ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

หลายปีผ่านไปความจำเป็นเรื่องเวลา พลังงาน และเงินก็มากขึ้นตามลำดับ ทำให้คุณมีแนวโน้มที่จะรับมือกับมันด้วยความวิตกกังวล คุณอาจจะรู้สึกกดดันว่าจะต้องทำหน้าที่ที่โรงเรียนหรือที่ทำงานให้ดี เป็นสมาชิกที่ดีของครอบครัวหรือเป็นที่พึ่งของใครสักคน อย่างไรก็ตามความเครียดและความวิตกกังวลทำให้เกิดความเสี่ยงด้านสุขภาพที่ร้ายแรง เพราะฉะนั้นการหาหนทางที่จะรับมือกับความกดดันและก้าวต่อไปข้างหน้าให้ได้จึงเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง

วิธีการ 1
วิธีการ 1 ของ 5:

ตอบสนองต่อสถานการณ์ที่ตึงเครียด

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ความรู้สึกกระวนกระวาย หายใจเร็ว เวียนหัว และอารมณ์โกรธที่ระเบิดออกมาเป็นแค่สัญญาณบางอย่างที่แสดงให้เห็นว่า ความเครียดกำลังส่งผลต่อตัวคุณทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ สัญญาณของความเครียดเรื้อรังอื่นๆ ได้แก่: [1]
    • ป่วยบ่อยขึ้น
    • รู้สึกกดดัน
    • รู้สึกปวดเมื่อย
    • ระบบย่อยอาหารมีปัญหา เช่น ท้องผูก
    • ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง
    • ตัดสินใจแบบหุนหันพลันแล่น
    • ปลีกตัวจากคนอื่น
    • รับประทานอาหารมากเกินไปหรือน้อยเกินไป
    • นอนมากเกินไปหรือน้อยเกินไป
    • ประสบปัญหาขาดความต้องการทางเพศ
  2. คุณต้องสามารถระบุได้ว่า อะไรคือสาเหตุของความเครียดที่ส่งผลกระทบต่อคุณมากที่สุด เพื่อที่คุณจะได้สร้างการเปลี่ยนแปลงในแง่บวกได้ สาเหตุของความเครียดอาจจะเป็นปัจจัยภายนอก เช่น หน้าที่การงานของคุณ หรือปัจจัยภายใน เช่น การเป็นคนแสวงหาความสมบูรณ์แบบ ลองพิจารณาว่าตัวอย่างสาเหตุของความเครียดที่เป็นปัจจัยภายนอกและปัจจัยภายในที่พบได้ทั่วไปเหล่านี้ตรงกับสถานการณ์ของคุณหรือเปล่า [2]
    • ประสิทธิภาพในการทำงาน
    • ประสิทธิภาพในการเรียน
    • ความสัมพันธ์ (ทั้งแบบคนรักและครอบครัว)
    • ลูกๆ
    • ปัญหาการเงิน
    • การแสวงหาความสมบูรณ์แบบ
    • การคิดอะไรมุมเดียว
    • การมองโลกในแง่ร้าย
    • ความวิตกกังวลเรื้อรัง
  3. ฝึก หายใจลึกๆ . ถ้าคุณรู้สึกถึงความกดดันในปริมาณมากมายมหาศาล ให้ขอตัวออกมาหรือออกมาอยู่คนเดียวสัก 2-3 นาทีเพื่อตั้งสติ การหายใจลึกๆ ผ่านกะบังลมสามารถกระตุ้นการตอบสนองที่ผ่อนคลายตามธรรมชาติของร่างกาย ลดอัตราการเต้นของหัวใจและความดันโลหิตด้วย [3] การหายใจลึกๆ 2-3 นาทีช่วยให้คุณสงบและหันเหความสนใจของคุณให้ไปอยู่ที่การรับมือกับสถานการณ์ที่ตึงเครียดใดๆ ที่เกิดขึ้น
    • คุณสามารถฝึกการหายใจลึกๆ ที่ไหนก็ได้ แต่ถ้าคุณเป็นมือใหม่ พยายามหาที่เงียบๆ ที่คุณสามารถนั่งได้สบายๆ โดยไม่ถูกรบกวนสักครู่ หายใจธรรมดาก่อน จากนั้นให้หายใจเข้าลึกๆ ให้ชุ่มปอดผ่านทางจมูกซึ่งจะทำให้ช่องท้องด้านล่างของคุณป่อง ค้างลมหายใจไว้นับถึง 1 หรือ 2 ก่อนจะหายใจออกช้าๆ ปล่อยให้ช่องท้องด้านล่างของคุณแฟบขณะที่ลมหายใจออกทางปาก ทำซ้ำหลายๆ ครั้งจนกว่าคุณจะรู้สึกผ่อนคลายกว่าเดิม
  4. สาเหตุของความเครียดที่คุณสามารถควบคุมได้คือ สาเหตุของความเครียดที่คุณสามารถทำอะไรสักอย่างเพื่อบรรเทาได้ในทันที ให้จดจ่ออยู่แต่กับสาเหตุที่ควบคุมได้ เพราะการพยายามควบคุมสิ่งที่คุณควบคุมไม่ได้มีแต่จะทำให้คุณเครียดมากขึ้น เมื่อคุณหาส่วนที่คุณสามารถควบคุมได้ คุณก็จะสามารถหาหนทางในการกำจัดความกดดันนั้นไปได้ [4]
  5. เมื่อคุณสามารถแยกปัญหาที่แก้ไขได้ออกจากปัญหาที่แก้ไขไม่ได้แล้ว ให้ระดมสมองเพื่อหาวิธีแก้ไขปัญหา ใช้วิธีการต่อไปนี้เพื่อให้คุณแก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ [5]
    • ท้าทาย ตัวเองด้วยการค้นหาแต่ละส่วนของปัญหา ที่มาของปัญหาเหล่านี้ และผลลัพธ์ที่คุณคาดหวัง
    • เขียนรายการ ตัวเลือก ที่แก้ไขแต่ละปัญหา พิจารณาข้อดีและข้อเสียในแต่ละตัวเลือก เลือกตัวเลือกที่จะช่วยให้คุณไปถึงผลลัพธ์ที่คุณคาดหวัง
    • สร้าง แผน ปฏิบัติการเพื่อทำตามวิธีแก้ไขปัญหาภายในระยะเวลาที่ทำได้จริง
    • ประเมิน ความก้าวหน้าของคุณ พิจารณาว่าคุณพอใจกับผลลัพธ์หรือเปล่า ถ้าไม่พอใจให้กลับไปที่รายการตัวเลือกอีกครั้งและปรับปรุงแผนปฏิบัติการ
    โฆษณา
วิธีการ 2
วิธีการ 2 ของ 5:

จัดการความเครียดและความวิตกกังวล

ดาวน์โหลดบทความ
  1. พูดซ้ำๆ กับตัวเอง เช่น “ตั้งสติแล้วก้าวต่อไป” “เดี๋ยวมันก็ผ่านไป” “ทำให้ได้” หรือ “ฉันจะยอมรับในสิ่งที่ฉันเปลี่ยนแปลงไม่ได้” ลองหาแอพฯ ที่รวบรวมคำคมเหล่านี้เอาไว้ เปลี่ยนรูปหน้าจอคอมพิวเตอร์ให้เป็นคำคมเหล่านี้หรือฟังเพลงที่มีคำคมโดนใจคุณ เช่น “ฮาคูนา มาทาทา” หรือ “เดี๋ยวทุกอย่างก็จะดีขึ้นเอง” [6]
  2. การฝึกสติคือการฝึกให้ใจจดจ่ออยู่แต่กับปัจจุบัน การมีสติช่วยทำให้สุขภาพกายและสุขภาพใจของเราดีขึ้น [7] การฝึกสติผ่านการทำสมาธิเป็นเครื่องมือสำคัญที่อยู่ในกล่องจัดการความเครียดของคุณ วิธีการคือ: [8]
    • หาที่เงียบๆ สบายๆ ที่คุณสามารถนั่งลงหลายๆ นาทีได้โดยไม่ถูกเบี่ยงเบนความสนใจ นั่งหลังตรงโดยไม่นั่งแบบหมิ่นๆ หรือเอนหลัง ถ้าคุณอยู่บนพื้น ให้เอาขาขัดสมาธิ ถ้าคุณนั่งอยู่บนเก้าอี้ ให้ขาทั้งสองข้างทำมุม 90 องศา วางมือไว้บนตัก
    • หลับตาหรือจ้องไปยังบริเวณที่ไม่มีอะไรน่าสนใจบนผนังตรงหน้า หายใจเข้าลึกๆ ให้ชุ่มปอดผ่านทางจมูกและหายใจออกทางปาก "จดจ่อ" ไปที่ลมหายใจของคุณ แค่สังเกตแต่ละลมหายใจเข้าออก
    • สุดท้ายแล้วความคิดของคุณก็จะไม่ได้จดจ่ออยู่ที่ลมหายใจ รับรู้สิ่งนี้โดยไม่ต้องจมปลักกับความคิดหรือตำหนิตัวเอง แค่เบนความสนใจกลับมาที่ลมหายใจเหมือนเดิม
  3. [9] อีกหนึ่งเทคนิคที่สามารถต่อสู้กับความเครียดและกระตุ้นการตอบสนองที่ผ่อนคลายของร่างกายก็คือ การผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ถ้าคุณอยู่ภายใต้ความกดดันมากๆ อยู่บ่อยๆ คุณอาจจะไม่สังเกตว่าร่างกายของคุณเริ่มตึง การฝึกการผ่อนคลายกล้ามเนื้อช่วยให้คุณรู้ว่า ร่างกายของคุณรู้สึกอย่างไรเวลาที่ตึงเครียดและผ่อนคลาย
    • นั่งลงบนเก้าอี้สบายๆ ให้เท้าแตะพื้น วางมือไว้บนตัก หายใจลึกๆ ปล่อยให้ช่องท้องช่วงล่างของคุณป่องขณะที่คุณหายใจเข้า จากนั้นผ่อนลมหายใจออก
    • ให้คุณเกร็งกล้ามเนื้อแต่ละกลุ่ม เริ่มจากเท้าขึ้นไป เกร็งค้างไว้ จากนั้นคลาย ขณะที่คุณเกร็งกล้ามเนื้อ ให้สังเกตว่าร่างกายรู้สึกอย่างไร จากนั้นเวลาที่คุณคลายกล้ามเนื้อ ก็ให้สังเกตด้วยว่าคุณรู้สึกอย่างไร
    • ฝึกการผ่อนคลายแบบนี้วันละ 15 นาทีหรือเมื่อไหร่ก็ตามที่คุณรู้สึกเกร็งและเครียด
    โฆษณา
วิธีการ 3
วิธีการ 3 ของ 5:

ลดความกดดันที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ดาวน์โหลดบทความ
  1. เมื่อคุณอยู่ใต้ความกดดันมากๆ ก็มีแนวโน้มว่าคุณจะบังคับตัวเองให้ทำงานไม่หยุดหย่อนเพื่อชดเชยเวลาที่เสียไปหรือเพื่อให้ทันกำหนดส่ง แต่การพักเบรกจะทำให้คุณกระปรี้กระเปร่าขึ้นทั้งในแง่ของสมาธิ ความคิดสร้างสรรค์ และส่งผลให้คุณทำงานได้มากขึ้น [10] ตั้งนาฬิกาในมือถือให้สั่นเตือนและพักสัก 2 นาทีหลังจากทำงานทุก 1 ชั่วโมง
  2. เรามักจะรู้สึกว่าตัวเองอยู่ภายใต้ความกดดันมากๆ เพราะเรามัวแต่ยุ่งมากกว่าจะมัวแต่ทำงานให้ได้มากขึ้น วิธีที่ช่วยลดความเครียดและทำให้งานเสร็จมากขึ้นวิธีหนึ่งก็คือ จัดตารางงานในแต่ละวันตามลำดับความสำคัญ
    • ทุกเช้าหรือคืนก่อนหน้า ให้เขียนรายการสิ่งที่คุณต้องทำ เขียนงานทุกงานที่คุณต้องทำให้เสร็จภายในวันนั้น
    • จากนั้นให้เลือกงานที่ใหญ่เป็นพิเศษและแบ่งเป็นขั้นตอนเล็กๆ
    • สุดท้ายให้ทำเครื่องหมายรายการตามลำดับความสำคัญโดยใช้วิธีการ A-B-C [12]
      • A - งานที่สำคัญต่ออาชีพและ/หรือการเติบโตส่วนบุคคล งานที่ช่วยสนับสนุนคนสำคัญในชีวิตของคุณ งานที่ทั้งเร่งด่วนและสำคัญ
      • B - งานอะไรก็ตามที่สำคัญ แต่ไม่ได้มีปัจจัยเร่งด่วน
      • C - งานที่ถ้าทำก็ดี แต่ไม่ได้สำคัญอะไร
    • สุดท้ายให้เริ่มทำงานตามรายการสิ่งที่ต้องทำในแต่ละวัน โดยทำรายการที่อยู่ในลำดับ A ให้เสร็จก่อน
  3. คุณอาจจะทำให้ตัวเองเครียดมากเกินไปด้วยการพยายามควบคุมทุกสิ่งทุกอย่าง การมอบหมายงานบางงานให้คนอื่นทำให้คุณสามารถทำงานได้อย่างดีเยี่ยมต่อไปในสภาพแวดล้อมที่มีความเครียดสูงโดยไม่ต้องเสียสละมาตรฐานการทำงานของคุณ [13]
    • ถ้าคุณยังใหม่กับการมอบหมายงานให้คนอื่น เลือกงานที่ค่อนข้างเล็กสักหน่อยจากรายการสิ่งที่คุณต้องทำ นึกถึงคนที่มีทักษะในงานนี้อยู่แล้วหรือเต็มใจที่จะเรียนรู้เพื่อให้งานนี้ออกมาสวยงาม
    • บอกความต้องการที่เจาะจงและรายละเอียดหรือกำหนดส่งงานที่เกี่ยวข้องกับการทำให้งานเสร็จสมบูรณ์อย่างชัดเจน คอยดูความก้าวหน้าของงานที่คุณมอบหมายให้คนอื่นทำอยู่เสมอ แต่อย่าจู้จี้จุกจิกหรือวิพากษ์วิจารณ์มากเกินไป
  4. หนึ่งในทักษะที่เป็นประโยชน์มากที่สุดที่คุณสามารถเรียนรู้ได้เพื่อลดความกดดันและพบกับความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่กว่าก็คือ การแสดงสิทธิ์ที่จะพูดคำว่า "ไม่" คุณอาจจะคิดว่าการพูดว่า "ไม่" จะทำให้คุณพลาดโอกาสหรือตัดคุณออกจากโอกาสนี้ในอนาคต แต่ที่จริงแล้วการเรียนรู้ที่จะพูดคำว่า "ไม่" ช่วยให้คุณได้จัดลำดับความสำคัญของโอกาสอีกครั้ง เพื่อที่คุณจะได้ใช้เวลา ทรัพยากร และทักษะของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด [14] ตัดสินใจว่าเมื่อไหร่ที่คุณต้องพูดว่าไม่ด้วยการถามตัวเองว่า: [15]
    • ภาระผูกพันใหม่นี้เป็นสิ่งที่ฉันอยากทำจริงๆ หรือเปล่า มันสำคัญกับเป้าหมายของฉันไหม ถ้าไม่ก็ให้ปล่อยผ่าน
    • ภาระผูกพันใหม่นี้เป็นแค่สิ่งที่ก่อให้เกิดความเครียดในระยะสั้นๆ หรือจะเพิ่มความเครียดจากเดิมที่มีอยู่แล้วให้นานไปอีกเป็นหลายสัปดาห์หรือหลายเดือน ถ้ามันเป็นแค่ระยะสั้น ให้ตอบตกลง แต่ถ้ามันเป็นระยะยาว ให้ตอบตกลงต่อเมื่อมันมีความหมายต่อการเติบโตส่วนบุคคล/ด้านการงานของคุณอย่างยิ่งยวดและคุ้มค่ากับภาระที่ได้มา
    • ฉันพูดว่า "ได้" เพราะรู้สึกผิดหรือเพราะเป็นหน้าที่หรือเปล่า ถ้าเป็นอย่างนั้น อย่าตอบตกลง
    • ฉันมีเวลาเก็บไปคิดและชั่งน้ำหนักข้อดีข้อเสียโดยไม่ต้องตัดสินใจทันทีหรือเปล่า ถ้ามีก็ให้เก็บไปคิดก่อน
    โฆษณา
วิธีการ 4
วิธีการ 4 ของ 5:

ส่งเสริมวิถีชีวิตที่ปราศจากความเครียด

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ความรู้สึกเครียดอาจทำให้คุณสวาปามอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพอย่างพวกอาหารขยะมากเกินไป [16] แต่การจัดการกับความเครียดอย่างเหมาะสมคือการเติมพลังด้วยอาหารที่ถูกต้อง หลีกเลี่ยงขนมขบเคี้ยวหวานๆ และเพลิดเพลินไปกับอาหารที่สมดุลอย่างผลไม้ ผัก เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ธัญพืชเต็มเมล็ด และผลิตภัณฑ์นมไขมันต่ำแทน [17]
  2. การออกกำลังกายลดความดันโลหิต จัดการความเครียด และช่วยหลั่งฮอร์โมน เช่น ซีโรโทนินที่ช่วยให้คุณคงทัศนคติที่ดีไว้ได้ [18] ออกกำลังกายทั้งแบบแอโรบิก (เช่น ปั่นจักรยาน วิ่ง เดิน เป็นต้น) และแบบที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีต่อสุขภาพมากที่สุด
  3. อย่าดื่มเครื่องดื่มกาเฟอีนหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป. กาเฟอีนช่วยให้คุณมีสมาธิมากขึ้น แต่คุณอาจจะถูกความกดดันกระตุ้นมากเกินไปอยู่แล้ว แอลกอฮอล์ช่วยลดความวิตกกังวลได้ในปริมาณเล็กน้อย แต่จริงๆ แล้วมันจะเพิ่มความเครียดเข้าสู่ระบบหลังจากดื่มไปแล้ว 1 หรือ 2 ช็อต [19]
  4. งานอดิเรกเป็นวิธีเบี่ยงเบนคุณจากสิ่งที่มากระตุ้นความเครียดได้อย่างวิเศษ ทำให้คุณมีเรื่องให้ตั้งตาคอย และขยายเครือข่ายในหมู่คนที่มีงานอดิเรกเดียวกัน ถ้าปัญหาการเงินทำให้คุณรำคาญใจ คุณอาจจะถึงขั้นสามารถทำกำไรจากงานอดิเรกก็ได้ [20]
    • นึกถึงสิ่งที่คุณเคยชอบทำหรือสนใจที่จะทำ แต่ต้องแน่ใจว่าเป็นสิ่งที่ทำให้คุณได้คลายเครียดจริงๆ ไม่ใช่ยิ่งทำให้เครียดมากกว่าเดิม นอกจากนี้คุณยังต้องแน่ใจด้วยว่าคุณจะมีส่วนร่วมในงานอดิเรกนี้เป็นประจำ
    • งานอดิเรกที่แนะนำก็เช่น เขียน ระบายสี เล่นดนตรี ทำงานอาสาสมัคร ทำสวน และเล่นกีฬา
    โฆษณา
วิธีการ 5
วิธีการ 5 ของ 5:

ก้าวข้ามอุปสรรค: การแสวงหาความสมบูรณ์แบบ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. พยายามเป็นคนที่มีความสามารถ ไม่ใช่คนที่สมบูรณ์แบบ. หนึ่งในสาเหตุหลักที่คนเรามักจะทุกข์ทรมานจากความเครียดภายในก็เนื่องมาจากการแสวงหาความสมบูรณ์แบบ การมีมาตรฐานสูงมักจะสร้างจริยธรรมการทำงานและบุคลิกที่ดี แต่คนที่แสวงหาความสมบูรณ์แบบนั้นมักจะตั้งมาตรฐานที่สูงมาก มาตรฐานที่เอื้อมไม่ถึง หรือเอื้อมถึงแต่ต้องอาศัยความกดดันมากๆ ตั้งใจทำงานให้เสร็จเรียบร้อยโดยไม่ต้องกังวลกับรายละเอียดที่ไม่สำคัญมากนัก
    • การเรียนรู้ที่จะคิดและตั้งเป้าหมายตามความเป็นจริงให้มากขึ้นช่วยให้คุณเอาชนะการแสวงหาความสมบูรณ์แบบได้ เมื่อคุณจับได้ว่าตัวเองกำลังตั้งมาตรฐานที่เป็นไปไม่ได้หรือวิพากษ์วิจารณ์ความสามารถของตัวเองอยู่ ให้ท่องคำพูดที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริงต่อไปนี้: [21]
      • ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ
      • ทั้งหมดที่ฉันทำได้คือทำให้ดีที่สุดจริงๆ
      • การทำผิดพลาดไม่ได้ทำให้ฉันกลายเป็นคนล้มเหลว
      • บางครั้งการทำได้ไม่ดีที่สุดก็ไม่เห็นจะเป็นไร
  2. การแสวงหาความสมบูรณ์แบบยังอาจทำให้คุณรู้สึกเหมือนว่าโลกจะแตกถ้าคุณทำผิดพลาด การถามตัวเองว่าความผิดพลาดนั้นจริงๆ แล้วร้ายแรงแค่ไหนอาจช่วยให้คุณตระหนักได้ว่า การทำผิดพลาดนั้นจริงๆ แล้วเป็นแค่เรื่องพื้นฐานและอาจช่วยให้คุณเติบโตด้วยก็ได้ ถ้าคุณจับได้ว่าตัวเองกำลังประสาทเสียเรื่องต่อไปนี้ ให้ถามตัวเองว่า: [22]
    • เรื่องนี้จะยังสำคัญอยู่ไหมในอีก 1 ปีหรือ 5 ปีข้างหน้า
    • อะไรคือสิ่งที่เลวร้ายที่สุดที่อาจเกิดขึ้น
    • ถ้าสิ่งที่เลวร้ายที่สุดเกิดขึ้น ฉันจะรับมือกับมันได้ไหม
  3. [23] การพูดแย่ๆ และโหดร้ายกับตัวเองนำไปสู่ความโกรธเคือง ความคับข้องใจ และความผิดหวัง หยุดเสียงในหัวนั้นไว้ แล้วเปลี่ยนคำวิพากษ์วิจารณ์ตัวเองในแง่ลบให้กลายเป็นความคิดที่เป็นบวกและทำให้ใจชุ่มชื้นมากขึ้น
    • ในแต่ละวันให้จดการวิพากษ์วิจารณ์ตัวเอง
    • จดสถานการณ์หรือสิ่งเร้าที่ทำให้เกิดความคิดนั้น พฤติกรรมและความรู้สึกของคุณเป็นอย่างไร
    • เขียนความคิดที่เข้ามาในหัวของคุณเป๊ะๆ (เช่น "ฉันคงไม่มีวันได้เลื่อนขั้น")
    • เขียนว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากเกิดความคิดนั้น คุณรู้สึกอย่างไร การกระทำของคุณเป็นอย่างไร
    • ตัดสินใจว่าคุณจะตอบโต้เรื่องนี้กับเพื่อนอย่างไร คุณจะแก้สิ่งที่เขาคิดไหม คุณจะบอกจุดแข็งทั้งหมดที่เขามีไหม ฝึกทำอย่างนี้ให้ได้กับตัวเอง
    โฆษณา


เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 19,610 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา