ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

การลดน้ำหนัก 5 กิโลกรัมภายใน 1 เดือนแบบไม่ทำร้ายสุขภาพช่วยเพิ่มความมั่นใจและทำให้คุณได้ก้าวสู่วิถีชีวิตที่ดีต่อสุขภาพมากยิ่งขึ้น ถ้าคุณมีความเข้าใจที่ถูกต้อง คุณต้องสามารถลดน้ำหนักและเริ่มรู้สึกดีกับร่างกายของตัวเองได้มากขึ้นแน่ๆ!

ส่วน 1
ส่วน 1 ของ 3:

รับประทานอาหารน้อยลง

ดาวน์โหลดบทความ
  1. การให้ร่างกายได้รับพลังงานน้อยลงเป็นหนึ่งในวิธีลดน้ำหนักที่ดีที่สุด การลดพลังงานลงวันละ 500-1,000 แคลอรี่ช่วยให้คุณลดน้ำหนักได้สัปดาห์ละ 0.5-1 กิโลกรัมขึ้นอยู่กับน้ำหนักตัวปัจจุบันและปริมาณอาหารที่คุณรับประทานเข้าไป ถ้าทำควบคู่กับการออกกำลังกายแล้ว วิธีนี้น่าจะช่วยให้คุณลดน้ำหนักได้ถึง 5 กิโลกรัมใน 1 เดือน [1]
    • ปริมาณแคลอรี่ต่ำสุดที่ร่างกายต้องการต่อวันสำหรับผู้หญิงคือ 1,200 และถ้าเป็นผู้ชายคือ 1,800 อย่ารับประทานอาหารน้อยกว่าพลังงานต่ำสุดที่ร่างกายต้องการในแต่ละวัน เพื่อให้คุณสามารถลดน้ำหนักได้แบบไม่ทำร้ายสุขภาพและยั่งยืน
    • ปรึกษาแพทย์หรือนักโภชนาการเรื่องทางเลือกในการรับประทานอาหารให้น้อยลงแต่ยังดีต่อสุขภาพ
  2. การนับปริมาณแคลอรี่ช่วยให้คุณวางแผนมื้ออาหารในแต่ละวันได้และรู้ว่าคุณกำลังจะไปถึงเป้าหมายหรือเปล่า ทุกครั้งที่คุณรับประทานอาหาร ให้อ่านฉลากเพื่อดูว่ามันให้พลังงานกี่แคลอรี่ จากนั้นบันทึกตัวเลขลงในโทรศัพท์หรือสมุดบันทึก
    • ถ้าคุณไม่แน่ใจว่าอาหารชนิดนั้นมีกี่แคลอรี่ ให้ค้นในอินเทอร์เน็ต เช่น คุณสามารถค้นว่า "แคลอรี่ในข้าวกล้อง 1 หน่วย" หรือ "แอปเปิลมีกี่แคลอรี่"
  3. รับประทานผักและผลไม้แทนอาหารที่ให้พลังงานสูง เช่น เนื้อสัตว์ที่ผ่านกระบวนการ. การรับประทานผักและผลไม้แทนอาหารที่ให้พลังงานสูงเป็นวิธีง่ายๆ ในการลดพลังงานที่คุณบริโภคเข้าไปในแต่ละวัน นอกจากนี้การรับประทานอาหารเหล่านี้ยังทำให้สุขภาพโดยรวมของคุณดีขึ้นด้วย [2]
    • ลูกพีช ส้ม และเกรปฟรุตให้พลังงานไม่ถึง 70 แคลอรี่
    • มะเขือเทศ ถั่วแขก ¾ ถ้วย และบร็อกโคลี 1 ถ้วยให้พลังงานแค่ 25 แคลอรี่
    • อาหารแคลอรี่สูงที่คุณควรเลี่ยงได้แก่ ไอศกรีม ชีส เนยถั่ว เฟรนช์ฟรายส์ ขนมปังขาว และมันฝรั่งแผ่นทอดกรอบ
  4. ทำอาหารรับประทานเองที่บ้านเพื่อให้คุณสามารถควบคุมปริมาณพลังงานที่คุณจะรับประทานเข้าไปได้. เวลาที่คุณไปที่ร้านอาหาร คุณมักจะเลือกอาหารที่ดีต่อสุขภาพและพลังงานต่ำได้ยาก การทำอาหารรับประทานเองที่บ้านทุกมื้อจะช่วยให้คุณสามารถคำนวณได้อย่างละเอียดว่า มื้ออาหารแต่ละมื้อให้พลังงานเท่าไหร่ [3]
  5. ในช่วงที่คุณลดน้ำหนัก การที่ต้องตัดสินใจว่าจะรับประทานอะไรแบบทันทีอาจทำให้คุณเลือกอาหารได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นการวางแผนมื้ออาหารล่วงหน้าอาจช่วยกำจัดความเสี่ยงนั้นได้ [4]
    • ทุกเย็นให้เขียนรายการอาหารที่คุณจะรับประทานในมื้อเช้า มื้อกลางวัน มื้อเย็น และของว่างระหว่างมื้อในวันถัดไปเตรียมไว้เลย
    • เพื่อประหยัดเวลา ให้คุณเตรียมอาหารไว้ล่วงหน้าและแช่ไว้ในช่องฟรีซจนกว่าจะถึงเวลานำออกมารับประทาน
    เคล็ดลับจากผู้เชี่ยวชาญ

    Julian Arana, M.S.eD., NCSF-CPT

    เทรนเนอร์และผู้ก่อตั้ง B-Fit Training Studios
    จูเลียน อารานาเป็นเทรนเนอร์และผู้ก่อตั้ง B-Fit Training Studios ในไมอามี เขามีประสบการณ์กว่า 12 ปีและได้ประกาศนียบัตรจากสมาคมฟิตเนสแห่งชาติ (NCSF) เขาจบปริญญาตรีด้านพลศึกษาจากมหาวิทยาลัยนานาชาติฟลอริดาและปริญญาโทด้านเดียวกันจากมหาวิทยาลัยไมอามี
    Julian Arana, M.S.eD., NCSF-CPT
    เทรนเนอร์และผู้ก่อตั้ง B-Fit Training Studios

    เคล็ดลับของผู้เชี่ยวชาญ: การเลือกอาหารสำหรับรับประทานก่อนออกกำลังกายให้ถูกต้องจะทำให้คุณรู้สึกกระปรี้กระเปร่าระหว่างการออกกำลังกายอย่างหนักหน่วงแทนที่จะง่วงเหงาหาวนอน คาร์โบไฮเดรตและโปรตีนเป็นสารอาหารหลักที่สำคัญที่สุดสองชนิดที่คุณต้องรับประทานก่อนออกกำลังกาย เช่น คุณอาจจะรับประทานแซนด์วิชที่เป็นขนมปังทำจากธัญพืชเต็มเมล็ด ข้างในเป็นไส้เนยอัลมอนด์กับกล้วย ข้าวโอ๊ตใส่ผลไม้และถั่วบด หรือมันเทศบดกับไก่สัก 2-3 ชิ้น

  6. หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่ให้พลังงานสูงอย่างน้ำอัดลมหรือกาแฟสูตรพิเศษ. พลังงานจากของเหลวไม่ได้ทำให้คุณรู้สึกอิ่มเท่าอาหารทั่วไป เพราะฉะนั้นคุณจึงเผลอดื่มเยอะเกินไปได้ง่ายๆ การงดดื่มเครื่องดื่มที่ให้พลังงานสูงสามารถช่วยให้คุณลดปริมาณแคลอรี่ที่ร่างกายได้รับในแต่ละวันได้ ดื่มน้ำเปล่า ชา หรือโซดาแทนเครื่องดื่มที่ให้พลังงานสูง [5]
    • ถ้าคุณดื่มกาแฟทุกวัน ให้ดื่มแต่กาแฟดำ งดดื่มกาแฟสูตรพิเศษที่เต็มไปด้วยไขมันและน้ำตาล
  7. ดื่มน้ำเปล่า 1 แก้วก่อนรับประทานอาหารเพื่อให้คุณอิ่มเร็วขึ้น. การลดปริมาณพลังงานที่คุณรับประทานในแต่ละวันอาจเป็นเรื่องยากถ้าคุณยังรู้สึกหิวอยู่หลังจากรับประทานอาหารไปแล้ว วิธีหนึ่งที่จะช่วยได้ก็คือ ดื่มน้ำ 1 แก้วก่อนเริ่มรับประทานอาหาร การเติมน้ำเข้าไปในกระเพาะจะช่วยให้คุณรู้สึกอิ่มเร็วขึ้นและรับประทานอาหารได้น้อยลง [6]
    โฆษณา
ส่วน 2
ส่วน 2 ของ 3:

ออกกำลังกายให้มากขึ้น

ดาวน์โหลดบทความ
  1. แม้ว่าคุณจะสามารถลดน้ำหนักจากรับประทานอาหารให้น้อยลงเพียงอย่างเดียวได้เช่นกัน แต่คุณก็ควรแบ่งเวลาสำหรับการออกกำลังกายในกิจวัตรประจำวันของคุณด้วย การออกกำลังกายจะช่วยให้คุณลดน้ำหนักได้เร็วขึ้น และช่วยให้น้ำหนักไม่เพิ่มด้วย [7]
    • ถ้าคุณไม่สามารถแบ่งเวลาเพื่อออกกำลังกายได้ครั้งละ 1 ชั่วโมงเต็ม ให้แบ่งเป็นครั้งละ 30 นาที 2 ครั้ง คุณอาจจะออกกำลังกายตอนเช้า 30 นาที และตอนเย็นอีก 30 นาที
    • สมัครสมาชิกฟิตเนสหรือเข้าคลาสออกกำลังกายเพื่อให้คุณมีแรงผลักดันในการออกกำลังกายมากยิ่งขึ้น
  2. ตั้งเป้าออกกำลังกายเพื่อเผาผลาญพลังงานส่วนเกินให้ได้วันละ 500 แคลอรี่. การเผาผลาญพลังงานส่วนเกินวันละ 500 แคลอรี่จะช่วยให้คุณลดน้ำหนักได้สัปดาห์ละ 0.5 กิโลกรัม การออกกำลังกายแบบนี้ควบคู่ไปกับน้ำหนักที่ลดลงจากการได้รับพลังงานจากอาหารน้อยลงในแต่ละวันจะทำให้คุณไปสู่เป้าหมายของการลดน้ำหนักให้ได้ 5 กิโลกรัมใน 1 เดือน [8]
  3. ออกกำลังกายแบบแอโรบิกระดับหนักหน่วงเพื่อเผาผลาญพลังงานให้มากๆ. เนื่องจากว่าคุณตั้งใจจะลดน้ำหนักให้ได้ 5 กิโลกรัมภายใน 1 เดือน คุณก็ต้องออกกำลังกายที่มีแรงกระแทกสูงเพื่อให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานได้มากๆ แม้ว่าการออกกำลังกายแบบแอโรบิกระดับหนักปานกลาง เช่น เดินและว่ายน้ำ จะช่วยให้คุณเผาผลาญพลังงานได้เช่นกัน แต่การออกกำลังกายแบบแอโรบิกระดับหนักหน่วงจะช่วยให้คุณเผาผลาญพลังงานได้มากกว่าในระยะเวลาที่สั้นกว่า การออกกำลังกายแบบแอโรบิกระดับหนักหน่วงที่คุณสามารถลองทำดูได้ก็เช่น : [9]
    • วิ่ง
    • ขี่จักรยาน
    • เดินทางไกล
    • กระโดดเชือก
    • เต้นแอโรบิก
  4. รวมกิจกรรมที่ต้องออกแรงในกิจวัตรประจำวันเพื่อให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานมากขึ้น. มองหาวิธีที่จะช่วยให้คุณสามารถรวมการออกกำลังกายระดับปานกลางเข้าไปในกิจวัตรประจำวันได้ เช่น เดินขึ้นบันไดแทนการใช้ลิฟต์ การออกแรงมากขึ้นระหว่างวันจะช่วยให้คุณเผาผลาญพลังงานส่วนเกินได้ 500 แคลอรี่ตามที่ตั้งเป้าไว้
    • ถ้าคุณอยู่ใกล้ที่ทำงาน ให้เริ่มเดินหรือปั่นจักรยานไปทำงานแทนการขับรถ
    • ตั้งเป้าออกไปเดินเล่นวันละ 30 นาทีในช่วงพักเที่ยงทุกวัน
  5. ออกกำลังกายแบบฝึกกล้ามเนื้อถ้าคุณอยากสร้างกล้ามเนื้อระหว่างลดน้ำหนัก. การออกกำลังกายแบบฝึกกล้ามเนื้อจะไม่เผาผลาญพลังงานมากเท่ากับการออกกำลังกายแบบแอโรบิก แต่มันจะช่วยสร้างกล้ามเนื้อขึ้นมาได้ ถ้าคุณอยากสร้างกล้ามเนื้อระหว่างการลดน้ำหนัก ให้แยกการออกกำลังกายแบบฝึกกล้ามเนื้อและแบบแอโรบิกออกจากกันไปเลย แค่อย่าลืมว่าคุณอาจจะต้องรับประทานให้น้อยลงอีกเพราะการออกกำลังกายแบบนี้ไม่ได้ช่วยให้คุณเผาผลาญได้มากนัก [10]
    • การยกเวต ใช้อุปกรณ์ฝึกแรงต้าน และวิดพื้นล้วนเป็นการออกกำลังกายแบบฝึกกล้ามเนื้อที่คุณสามารถลองทำดูได้
    โฆษณา
ส่วน 3
ส่วน 3 ของ 3:

ติดตามความก้าวหน้า

ดาวน์โหลดบทความ
  1. เขียนอาหารที่คุณรับประทานลงในสมุดบันทึกอาหาร. การจะมานั่งจำว่าคุณรับประทานอาหารไปกี่แคลอรี่ในแต่ละวันอาจทำได้ยาก และนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมการทำบันทึกอาหารถึงช่วยคุณได้ พอหมดวันคุณก็สามารถย้อนกลับไปดูและคำนวณได้ว่าคุณรับประทานอาหารไปกี่แคลอรี่ เพื่อที่คุณจะได้รู้ว่าตัวเองคุมอาหารได้หรือเปล่า ทุกครั้งที่รับประทานอะไรเข้าไป ให้จดลงในสมุดบันทึกว่ามันมีกี่แคลอรี่ [11]
    • สมุดบันทึกอาหารไม่จำเป็นต้องเป็นสมุดเล่มๆ ก็ได้ คุณจะบันทึกอาหารที่คุณรับประทานลงในโน้ตที่อยู่ในโทรศัพท์มือถือ หรือจะใช้แอปฯ บันทึกอาหารก็ได้
    • แอปฯ บันทึกอาหารที่คุณสามารถลองใช้ได้ก็เช่น นับแคลอรี่่ บันทึกน้ำหนัก, CalTracker - สมุดบันทึกแคลอรี่่ และ 70KCAL - นับแคลอรี่ ลดน้ำหนัก
  2. บันทึกว่าคุณเผาผลาญพลังงานจากการออกกำลังกายไปเท่าไหร่. เช่นเดียวกับการบันทึกอาหารที่คุณรับประทานเข้าไป การจดลงไปว่าคุณเผาผลาญพลังงานจากการออกกำลังกายไปได้เท่าไหร่ในแต่ละวันก็เป็นความคิดที่ดีเช่นกัน วิธีนี้จะทำให้คุณรู้ว่าคุณเผาผลาญพลังงานได้มากพอที่น้ำหนักจะลดหรือเปล่า เมื่อเวลาผ่านไปถ้าคุณสังเกตว่า การรับประทานอาหารน้อยลงและการออกกำลังกายลดพลังงานได้ไม่ถึงวันละ 1,000 แคลอรี่ คุณก็จะได้รู้ว่าคุณต้องปรับกิจวัตรเสียใหม่
    • ในการคำนวณว่าคุณเผาผลาญพลังงานจากการออกกำลังกายไปได้เท่าไหร่ ให้ใส่ประเภทของการออกกำลังกายและระยะเวลาลงในเครื่องคำนวณการเผาผลาญแคลอรี่ออนไลน์
    • คุณสามารถคำนวณการเผาผลาญแคลอรี่ได้ที่ https://www.healthstatus.com/calculate/cbc (ภาษาอังกฤษ)
  3. เนื่องจากว่าคุณต้องการลดน้ำหนักให้ได้ภายในระยะเวลาสั้นๆ คุณก็ต้องคอยติดตามความก้าวหน้าของตัวเองเสมอ การชั่งน้ำหนักทุกวันจะทำให้คุณรู้ว่า คุณต้องรับประทานอาหารให้น้อยลงและออกกำลังกายมากขึ้นหรือไม่ [12]
    • คุณอาจจะไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงของน้ำหนักในทุกๆ วัน แต่ถ้าคุณเห็นว่าตัวเองน้ำหนักขึ้นหรือไม่เปลี่ยนแปลงเลยตลอดทั้งสัปดาห์ คุณก็จะได้รู้ว่าคุณต้องปรับเปลี่ยนอะไรบางอย่างแล้ว
    โฆษณา

บทความวิกิฮาวอื่น ๆ ที่่เกี่ยวข้อง

ลดน้ำหนัก 20 กิโลกรัมภายใน 2 เดือน
ผอมด้วยวิธีธรรมชาติ
จดไดอารี่อาหาร
ยับยั้งอาการอยากของหวาน
รับประทานอาหารแบบแบรทไดเอท (BRAT Diet)
คำนวณแคลอรี่จากโปรตีน
เก็บกล้วยไม่ให้สุกเร็วเกินไป
ลดน้ำหนักใน 1 อาทิตย์
ลดน้ำหนัก 7 กิโลกรัมใน 2 สัปดาห์
เผาผลาญไขมันและมีสุขภาพดี
รักษาหุ่นโดยที่ยังดื่มแอลกอฮอล์ได้
วิธีทานอาหารเสริมจากส้มแขก: ความเสี่ยง, คุณประโยชน์ และข้อมูลด้านความปลอดภัย
ทำให้หน้าท้องแบนเรียบในหนึ่งสัปดาห์
ลดน้ำหนักด้วยการดื่มน้ำ
โฆษณา

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 137,557 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา