารที่มีบทบาทสำคัญเป็นอย่างยิ่งในเรื่องนี้ ไฟเบอร์มีคุณสมบัติดูดซึมน้ำและเพิ่มขนาดอุจจาระ จึงช่วยให้คุณขับถ่ายคล่องตัวมากยิ่งขึ้น และยังช่วยลดอาการเจ็บในขณะขับถ่ายสำหรับผู้ที่เป็นโรคริดสีดวงทวารอีกด้วย อาหารที่เป็นแหล่งสำคัญของไฟเบอร์มีดังนี้ [18] [19]
    • ธัญพืชเต็มเมล็ด เช่น ข้าวกล้อง ข้าวบาร์เลย์ ข้าวโพด ข้าวไรย์ บัลเกอร์ คาชา (บัควีท) และโอ๊ตมีล
    • ผลไม้ โดยเฉพาะเชอร์รี่ บลูเบอร์รี่ ลูกพลัม ลูกพรุน แอปริคอท ราสพ์เบอร์รี่ และสตรอว์เบอร์รี่
    • ผักใบเขียวต่างๆ อย่างสวิสชาร์ด คอลลาร์ดกรีน ผักโขม ผักกาดหอม และใบบีทรูต
    • ถั่วผักและถั่วเมล็ดแห้ง จำไว้ว่าการทานถั่วในปริมาณมากจะทำให้เกิดแก๊สในลำไส้ได้
  2. การดื่มน้ำอย่างเพียงพอเป็นสิ่งที่สำคัญเป็นอย่างมากต่อร่างกาย โดยคุณควรดื่มน้ำอย่างน้อย 8-10 แก้วต่อวัน การดื่มน้ำในปริมาณที่เพียงพอจะช่วยให้อุจจาระอ่อนตัวลงและเพิ่มความชุ่มชื้นและหล่อลื่นตรงบริเวณที่เกิดริดสีดวงทวาร นอกจากนี้การดื่มน้ำยังส่งผลดีต่อผิว ผม เล็บ และอวัยวะภายในอีกด้วย [20]
  3. วิตามินซีจะทำให้เส้นเลือดเกิดการตึงและหดตัว จึงช่วยป้องกันไม่ให้เส้นเลือดหย่อนยานและมีเลือดออกได้ง่าย วิตามินซีรวมถึงแอนโทไซยานินมีส่วนช่วยในการเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับเส้นเลือดและป้องกันการเกิดแผลปริขอบทวารหนัก [21]
    • ผลไม้รสเปรี้ยวและผลไม้อื่นๆ ยังเป็นแหล่งสำคัญของไบโอฟลาโวนอยด์ที่มีส่วนช่วยในการเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับเส้นเลือด ผลไม้ที่อุดมไปด้วยไบโอฟลาโวนอยด์ได้แก่ มะนาว เลมอน แอปเปิ้ล และมะเขือเทศ นอกจากนี้ หอมหัวใหญ่ กะหล่ำปลีม่วง และแครอท รวมถึงผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ องุ่น และเชอร์รี่ ยัเป็นแหล่งสำคัญของแอนโทไซยานินด้วยเช่นกัน
    • ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ทุกชนิดมีคุณสมบัติในการต่อต้านการอักเสบและอุดมไปด้วยวิตามินซีและฟลาโวนอยด์ มีส่วนช่วยทำให้การขับถ่ายง่ายยิ่งขึ้น ทั้งยังเป็นแหล่งสำคัญของสารต้านอนุมูลอิสระอีกด้วย
  4. ผลการวิจัยพบว่าการดื่มน้ำบีทรูทสามารถช่วยลดความดันเลือดได้ประมาณ 2 เปอร์เซ็นต์และอาจมีส่วนช่วยในการลดการบวมของริดสีดวงทวาร ลองดื่มน้ำบีทรูทสัปดาห์ละ 1 แก้วหรือทานบีทรูทต้มเป็นประจำทุกวันเป็นเวลา 1 เดือนและสังเกตดูความแตกต่างที่เกิดขึ้น
    • น้ำแรดิชก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมในการขับสารพิษออกจากร่างกาย รวมถึงช่วยให้คุณขับถ่ายได้คล่องและไม่รู้สึกเจ็บ อย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่ต้องระวังคือปริมาณการดื่ม เนื่องจากการดื่มน้ำแรดิชวันละ 60 มล.อาจค่อนข้างมากเกินไป ยิ่งไปกว่านั้น การดื่มน้ำแรดิชถึง 120 มล.อาจทำให้อาการของโรคริดสีดวงทวารแย่ลงอีกด้วย คุณสามารถดื่มน้ำแรดิชเปล่าๆ โดยไม่ผสมอะไรหรือจะเติมน้ำใบเทอร์นิปเพิ่มลงไปเล็กน้อยก็ได้เช่นกัน
  5. อาหารบางประเภทอาจส่งผลให้ริดสีดวงทวารมีอาการแย่ลงได้ง่าย ตัวอย่างเช่น พยายามหลีกเลี่ยงการทานอาหารที่ปรุงด้วยเครื่องเทศหรือพริกจนเผ็ดจัด เนื่องจากอาหารรสจัดเป็นสาเหตุทำให้เกิดอาการอึดอัดและมีเลือดออกทางทวารหนักเพิ่มขึ้น [22]
    • หลีกเลี่ยงอาหารสำเร็จรูป อาหารแช่แข็ง และอาหารที่ใส่วัตถุกันเสีย เนื่องจากอาหารเหล่านี้มีปริมาณไฟเบอร์ที่ต่ำและมักประกอบด้วยสารปรุงแต่งที่สามารถส่งผลให้ริดสีดวงทวารมีอาการแย่ลง [23]
    • อาหารมันและอาหารทอดอย่างเนื้อสัตว์ อาหารจานด่วน และเฟรนช์ฟรายด์ก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ริดสีดวงทวารมีอาการแย่ลง เนื่องจากอาหารเหล่านี้มีปริมาณไฟเบอร์ต่ำ มีปริมาณไขมันสูง และประกอบด้วยสารปรุงแต่ง
    โฆษณา
ส่วน 3
ส่วน 3 ของ 3:

ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต

ดาวน์โหลดบทความ
  1. การแบ่งอุจจาระแรงๆ เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดริดสีดวงทวาร พยายามปล่อยให้ลำไส้ได้ทำหน้าที่บีบตัวและให้แรงโน้มถ่วงเป็นตัวช่วยเพื่อนำอุจจาระออกมา แต่หากคุณยังคงถ่ายไม่ออก ให้รออีกสักชั่วโมงแล้วจึงเข้าห้องน้ำอีกครั้ง แต่ไม่ว่าอย่างไรห้ามเบ่งอุจจาระแรงโดยเด็ดขาด [24] [25]
  2. กำหนดเวลาที่คุณจะสามารถใช้ห้องน้ำได้โดยไม่ถูกรบกวน เนื่องจากการขับถ่ายเวลาเดิมซ้ำๆ เป็นประจำทุกวันจะช่วยให้ระบบการขับถ่ายทำงานได้คล่องตัวมากยิ่งขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น การขับถ่ายเป็นเวลายังบ่งบอกถึงสุขภาพโดยรวมที่ดีอีกด้วย [26] [27]
    • เมื่อรู้สึกอยากถ่าย อย่ากลั้นอุจจาระและรีบไปเข้าห้องน้ำโดยทันที และหลีกเลี่ยงการนั่งห้องน้ำนานเกินไป เพราะการนั่งโถส้วมเป็นเวลานานสามารถเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดริดสีดวงทวารได้ [28]
    • เช็ดทำความสะอาดด้วยผ้าเช็ดทำความสะอาดสำหรับเด็กทารกหลังขับถ่ายเสร็จแล้ว [29]
  3. หากคุณเป็นโรคริดสีดวงทวาร ควรสวมใส่ชุดชั้นในที่ทำจากผ้าฝ้าย 100 เปอร์เซ็นต์ ผ้าฝ้ายมีความอ่อนโยนต่อผิวเป็นพิเศษ จึงสามารถลดความเสี่ยงในการเกิดการระคายเคืองต่างจากเนื้อผ้าประเภทอื่นๆ อย่างโพลีเอสเตอร์หรือผ้าไหม นอกจากนี้ ผ้าฝ้ายยังช่วยป้องกันอาการคันที่เกิดจากริดสีดวงทวารรวมถึงอ่อนโยนต่อริดสีดวงทวารที่เป็นจุดที่บอบบางเป็นพิเศษ [30]
    • หลีกเลี่ยงการสวมใส่กางเกงในทรงตองที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองกับเนื้อเยื่อรอบๆ ริดสีดวงทวาร
  4. ออกกำลังกาย . หมั่นออกกำลังกายในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นแอโรบิก เอนดูแรนซ์ คาร์ดิโอ หรือแม้แต่การเดิน เนื่องจากการเคลื่อนไหวร่างกายจะกระตุ้นให้ลำไส้เกิดการเคลื่อนที่ กล่าวคือ เมื่อร่างกายเคลื่อนไหว อวัยวะภายในต่างๆ ก็จะเกิดการเคลื่อนที่ไปมา การเคลื่อนที่ของลำไส้จะกระตุ้นให้เกิดการไหลเวียนเลือดไปยังบริเวณที่เกิดริดสีดวงทวาร ทั้งยังช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานเป็นเวลาทุกๆ วัน [31]
    • เนื่องจากโรคริดสีดวงทวารมีสาเหตุมาจากเลือดที่คั่งในเส้นเลือดตรงบริเวณทวารหนัก สิ่งหนึ่งที่สำคัญคือการกระตุ้นให้ระบบไหลเวียนเลือดทำงานได้ดี เพราะหากมีเลือดไปหล่อเลี้ยงไม่เพียงพอ อาจทำให้เนื้อเยื่อบริเวณนั้นเน่าตายและเกิดอันตรายได้
  5. ผู้ที่เป็นโรคริดสีดวงทวารควรหลีกเลี่ยงการนั่งอยู่กับที่เป็นเวลานาน เนื่องจากการนั่งจะทำให้เกิดแรงกดทับภายในช่องท้องและอาจส่งผลให้ริดสีดวงทวารมีอาการแย่ลง หากคุณจำเป็นต้องนั่งทำงานอยู่กับโต๊ะติดต่อกันเป็นเวลานาน พยายามลุกขึ้นและออกไปเดินสักเล็กน้อยทุกๆ ชั่วโมง [32] [33]
    • หาซื้อเบาะรองนั่งโฟมทรงโดนัทหรือทรงตัวยูสำหรับรองนั่งหากคุณต้องนั่งเป็นเวลานานเพื่อลดแรงกดทับลงเล็กน้อย
  6. งดแอลกอฮอล์ . แอลกอฮอล์เป็นสิ่งแรกๆ ที่คุณควรหลีกเลี่ยง เนื่องจากแอลกอฮอล์จะทำให้ร่างกายเกิดการขาดน้ำและส่งผลให้อุจจาระแห้งแข็งมากยิ่งขึ้น การดื่มแอลกอฮอล์ส่งผลเสียมากมายต่อริดสีดวงทวาร อีกทั้งไม่เพียงแต่เป็นการขัดขวางกระบวนการฟื้นฟูเท่านั้น แต่ยังเพิ่มโอกาสในการเกิดเลือดออกอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีการพิสูจน์พบว่าการดื่มแอลกอฮอล์ติดต่อกันเป็นเวลานานเป็นสาเหตุนำไปสู่โรคตับแข็งและโรคริดสีดวงทวารด้วยเช่นกัน [34]
    • พยายามจำกัดดื่มแอลกอฮอล์ไม่เกิน 1-2 แก้วต่อวัน อย่างไรก็ตาม คุณอาจจำเป็นต้องลดปริมาณการดื่มให้น้อยลงอีกสักเล็กน้อยหากคุณกำลังเผชิญกับโรคริดสีดวงทวาร
    โฆษณา

เคล็ดลับ

  • แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคริดสีดวงทวารทั้งภายในและภายนอกจากการตรวจโดยใช้นิ้วสอดเข้าไปทางรูทวารหนัก แต่หากอาการเลือดออกทางทวารหนักไม่ได้เกิดจากโรคริดสีดวงทวาร แพทย์ของคุณอาจแนะนำให้ทำการตรวจอย่างละเอียดยิ่งขึ้นด้วยวิธีการส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่และลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย เนื่องจากการมีเลือดออกทางทวารหนักเป็นหนึ่งในอาการของโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ [35]
  • แม้ว่าโรคริดสีดวงทวารจะเกิดขึ้นกับเด็กไม่มากนัก แต่ก็มีโอกาสเกิดขึ้นได้เช่นกัน หากเด็กบ่นถึงอาการเจ็บที่เกิดขึ้นในขณะนั่งห้องน้ำ ให้คุณรีบพาเด็กไปพบกุมารแพทย์โดยทันที ซึ่งสาเหตุทั่วๆ ไปที่ทำให้เด็กรู้สึกเจ็บในขณะขับถ่าย ได้แก่ อุจจาระแห้งแข็ง การขาดน้ำ การขาดไฟเบอร์ รวมถึงการฝึกใช้ห้องน้ำและความเครียด อย่างไรก็ตาม หากคุณสังเกตเห็นเลือดในอุจจาระหรือบนกระดาษชำระ นี่อาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคริดสีดวงทวาร ความผิดปกติทางกายภาพ แผลปริขอบทวารหนัก หรือสัญญาณเตือนล่วงหน้าของโรคระบบทางเดินอาหารอย่างโรคโครห์น ซึ่งโรคต่างๆ เหล่านี้จำเป็นต้องได้รับการรักษาโดยกุมารแพทย์ [36] นอกจากนี้ เลือดในอุจจาระยังอาจเป็นสัญญาณของการกระทำทารุณต่อเด็กได้เช่นกัน
โฆษณา

คำเตือน

  • หากอาการยังคงไม่ดีขึ้นหลังผ่านไปแล้ว 4-7 วัน ให้รีบไปพบแพทย์โดยทันที แม้ว่าริดสีดวงทวารจะมีโอกาสเกิดโรคแทรกซ้อนไม่มากนัก แต่คุณอาจประสบกับอาการของภาวะโลหิตจางจากการเสียเลือดและเลือดคั่งได้ [37]
โฆษณา
  1. http://kidshealth.org/parent/pregnancy_center/q_a/piles.html
  2. Siervo, M.; Lara, J.; Ogbonmwan, I.; Mathers, J. C. (2013). "Inorganic Nitrate and Beetroot Juice Supplementation Reduces Blood Pressure in Adults: A Systematic Review and Meta-Analysis". Journal of Nutrition 143 (6): 818–826
  3. http://www.drugs.com/dosage/senna.html
  4. http://umm.edu/health/medical/altmed/supplement/psyllium
  5. http://www.mayoclinic.org/drugs-supplements/flaxseed-and-flaxseed-oil/dosing/hrb-20059416
  6. Grover, J. K.; Yadav, S. P. (2004). "Pharmacological actions and potential uses of Momordica charantia: A review". Journal of Ethnopharmacology 93 (1): 123–132
  7. http://americanpregnancy.org/pregnancy-health/hemorrhoids-during-pregnancy/
  8. http://www.md-health.com/Essential-Oils-for-Hemorrhoids.html
  9. http://www.nhs.uk/Livewell/embarrassingconditions/Pages/piles.aspx
  10. http://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/hemorrhoids/basics/lifestyle-home-remedies/con-20029852
  11. http://www.nhs.uk/Livewell/embarrassingconditions/Pages/piles.aspx
  12. http://www.nhs.uk/Livewell/embarrassingconditions/Pages/piles.aspx
  13. http://www.nhs.uk/Livewell/embarrassingconditions/Pages/piles.aspx
  14. Lorenzo-Rivero, S (August 2009). "Hemorrhoids: diagnosis and current management". Am Surg 75 (8): 635–42
  15. http://www.hopkinsmedicine.org/johns_hopkins_bayview/_docs/medical_services/gynecology_obstetrics/bowel_regularity.pdf
  16. http://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/hemorrhoids/basics/lifestyle-home-remedies/con-20029852
  17. http://www.hopkinsmedicine.org/johns_hopkins_bayview/_docs/medical_services/gynecology_obstetrics/bowel_regularity.pdf
  18. http://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/hemorrhoids/basics/lifestyle-home-remedies/con-20029852
  19. http://www.hopkinsmedicine.org/johns_hopkins_bayview/_docs/medical_services/gynecology_obstetrics/bowel_regularity.pdf
  20. http://www.md-health.com/Best-Treatment-for-Hemorrhoids.html
  21. http://patient.info/health/itchy-bottom-pruritus-ani
  22. http://kidshealth.org/parent/pregnancy_center/q_a/piles.html
  23. http://kidshealth.org/parent/pregnancy_center/q_a/piles.html
  24. http://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/hemorrhoids/basics/prevention/con-20029852
  25. http://www.nhs.uk/Livewell/embarrassingconditions/Pages/piles.aspx
  26. http://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/hemorrhoids/basics/tests-diagnosis/con-20029852
  27. http://pediatriceducation.org/2015/05/18/when-do-hemorrhoids-occur-in-children/
  28. http://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/hemorrhoids/basics/complications/con-20029852

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 8,758 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา