ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

โรคหูชั้นกลางอักเสบ (Otitis media) มักเป็นกันมากในเด็กและทารก แต่มันยังเกิดขึ้นกับผู้ใหญ่ได้ด้วย ทั้งนี้ เด็กประมาณ 90% มักจะเคยเป็นโรคหูชั้นกลางอักเสบอย่างน้อยหนึ่งครั้งเมื่ออายุครบ 3 ขวบ [1] การติดเชื้อในหูจะสร้างความเจ็บปวดได้มาก เนื่องจากเกิดความดันจากของเหลวที่ก่อตัวขึ้นไปกดทับเยื่อแก้วหู [2] ซึ่งการติดเชื้อบางอย่างอาจหายได้เองจากการปฐมพยาบาลด้วยยาหยอดหูตามบ้านทั่วไป แต่ในรายที่ติดเชื้อรุนแรง จำเป็นต้องไปพบแพทย์เพื่อใช้ยาชนิดพิเศษ ในการรักษาให้หายขาด [3]

วิธีการ 1
วิธีการ 1 ของ 6:

วิธีสังเกตอาการติดเชื้อในหู

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ทำความเข้าใจว่าใครมีภาวะเสี่ยงต่อการติดเชื้อบ้าง. ปกติแล้ว เด็กจะมีโอกาสติดเชื้อดังกล่าวมากกว่าผู้ใหญ่ นั่นเป็นเพราะท่อยูสเตเชียน (ท่อที่เชื่อมต่อระหว่างกลางหูทั้งสองข้างไปสู่ด้านหลังลำคอ) ในเด็กจะเล็กกว่าในผู้ใหญ่ จึงมีโอกาสน้ำคั่งมากกว่า นอกจากนี้ เด็กยังมีภูมิคุ้มกันในร่างกายน้อยกว่าผู้ใหญ่ จึงทำให้มักจะมีโอกาสเป็นหวัดมากกว่าด้วย [4] อะไรก็ตามที่มาปิดกั้นทางเดินของท่อยูสเตเชียน ย่อมทำให้เกิดอาการติดเชื้อในหูได้ นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ อีกเช่น: [5]
    • อาการภูมิแพ้
    • การติดเชื้อในทางเดินหายใจ เช่น โรคหวัดหรือไซนัส
    • การติดเชื้อหรอมีปัญหาบริเวณ
    • การสูบบุหรี่
    • มีเมือกหรือน้ำลายมากผิดปกติ เช่น ในช่วงที่ฟันกำลังขึ้น
    • อาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่หนาวเย็น
    • ความเปลี่ยนแปลงทางสภาพอากาศหรือระดับความสูงของภูมิประเทศ
    • การไม่ได้ทานนมแม่ช่วงที่เป็นทารก
    • อาการป่วยไข้ที่เพิ่งหาย
    • ไปอยู่ในสถานรับเลี้ยงที่มีเด็กอื่นจำนวนมาก
  2. โรคหูชั้นกลางอักเสบ หรือโรคหูชั้นกลางอักเสบเฉียบพลัน เป็นโรคติดเชื้อในหูที่พบได้บ่อยที่สุด และมีสาเหตุมาจากเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย [6] หูชั้นกลางจะอยู่ในบริเวณช่องว่างหลังเยื่อแก้วหู โดยมีกระดูกเล็กๆ ทำหน้าที่ส่งความสั่นสะเทือนไปยังหูชั้นใน ดังนั้น หากมันมีของเหลวอัดแน่นหรือเกิดอาการอมน้ำ แบคทีเรียและไวรัสก็จะเข้าไปแพร่เชื้อได้ [7] ทั้งนี้ โรคติดเชื้อในช่องหูมักเกิดขึ้นหลังจากที่เด็กเป็นโรคติดเชื้อในทางเดินหายใจ เช่น ไข้หวัด รวมถึงเด็กที่มีอาการภูมิแพ้ขั้นรุนแรงด้วย [8] อาการของโรคหูชั้นกลางอักเสบมีดังนี้: [9] [10]
    • ปวดหู
    • รู้สึกคับแน่นหู
    • รู้สึกไม่สบาย
    • อาเจียน
    • ท้องเสีย
    • หูข้างที่ติดเชื้ออาจไม่ได้ยินเสียง
    • หูอื้อ
    • เวียนศีรษะ
    • มีน้ำในหู
    • มีไข้ โดยเฉพาะในเด็ก
  3. แยกความแตกต่างระหว่างอาการน้ำเข้าหูกับโรคหูชั้นกลางอักเสบ. อาการหูอื้ออันเกิดจากน้ำเข้าหู หรือการติดเชื้อในหูชั้นนอกนั้น เกิดจากการติดเชื้อราหรือแบคทีเรียบริเวณหูชั้นนอก ซึ่งสาเหตุหลักๆ เกิดจากความชื้นในช่องหู (ตามชื่ออาการนั่นเอง) แต่การเอาสิ่งแปลกปลอมเช้าไปหรือแคะในช่องหู ก็ทำให้มีโอกาสเป็นโรคนี้ได้เช่นกัน [11] ลักษณะอาการอาจเป็นได้ตั้งแต่เล็กน้อย แต่สามารถรุนแรงขึ้นได้ โดยมีอาการดังต่อไปนี้: [12]
    • คันในช่องหู
    • มีอาการแดงในรูหู
    • เกิดอาการเจ็บรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เวลาที่ดึงเข้าออกบริเวณหูชั้นนอกDช
    • มีของเหลวในหู (โดยอาจเริ่มจากน้ำใสๆ ไม่มีกลิ่น แต่พัฒนาไปเป็นหนองได้ในภายหลัง
    • อาการที่รุนแรงมีดังต่อไปนี้:
      • รู้ถึงคับหรือแน่นในหู
      • ความสามารถในการได้ยินลดลง
      • มีอาการอักเสบลามมาถึงใบหน้าและลำคอ
      • ต่อมน้ำเหลืองบริเวณลำคอบวมน้ำ
      • มีไข้
  4. มองหาสัญญาณเตือนของโรคติดเชื้อในช่องหูในเด็ก. เด็กโตอาจมีลักษณะอาการของโรคติดเชื้อในช่องหู แตกต่างไปจากเด็กเล็กและผู้ใหญ่ ทั้งนี้ ด้วยความที่เด็กโตมักจะไม่รู้วิธีสื่อสารกับผู้ปกครอง ดังนั้น คุณควรมองหาสัญญาณต่อไปนี้: [13]
    • ชอบดึง ขยับ หรือเกาหูบ่อย
    • เขย่าศีรษะไปมา
    • มีอาการหงุดหงิด อยู่ไม่สุข และร้องไห้ไม่หยุด
    • นอนไม่ค่อยหลับ
    • มีไข้ (โดยเฉพาะในเด็กเล็กและเด็กที่ยังไม่ค่อยโต)
    • มีของเหลวไหลจากหู
    • เดินโซเซหรือขาดการทรงตัวที่ดี
    • มีปัญหาในการได้ยิน
  5. อากาโรคติดเชื้อในช่องหูหลายอย่าง สามารถรักษาได้เองที่บ้าน และมีอีกหลายอาการที่ปล่อยให้หายไปเองได้ อย่างไรก็ดี หากคุณหรือเด็กในบ้านมีอาการดังต่อไปนี้ คุณควรต้องไปพบแพทย์ทันที: [14]
    • มีเลือดหรือหนองไหลออกจากหู (เป็นได้ทั้งสีขาว เหลือง แดง หรือชมพู/แดงอ่อน)
    • เป็นไข้สูงตามมา โดยเฉพาะหากสูงกว่า 39 องศาเซลเซียส
    • หน้ามืดหรือเวียนศีรษะ
    • ลำคอแข็ง
    • หูอื้อ
    • มีอาการปวดหรือบวมน้ำ บริเวณหลังหรือรอบใบหู
    • มีอาการปวดหูมากกว่า 48 ชั่วโมง
    โฆษณา
วิธีการ 2
วิธีการ 2 ของ 6:

พึ่งพาแพทย์และผู้เชี่ยวชาญ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. พาเด็กไปพบแพทย์ในกรณีที่เด็กอายุต่ำกว่า 6 เดือน. หากคุณสังเกตเห็นอาการของโรคติดเชื้อในช่องหูในทารก ให้รีบพาไปพบแพทย์ทันที [15] เด็กทารกในวัยนี้ ร่างกายยังไม่ได้พัฒนาภูมิคุ้มกันเต็มที่ พวกเขาจึงมีโอกาสเสี่ยงที่จะติดเชื้อรุนแรง และมักต้องให้การรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ [16]
    • หากเป็นเด็กทารกหรือเด็กเล็กมากๆ คุณไม่ควรพยายามรักษาเองที่บ้าน แต่ควรปรึกษากุมารแพทย์ เพื่อหาแนวทางการรักษาที่เหมาะที่สุด
  2. ปล่อยให้หมอเป็นผู้ตรวจวินิจฉัยโรคติดเชื้อในช่องหูของคุณหรือของเด็ก. หากคุณหรือลูกหลานของคุณมีอาการที่น่าสงสัยว่า จะเป็นโรคติดเชื้อในช่องหู ก็ควรเตรียมตัวเข้ารับการตรวจรักษาดังต่อไปนี้: [17]
    • ตรวจด้วยการใช้เครื่องมือตรวจเยื่อแก้วหู (Otoscope) มันอาจจะยากสักหน่อย ในการควบคุมเด็กให้อยู่นิ่งพอที่จะตรวจด้วยวิธีนี้ แต่ก็เป็นขั้นตอนสำคัญในการวินิจฉัย
    • ตรวจหาอาการอุดตันหรือมีของเหลวอัดแน่น โดยใช้เครื่องตรวจแรงดันในหู (Pneumatic Horoscope) ซึ่งทำด้วยการเป่าลมเบาเข้าไปในเยื่อแก้วหู และทำให้มันกระเพื่อมไปมา หากมีของเหลวอัดแน่นอยู่ เยื่อแก้วหูก็จะไม่สามารถกระเพื่อมได้สะดวกหรือง่ายนัก แสดงว่ามีโอกาสเป็นโรคติดเชื้อในช่องหู [18]
    • ตรวจอาการภายในของหูชั้นกลาง (Tympanometer) ซึ่งใช้คลื่นเสียงหรือแรงดันอากาศ ในการตรวจหาของเหลวในบริเวณช่องหูชั้นกลาง
    • หากการติดเชื้อเรื้อรังหรือถึงขั้นรุนแรง ผู้เชี่ยวชาญด้านประสาทการได้ยิน อาจจะพาไปทดสอบความสามารถในการได้ยินอีกครั้งว่า ลดลงหรือสูญเสียไปหรือไม่
  3. เตรียมพร้อมรับการตรวจจากแพทย์อย่างละเอียด ในกรณีที่ติดเชื้อเรื้อรัง หรือเชื้อโรคดื้อยา. หากคุณหรือลูกหลานของคุณมีอาการไม่สบายหลังจากที่มีอาการต่างๆ เกี่ยวกับหูแล้ว แพทย์ของคุณก็อาจจะใช้อุปกรณ์เก็บตัวอย่างจากของเหลวในช่องหู เพื่อไปทำการตรวจหาเชื้อโรคในห้องแล็บอีกครั้ง [19]
  4. จำไว้ว่า คุณสามารถรักษาโรคติดเชื้อในช่องหูหลายอย่างได้เองจากที่บ้าน. โรคติดเชื้อในช่องหูหลายอย่างอาจหายไปเองเมื่อถึงจุดๆ หนึ่ง โดยไม่ต้องรักษา โดยบางอาการก็หายไปใน 2-3 วัน และอาการของโรคติดเชื้อในช่องหูส่วนใหญ่จะหายไปใน 1-2 สัปดาห์เท่านั้น ต่อให้ไม่ได้ทำอะไรเลยก็ตาม สถาบันกุมารแพทย์และสถาบันแพทย์ประจำบ้าน แห่งประเทศสหรัฐอเมริกา ต่างสนับสนุนให้ใช้วิธีเฝ้าระวังโรคมากกว่า ขอเพียงทำตามแนวทางดังนี้: [20]
    • เด็กอายุ 6 – 23 เดือน: เฝ้าระวัง หากเด็กมีอาการปวดหูเล็กน้อยในหูข้างใดข้างหนึ่ง เป็นเวลาน้อยกว่า 48 ชั่วโมง และมีอุณหภูมิร่างกายต่ำกว่า 39 องศาเซลเซียส
    • เด็กอายุ 24 เดือนขึ้นไป: เฝ้าระวัง หากเด็กมีอาการปวดหูเล็กน้อย ในหูข้างใดข้างหนึ่ง หรือทั้งสองข้าง เป็นเวลาน้อยกว่า 48 ชั่วโมง และมีอุณหภูมิร่างกายต่ำกว่า 39 องศาเซลเซียส
    • หากมีอาการเกิน 48 ชั่วโมงเมื่อไร ควรพาไปพบแพทย์ทันที ซึ่งแพทย์มักจะเริ่มด้วยการให้ยาปฏิชีวนะ เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อ และไม่ให้ลุกลามไปเป็นการติดเชื้อรุนแรงที่พบได้ยากและมีอันตรายแก่ชีวิต
    • ในรายที่หายาก อาจมีอาการแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นอย่างเช่น อาการปุ่มกกหูของกระดูกขมับอักเสบ รวมถึงอาการติดเชื้อลุกลามไปสู่สมอง เยื่อหุ้มสมองอักเสบ และอาการสูญเสียการได้ยิน [21]
  5. ระมัดระวัง หากต้องพาเด็กขึ้นเครื่องบินในช่วงที่เป็นโรคติดเชื้อในช่องหู. เด็กที่ยังมีอาการของโรคติดเชื้อในช่องหูอยู่ จะมีความเสี่ยงต่ออาการ บาดเจ็บจากแรงดัน ซึ่งจะเกิดขึ้นเวลาที่บริเวณหูชั้นกลางพยายามปรับตัวให้เข้ากับระดับแรงดัน เมื่ออยู่บนที่สูง การเคี้ยวหมากฝรั่งในช่างที่เครื่องกำลังขึ้นและลง จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอาการดังกล่าวได้ [22]
    • หากคุณมีเด็กทารกที่เป็นโรคติดเชื้อในช่องหู การให้เด็กดูดนมจาดขวดนม ระหว่างที่เครื่องกำลังขึ้นและลง ก็จะช่วยลดแรงดันในช่องหูได้เช่นกัน
    โฆษณา
วิธีการ 3
วิธีการ 3 ของ 6:

การรักษาอาการของโรคติดเชื้อในช่องหูเองที่บ้าน

ดาวน์โหลดบทความ
  1. หากอาการปวดหูไม่บรรเทาลง และไม่เกิดอาการข้างเคียงอื่นใดอีก คุณสามารถเลือกทานยาแก้ปวดประเภท Ibuprofen หรือ Acetaminophen ได้ ตัวยาดังกล่าวยังช่วยให้อาการไข้ของเด็กลดลง และทำให้พวกเขารู้สึกดีขึ้นด้วย
    • อย่าใช้ยาแอสไพรินกับเด็กที่อายุ ต่ำกว่า 18 ปี เพราะอาจก่อให้เกิดภาวะ Reye's syndrome ซึ่งสามารถทำให้เกิดความเสียหายต่อสมอง และมีปัญหาเกี่ยวกับตับได้ [23]
    • การใช้ยาแก้ปวด ต้องคำนึงเรื่องปริมาณหรือขนาดความแรงของยา ให้เหมาะสมกับช่วงอายุของเด็กด้วย โดยต้องอ่านฉลากให้ละเอียดหรือปรึกษากุมารแพทย์ด้วย
    • อย่าใช้ยาประเภท Ibuprofen กับเด็กที่อายุต่ำกว่า 6 เดือน
  2. การหาอะไรอุ่นๆ มาประคบในบริเวณที่ปวดหู ก็จะช่วยบรรเทาอาการปวดได้มาก ซึ่งคุณอาจใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำอุ่นและบิดหมาดๆ [24]
    • คุณอาจหาถุงเท้าสะอาดๆ นำมาใส่ถั่วหรือข้าวลงไป และนำไปเช้าไมโครเวฟประมาณครึ่งนาที หรือดูให้ถึงอุณหภูมิที่ต้องการ จากนั้น ก็นำไปประคบบริเวณที่ปวดได้เช่นกัน [25]
    • ควรประคบอุ่นเป็นเวลาประมาณ 15-20 นาทีต่อครั้ง [26]
  3. ร่างกายของคนเราต้องการพักผ่อนมากเป็นพิเศษ เพื่อฟื้นฟูตัวเองในช่วงที่มีอาการติดเชื้อ [27] อย่าหักโหมเกินไป ในระหว่างที่มีอาการติดเชื้อ โดยเฉพาะหากมีไข้ร่วมด้วย
    • กุมารแพทย์มักจะไม่แนะนำให้เด็กหยุดเรียน ในกรณีที่เด็กมีอาการของโรคติดเชื้อในช่องหู เว้นเสียแต่ว่าเด็กคนนั้นจะมีไข้ อย่างไรก็ตาม หากเป็นลูกหลานของคุณ คุณควรตรวจสอบดูด้วยว่า เด็กคนดังกล่าวได้รับการพักผ่อนเพียงพอหรือไม่
  4. โดยเฉพาะหากมีไข้ร่วมด้วยแล้ว คุณควรดื่มน้ำมากเป็นพิเศษ [28]
  5. ใช้วิธีการแบบ Valsalva's Maneuver ในกรณีที่ไม่มีอาการปวด. เทคนิค Valsalva's Maneuver สามารถนำมาใช้เพื่อเคลียร์ท่อยูสเตเชียนให้โล่งขึ้น และแก้อาการอึดอัดในช่องหู ซึ่งเกิดจากโรคหูชั้นกลางอักเสบ แต่คุณควรใช้เทคนิคดังกล่าว ในกรณีที่คุณไม่มีอาการปวดเท่านั้น [30]
    • สูดลมหายใจเข้าและหุบปากสนิท
    • ใช้นิ้วอุดหรือหนีบจมูกไว้ จากนั้นค่อยๆ หายใจออกเบาๆ ช้าๆ
    • อย่าหายใจออกแรง ไม่งั้นเยื่อแก้วหูจะอักเสบได้ หากทำถูกวิธีอาจจะมีเสียงดังป๊อบออกมา
  6. หยอดน้ำมันกระเทียม หรือน้ำมันดอกคฑาอุ่นๆ สักสองสามหยด. น้ำมันกระเทียม และน้ำมันดอกคฑา (Mullein) เป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์เหมือนยาปฏิชีวนะตามธรรมชาติ และช่วยให้บรรเทาอาการปวดหูจากการติดเชื้อได้ อุ่นสักนิดอย่าให้ร้อน ก่อนจะนำไปใส่ในที่หยอดตา เพื่อนำมาหยอดหูสักสองสามหยดในแต่ละข้างก็พอ [31]
    • คุณควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้วิธีดังกล่าวกับเด็ก
  7. ผลการศึกษาแห่งหนึ่งพบว่า ยาสกัดจากพืชสมุนไพรตามธรรมชาติที่ชื่อว่า Otikon Otic solution (ของบริษัท Healthy-On) อาจช่วยรักษาอาการปวดของโรคติดเชื้อในช่องหู (ในประเทศไทย หาซื้อได้เฉพาะตามเว็บไซท์หรือทางออนไลน์) [32]
    • ปรึกษาแพทย์ก่อนใช้วิธีข้างต้นเช่นกัน และไม่แนะนำให้ใช้ยาใดๆ กับเด็กจนกว่าจะได้ปรึกษากุมารแพทย์ก่อน
    โฆษณา
วิธีการ 4
วิธีการ 4 ของ 6:

สังเกตอาการ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. พยายามตรวจวัดอุณหภูมิของเด็กตลอดเวลา และมองหาอาการอื่นๆ ร่วมด้วย
    • หากเด็กมีไข้ หรือมีอาการคล้ายเป็นไข้หวัด เช่น คลื่นไส้และอาเจียน แสดงว่าอาการติดเชื้อเริ่มรุนแรงขึ้น และการรักษาเองที่บ้านไม่ได้ผลแล้ว
    • อาการที่คุณควรไปพบแพทย์ทันทีที่เกิดขึ้น เช่น เด็กมีอาการสับสนมึนงง คอแข็งๆ และบวมน้ำ มีอาการปวด และเป็นสีแดงบริเวณรอบหู สัญญาณเหล่านี้ บ่งบอกว่า เชื้อโรคเริ่มแพร่แล้ว และจำเป็นต้องได้รับกรรักษาทางการแพทย์ด้วย
  2. สังเกตดู กรณีที่มีอาการปวดหูรุนแรง ตามด้วยอาการปวดหายไป. หากเป็นเช่นนั้น แสดงว่าเยื่อแก้วหูอาจจะแตกร้าว ซึ่งจะส่งผลให้สูญเสียการได้ยินไปชั่วคราว และยังทำให้ช่องหูของคุณยิ่งได้รับเชื้อโรคและแพร่กระจายง่ายยิ่งขึ้นไปอีก [33]
    • นอกจากอาการปวดที่หายไปแล้ว ยังอาจมีของเหลวไหลออกจากหูด้วย
    • แม้ว่าอาการเยื่อบุแก้วหูแตก อาจจะดีขึ้นภายในสองสามสัปดาห์โดยไม่รักษา แต่ปัญหาข้างเคียงอาจยังมีอยู่ และยังจำเป็นต้องได้รับการรักษาทางการแพทย์ [34]
  3. โทรหรือไปพบแพทย์ทันที หากอาการแย่ลงใน 48 ชั่วโมงแรก. แม้ว่าแพทย์จะแนะนำให้รอเฝ้าดูอาการในช่วง 48 ชั่วโมงแรก แต่หากมีอาการแย่ลงภายในช่วงเวลาดังกล่าว คุณก็ควรโทรหาหรือไปพบแพทย์ทันที ซึ่งแพทย์อาจจะแนะนำยาปฏิชีวนะหรือการรักษาแบบเข้มข้นกว่าเดิมให้ [35]
  4. พาเด็กหรือตัวคุณเองไปทดสอบการได้ยิน หากมีของเหลวคั่งในหูอยู่อีกหลังจาก 3 เดือนไปแล้ว. เนื่องจากมันอาจเป็นสัญญาณของปัญหาในการได้ยินอื่นๆ ร่วมด้วย [36]
    • บางครั้ง การสูญเสียการได้ยินขั่วคราวอาจเกิดขึ้น ซึ่งน่ากังวลมาก โดยเฉพาะในเด็กตั้งแต่ 2 ขวบลงไป
    • หากลูกหลานของคุณดังกล่าว มีอายุน้อยกว่า 2 ขวบ และมีอาการของเหลวคั่งในหู รวมถึงมีปัญหาการได้ยิน แพทย์อาจไม่รอถึงสามเดือนก่อนจะเริ่มรักษา เพราะหากปล่อยไว้ ในวัยนี้อาการดังกล่าวอาจลุกลามไปถึงขั้นมีปัญหาการพูด รวมถึงปัญหาพัฒนาการด้านอื่นๆ ด้วย
    โฆษณา
วิธีการ 5
วิธีการ 5 ของ 6:

การใช้ยาแก้อักเสบและยาอื่นๆ ในการรักษา

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ยาปฏิชีวนะหรือยาแก้อักเสบ จะไม่สามารถช่วยรักษาโรคติดเชื้อในช่องหูได้ หากเกิดจากเชื้อไวรัส ดังนั้น แพทย์ของคุณอาจจะจ่ายยาตัวอื่นหรือใช้วิธีรักษาอื่นๆ ในบางครั้ง แต่หากเป็นเด็กอายุต่ำกว่า 6 เดือน แพทย์จะให้ยาแก้อักเสบเสมอ [37]
    • อย่าลืมบอกแพทย์เกี่ยวกับประวัติการใช้ยาแก้อักเสบของคุณ แพทย์จะได้รู้ว่าควรให้ยาตัวไหนจึงจะเหมาะที่สุด
    • พยายามทานยาให้ตรงตามขนาดและอย่าขาดช่วง เพื่อผลในการรักษาโรคติดเชื้อในช่องหูอย่างมีประสิทธิภาพและไม่กลับมาเป็นอีก
    • อย่าหยุดกินยาแก้อักเสบ ต่อให้รู้สึกดีขึ้นแล้วก็ตาม พยายามกินให้หมดจนครบขนาดที่แพทย์สั่ง การหยุดกินยาก่อนที่จะครบตามจำนวน อาจทำให้แบคทีเรียที่ยังหลงเหลืออยู่ กลับมาและดื้อยาตัวเดิมได้ ทำให้อาการของคุณรักษายากยิ่งขึ้นไปอีก [38]
  2. ยาหยอดหูที่มีตัวยาประเภท Antipyrine-Benzocaine-Glycerin (เช่น ยี่ห้อ Aurodex) สามารถช่วยให้อาการปวดของโรคติดเชื้อในช่องหูบรรเทาลงได้ แต่แพทย์จะไม่จ่ายยานี้ให้แก่ผู้ที่มีอาการเยื่อแก้วหูเป็นรูหรือฉีกขาด [39]
    • การหยอดหูให้เด็ก คุณควรอุ่นยาก่อน ด้วยการนำขวดยาไปวางไว้ในน้ำอุ่น หรือเอามือคุณสองข้างประคบไว้สักพัก [40] ให้เด็กนอนตะแคง หันหูข้างที่เป็นโรคติดเชื้อในช่องหูขึ้นมา หยอดตามปริมาณที่แพทย์สั่ง พยายามให้เด็กนอนอยู่ในท่าดังกล่าวค้างไว้ สัก 2 นาทีหลังจากหยอด
    • ตัวยา Benzocaine มีฤทธิ์ด้านชา (ทำให้เกิดความรู้สึกเย็นจัดสลับกับร้อนวูบวาบ) ดังนั้น หากคุณจะหยอดหูตัวเอง ควรให้ผู้อื่นหยอดให้ อย่าให้ตัวที่หยอดสัมผัสถูกหูของคุณ [41]
    • ตัวยา Benzocaine อาจทำให้คุณมีอาการผื่นแดงและคัน มันยังถูกพบว่า มีความเชื่อมโยงในทางลบกับระดับออกซิเจนในเลือด ถึงแม้จะไม่ได้พบบ่อยก็ตาม ดังนั้น คุณไม่ควรใช้เกินขนาดที่แพทย์กำหนด และปรึกษาแพทย์เพื่อให้แน่ใจว่าคุณใช้ได้ขนาดตามที่เหมาะสมกับเด็ก [42]
  3. สอบถามแพทย์เกี่ยวกับการใส่ท่อในหู หากโรคติดเชื้อในช่องหูกลับมาอีก. การกลับมาเป็นโรคหูชั้นกลางอักเสบอีกครั้ง อาจทำให้แพทย์เลือกใช้วิธีการผ่าตัดเจาะเยื่อแก้วหู (Myringotomy) ทั้งนี้ การกลับมาเป็นซ้ำที่ทำให้แพทย์อาจใช้วิธีการดังกล่าว หมายถึง การมีอาการกลับมาประมาณ 3 รอบในช่วงหกเดือนล่าสุด หรือ 4 รอบในช่วงปีล่าสุด (โดยเกิดขึ้นอย่างน้อย 1 รอบในหกเดือนล่าสุด) นอกจากนี้ ผู้ที่รักษาโรคติดเชื้อในช่องหูไม่หายด้วยวิธีอื่นๆ แพทย์ก็อาจจะใช้การผ่าตัดเจาะเยื่อแก้วหูเช่นกัน [43]
    • การผ่าตัดใส่ท่อในแก้วหูหรือ Myringotomy นั้น ผู้เข้ารับการรักษาไม่จำเป็นต้องนอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล โดยศัลแพทย์จะสอดท่อเล็กๆ ลงไปในเยื่อแก้วหู เพื่อให้ของเหลวไหลออกมาได้ง่ายขึ้น ซึ่งท่อดังกล่าวมักจะหลุดออกมาได้เอง หรือไม่แพทย์ก็แค่ดึงออกมา จากนั้น เยื่อแก้วหูก็จะปิดเองโดยอัตโนมัติ [44]
  4. ปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับการผ่าตัดต่อมอดีนอยด์ ที่มีอาการบวมออกไป. หากคุณมีอาการบวมบริเวณต่อมอดีนอยด์ ซึ่งเป็นเนื้อเยื่อที่อยู่ด้านหลังโพรงจมูก ก็อาจจะจำเป็นต้องผ่าตัดเพื่อเอาออก [45] [46]
    โฆษณา
วิธีการ 6
วิธีการ 6 ของ 6:

การป้องกันโรคติดเชื้อในช่องหู

ดาวน์โหลดบทความ
  1. การติดเชื้อรุนแรงหลายๆ อย่าง สามารถป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีนป้องกันโรคหวัดตัวใหม่ทุกปี รวมถึงวัคซีนป้องกันปอดอักเสบ ก็มีส่วนช่วยในการป้องกันโรคติดเชื้อในช่องหู [47]
    • คุณและคนในครอบครัว ควรไปรับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคหวัดทุกปี การทำเช่นนี้ จะช่วยให้คุณและคนในครอบครัวปลอดจากการติดเชื้อ [48]
    • ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า ควรใช้วัคซีนป้องกันปอดอักเสบประเภท PCV13 สำหรับกรณีที่เป็นเด็ก ลองปรึกษากุมารแพทย์ในเรื่องนี้ดู [49]
  2. รักษาความสะอาดมือและของเล่นเด็กให้สะอาดเสมอ. ล้างมือและเช็ดทำความสะอาดของเล่นเด็กเนประจำ เพื่อลดโอกาสติดเชื้อ [50]
  3. จุกนมหลอกมักแฝงไว้ด้วยแบคทีเรีย รวมถึงแบคทีเรียที่ทำให้เกิดอาการของโรคติดเชื้อในช่องหูด้วย [51]
  4. การให้เด็กดูดนมจากขวดนม จะทำให้มีนมไหลซึมออกด้านข้างได้ง่ายกว่าการดูดนมแม่ ดังนั้น โอกาสที่จะเกิดการติดเชื้อก็มากขึ้นด้วย
    • การให้เด็กดูดนมแม่ ยังทำให้ภูมิต้านทานเพิ่มขึ้นด้วย ทำให้ต่อสู้กับโรคติดเชื้อในช่องหูได้ง่ายขึ้น [52]
    • หากการให้เด็กดูดจากขวดเป็นเรื่องจำเป็น พยายามให้เด็กนั่งในท่าตรง เพื่อป้องกันนมรั่วไหลลงไปที่บริเวณหู [53]
    • อย่าเอาขวดนมไว้กับเด็ก เวลาที่ให้เด็กนอนกลางวันหรือกลางคืนก็ตาม [54]
  5. หลีกเลี่ยงการไปในที่ต้องดมควันบุหรี่ของผู้อื่น. เพื่อป้องกันโอกาสของโรคติดเชื้อในช่องหู และเพื่อสุขภาพที่ดีด้วย
  6. การใช้ยาแก้อักเสบต่อเนื่องนานเกินไป จะทำให้แบคทีเรียในตัวคุณหรือเด็ก มีอาการดื้อยาได้ พยายามใช้เฉพาะตามที่แพทย์สั่ง หรือเมื่อไม่สามารถรักษาด้วยวิธีอื่นๆ [55]
  7. หลีกเลี่ยง หรือระมัดระวังในการส่งลูกไปสถานรับเลี้ยงระหว่างวัน. สถานที่เหล่านี้จะทำให้เกิดโอกาสเสี่ยงติดเชื้อ หรือเป็นโรคติดเชื้อในช่องหูเพิ่มขึ้นอีก 50% เลยทีเดียว เนื่องจากความสะดวกในการแพร่เชื้อแบคทีเรียและไวรัส [56]
    • หากคุณจำเป็นต้องส่งเด็กไป พยายามสอนวิธีการป้องกันการติดเชื้ออย่างไข้หวัดเบื้องต้นให้แก่เด็ก เพื่อลดโอกาสติดโรคติดเชื้อในช่องหู [57]
    • สอนเด็กๆ ว่า อย่าเอานิ้วหรือของเล่นเข้าปาก และอย่าเอามือไปจับใบหน้าด้วย โดยเฉพาะบริเวณที่เป็นเยื่ออ่อน เช่น ริมฝีปาก ตา และจมูก รวมถึงล้างมือทุกครั้งหลังทานข้าว และหลังเข้าห้องน้ำ [58]
  8. ทานอาหารเช่น ผักและผลไม้สดให้หลากหลาย รวมถึงธัญพืชไม่ขัดสีและลีนโปรตีน ซึ่งจะช่วยให้สุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง ผลการศึกษาบางแห่งยังพบว่า อาหารที่มีโปรไบโอติกส์ก็มีส่วนช่วยป้องกันโรคติดเชื้อในช่องหูได้ด้วย [59]
    • แบคทีเรีย Acidophilus ซึ่งมีมากในโยเกิร์ต ก็อุดมไปด้วยโปรไบโอติกส์เช่นกัน
    โฆษณา
  1. http://www.mckinley.illinois.edu/handouts/ear_infection/ear_infection_.htm
  2. http://www.mckinley.illinois.edu/handouts/ear_infection/ear_infection_.htm
  3. http://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/swimmers-ear/basics/symptoms/con-20014723
  4. http://www.nidcd.nih.gov/health/hearing/pages/earinfections.aspx#4
  5. http://www.mckinley.illinois.edu/handouts/ear_infection/ear_infection_.htm
  6. http://www.nlm.nih.gov/medlineplus/ency/article/000638.htm
  7. http://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/ear-infections/basics/symptoms/con-20014260
  8. http://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/ear-infections/basics/tests-diagnosis/con-20014260
  9. http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/14506123
  10. http://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/ear-infections/basics/tests-diagnosis/con-20014260
  11. http://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/ear-infections/basics/treatment/con-20014260
  12. http://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/ear-infections/basics/complications/con-20014260
  13. http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC1305770/
  14. http://www.nlm.nih.gov/medlineplus/ency/article/001565.htm
  15. http://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/ear-infections/basics/treatment/con-20014260
  16. http://everydayroots.com/how-to-make-your-own-hot-or-cold-compress
  17. http://www.mckinley.illinois.edu/handouts/ear_infection/ear_infection_.htm
  18. http://www.mckinley.illinois.edu/handouts/ear_infection/ear_infection_.htm
  19. http://www.mckinley.illinois.edu/handouts/ear_infection/ear_infection_.htm
  20. http://www.mayoclinic.org/healthy-living/nutrition-and-healthy-eating/in-depth/water/art-20044256
  21. http://umm.edu/health/medical/reports/articles/ear-infections
  22. http://www.webmd.com/ear-infection?page=2
  23. http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/11434846
  24. http://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/ruptured-eardrum/basics/definition/con-20023778
  25. http://www.mayoclinic.com/health/ruptured-eardrum/DS00499
  26. http://www.webmd.com/cold-and-flu/ear-infection/ear-infections-home-treatment
  27. http://www.webmd.com/cold-and-flu/ear-infection/ear-infections-treatment-overview?page=2
  28. http://www.nlm.nih.gov/medlineplus/ency/article/000638.htm
  29. http://www.tufts.edu/med/apua/about_issue/about_antibioticres.shtml
  30. http://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/ear-infections/basics/treatment/con-20014260
  31. http://www.medicinenet.com/antipyrine_with_benzocaine-otic/article.htm
  32. http://www.medicinenet.com/antipyrine_with_benzocaine-otic/article.htm
  33. http://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/ear-infections/basics/treatment/con-20014260
  34. http://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/ear-infections/basics/treatment/con-20014260
  35. http://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/ear-infections/basics/treatment/con-20014260
  36. http://www.webmd.com/cold-and-flu/ear-infection/understanding-otitis-media-treatment?page=2
  37. http://www.nidcd.nih.gov/health/hearing/pages/earinfections.aspx#4
  38. http://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/ear-infections/basics/prevention/con-20014260
  39. http://www.cdc.gov/flu/protect/keyfacts.htm
  40. http://www.nidcd.nih.gov/health/hearing/pages/earinfections.aspx#4
  41. http://www.nlm.nih.gov/medlineplus/ency/article/000638.htm
  42. http://www.nlm.nih.gov/medlineplus/ency/article/000638.htm
  43. https://www.healthychildren.org/English/ages-stages/baby/breastfeeding/Pages/Breastfeeding-Benefits-Your-Baby's-Immune-System.aspx
  44. http://www.webmd.com/cold-and-flu/ear-infection/understanding-otitis-media-treatment?page=2
  45. http://www.nidcd.nih.gov/health/hearing/pages/earinfections.aspx#4
  46. http://www.nlm.nih.gov/medlineplus/ency/article/000638.htm
  47. http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/8783714
  48. http://www.entnet.org/content/day-care-and-ear-nose-and-throat-problems
  49. http://www.entnet.org/content/day-care-and-ear-nose-and-throat-problems
  50. http://umm.edu/health/medical/reports/articles/ear-infections

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 8,393 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา