ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

ถ้าอยากลดน้ำหนักสัก 50 ปอนด์ หรือประมาณ 20 กว่ากิโลกรัมภายใน 2 เดือน ก็ต้องตั้งเป้าให้ลดได้ประมาณอาทิตย์ละ 2.5 กิโลกรัม (5 ปอนด์) แปลว่าต้องเผาผลาญ 2,500 แคลอรี่ขึ้นไป มากกว่าที่ร่างกายได้รับในแต่ละวัน ปกติการ ลดน้ำหนัก แบบปลอดภัย คือลดอาทิตย์ละไม่เกิน 0.5 - 1 กก. (1 - 2 ปอนด์) เท่ากับต้องเผาผลาญให้ได้มากกว่าที่กินเข้าไปในแต่ละวัน ประมาณ 500 - 1,000 แคลอรี่ [1] ฟังแล้วอาจจะรู้สึกชักช้า ไม่ทันใจ แต่บอกเลยว่าลดน้อยๆ แต่สม่ำเสมอ จะเห็นผลกว่าการลดน้ำหนักจำนวนมากในคราวเดียว ทั้งในด้านลดไขมันส่วนเกินในร่างกาย รอบเอว และรอบสะโพก ถ้าลดน้ำหนักเร็วเกินไป ร่างกายมักจะเสียน้ำเร็วกว่าอย่างอื่น น้ำหนักที่ลดไปก็จะกลับคืนมาในภายหลังด้วย [2] เน้นวางแผนลดน้ำหนักให้ดีต่อสุขภาพ ออกกำลังกายมากขึ้น และลองใช้วิธีต่างๆ ที่เขาพิสูจน์และรับรองผลกันมาแล้ว เพื่อให้ลดน้ำหนักได้สำเร็จอย่างปลอดภัย

วิธีการ 1
วิธีการ 1 ของ 3:

ปรับอาหารการกินและวิถีชีวิต

ดาวน์โหลดบทความ
  1. . ถึงการตั้งเป้าชัดเจนไปเลย ว่าจะลดน้ำหนักเท่าไหร่ในระยะยาว จะเป็นเรื่องดี แต่เป้าหมายในช่วงสั้นก็สำคัญไม่แพ้กัน พยายามตั้งเป้าว่าใน 1 เดือน จะลดน้ำหนักให้ได้เท่าไหร่ ต้องทำอะไรถึงจะลดน้ำหนักได้ตามเป้า แนะนำให้สร้างเป้าหมายย่อยๆ ที่เอื้อให้ไปสู่เป้าหมายใหญ่ จะช่วยให้ไม่ล้มเลิกง่ายๆ เพราะทำได้จริง [3]
    • เช่น เริ่มจากตั้งเป้าว่าใน 1 เดือนจะลดน้ำหนัก 4 กก. แปลว่าต้องลดให้ได้ประมาณอาทิตย์ละ 1 กก. คือต้องเผาผลาญแคลอรี่ส่วนเกิน 1,000 แคลอรี่ ถึงจะทำได้ตามเป้า วิธีการคือลดแคลอรี่ในอาหารประจำวัน และออกกำลังกายสม่ำเสมอ
  2. หาว่าแต่ละวันร่างกายคุณต้องการแคลอรี่มากแค่ไหน แล้วกินแบบนับแคลอรี่. การกินแบบนับแคลอรี่นี่แหละ คือวิธีที่จะทำให้กินน้อยลงจนลดน้ำหนักได้แบบเห็นผล คุณหมอก็ช่วยคำนวณแคลอรี่ที่คุณควรกินในแต่ละวันให้ได้ แต่หลักๆ คือพยายามลดแคลอรี่จากอาหารประจำวัน ให้ได้ 500 - 1,000 แคลอรี่ ควบคู่ไปกับการกินอาหารที่เหมาะสม และออกกำลังกาย อย่าลืมจดบันทึกทั้งอาหารและเครื่องดื่มที่กินในแต่ละวัน จะใช้แอพนับแคลอรี่ก็ได้ [4]
    • สำหรับสาวๆ ปริมาณแคลอรี่ต่อวันที่ไม่อันตรายต่อร่างกาย คือประมาณ 1,200 - 1,500 แคลอรี่ ส่วนถ้าเป็นผู้ชาย ให้อยู่ที่ประมาณ 1,500 - 1,800 แคลอรี่

    เคล็ดลับ : แค่ปรับเปลี่ยนนิดหน่อย ก็ส่งผลต่อแคลอรี่โดยรวมได้ เช่น ถ้าปกติชอบดื่มน้ำอัดลมหรือน้ำผลไม้หวานๆ วันละ 16 ออนซ์ (470 มล.) ให้เปลี่ยนไปดื่มน้ำเปล่า จะลดได้ 200 - 300 แคลอรี่เลยทีเดียว!

  3. ผักผลไม้ช่วยให้อิ่มท้องได้ แถมแคลอรี่น้อยกว่าอาหารอื่นๆ อย่างขนมปัง มันฝรั่งทอด และลูกอมขนมหวานทั้งหลาย แนะนำให้กินผักผลไม้ 1 - 2 หน่วยบริโภคในทุกมื้อ จะช่วยให้หายหิวแบบไม่ต้องกลัวแคลอรี่สูง เมนูแนะนำก็เช่น [5]
    • สลัดผักกาดโรเมนสดๆ ผักใบเขียวต่างๆ ปวยเล้ง มะเขือเทศ และแตงกวา
    • ผักนึ่ง อย่างบรอคโคลี่ กะหล่ำดอก แครอท ถั่วแขก และสควอช
    • เมลอนหั่นสด เบอร์รี่ แอปเปิ้ล และลูกแพร์
  4. intermittent fasting คือการกินอาหารทุกมื้อตามปกติภายใน 8 - 10 ชั่วโมง ในช่วงที่คุณใช้แรงมากที่สุดของวัน หลายคนก็กินช่วง 7 โมงเช้า - 5 โมงเย็น แต่จริงๆ แล้วคุณเลือกช่วงเวลาได้ตามชีวิตประจำวันของตัวเอง ขอแค่กินเวลาเดิมทุกวัน และหลังกินอาหารมื้อสุดท้ายเสร็จ ให้อดอาหาร 14 - 16 ชั่วโมง จนกว่าจะถึงมื้อแรกในวันถัดไป [6]
    • เช่น กินอาหารเช้าตอน 7 โมง อาหารกลางวัน 11 โมง อาหารเย็นบ่าย 3 เท่ากับกิน 8 ชั่วโมง และอดอาหาร 16 ชั่วโมง
    • หรือถ้าจะกินอาหารเช้า 9 โมง อาหารกลางวันบ่ายโมง และอาหารเย็น 5 โมง ก็เท่ากับกิน 10 ชั่วโมง และอดอาหาร 14 ชั่วโมง
  5. การกินทั้ง 2 แบบนี้ ช่วยให้ลดน้ำหนักได้ เพราะพอกินอาหารจำกัดชนิดลง ก็จำกัดแคลอรี่ไปในตัว สำคัญว่าต้องเลือกอาหารที่กินได้นานๆ ไม่เบื่อ ถ้าชอบอาหารคาร์โบไฮเดรตต่ำอยู่แล้ว เช่น ไข่ เบคอน ชีส และผักไม่มีแป้ง ก็ใช้วิธี low-carb diet นี้ได้เลย แต่ถ้าชอบกินผลไม้ ขนมปัง พาสต้า ก๋วยเตี๋ยว ข้าว ก็แนะนำให้ low-fat diet หรือกินอาหารไขมันต่ำจะดีกว่า
    • จุดสำคัญของข้อนี้คือลดแคลอรี่ของอาหารประจำวัน ให้น้อยกว่าที่ปกติกิน ถ้าไม่ลดแคลอรี่ประจำวันที่ร่างกายได้รับ ก็ลดน้ำหนักไม่ได้แน่นอน
  6. ดื่มน้ำเยอะๆ เน้นน้ำเปล่ามากกว่าเครื่องดื่มอื่น. น้ำเปล่านั้นมี 0 แคลอรี่ ดื่มแล้วร่างกายไม่ขาดน้ำ ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ จริงๆ แล้วจะไม่ดื่มอย่างอื่นนอกจากน้ำเปล่าก็ยังได้ ให้ดื่มน้ำเพียงพอในแต่ละวัน แล้วจะไม่หิวบ่อย ช่วยลดแคลอรี่ที่ร่างกายได้รับในแต่ละวันได้ [7]
    • อย่าดื่มน้ำอัดลมหวานๆ แอลกอฮอล์ หรือเครื่องดื่มแคลอรี่สูง
    • ลองใส่เลมอนหรือมะนาวฝานลงไปในน้ำ ถ้าใครไม่ชอบน้ำรสจืดตามปกติ ไม่ก็ผสมเบอร์รี่สด หรือหั่นแตงกวาใส่ลงไปก็รสชาติแปลกใหม่ดี
  7. กินแบบมีสตินี่แหละ จะทำให้คิดถึงร่างกายตัวเอง กินแบบมีรสชาติขึ้น ทำให้จดจ่อ อิ่มเร็วกว่าที่เคย เลยกินน้อยลง วิธีแนะนำก็เช่น [8]
    • ปิดคอมและทีวี เก็บมือถือไปก่อนตอนกิน
    • กินด้วยมือข้างที่ไม่ถนัด หรือใช้ตะเกียบแทน ถ้าใครไม่ถนัดใช้ตะเกียบ
    • พิจารณาอาหารที่กำลังกินก็ช่วยให้กินช้าลงได้ ลองดมกลิ่น สังเกตว่าจัดจานยังไง มีอะไรบ้าง และเคี้ยวช้าๆ รู้สึกถึงรสชาติและสัมผัสที่แตกต่างกันในปาก
    โฆษณา
วิธีการ 2
วิธีการ 2 ของ 3:

ออกกำลังกาย

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ออกกำลังกาย อย่างน้อยอาทิตย์ละ 150 นาที. นี่ถือเป็นขั้นต่ำของการออกกำลังกายให้สุขภาพแข็งแรง ยิ่งออกกำลังกายเยอะกว่านี้ได้ยิ่งดี พยายามออกกำลังกายให้ได้ 30 นาทีขึ้นไปทุกวัน เลือกกิจกรรมที่ชอบ ทำแล้วสนุก จะได้ออกกำลังกายต่อไปในระยะยาว [9]
    • เช่น เดินย่อยหลังมื้อกลางวันหรือมื้อเย็น เต้นแอโรบิก ปั่นจักรยาน หรือเต้นไปมาในห้องนั่งเล่นตามเพลงที่ชอบก็ได้

    เคล็ดลับ : ถ้าออกกำลังกายรวดเดียว 30 นาทีไม่ได้ ก็ให้แบ่งเป็นช่วงสั้นๆ จนครบ เช่น ออก 15 นาที 2 ครั้ง หรือ 10 นาที 3 ครั้ง

  2. นอกจากออกกำลังกายแล้ว ให้ขยับตัวเรื่อยๆ นิดหน่อยก็ยังดี อย่าอยู่เฉยๆ เพื่อให้เผาผลาญแคลอรี่ได้มากขึ้น รับรองน้ำหนักจะลงเร็วกว่าเดิม กิจกรรมที่แนะนำให้ทำระหว่างวันก็เช่น [10]
    • จอดรถไกลจากจุดหมายหน่อย เช่น ออฟฟิศ หรือซูเปอร์ แล้วเดินไป
    • เดินขึ้นบันไดแทนการขึ้นลิฟต์
    • เดินหรือปั่นจักรยานไปโรงเรียน ไปทำงาน
    • ลุกขึ้นเดินไปมาหรือสควอทตอนช่วงพักโฆษณา
  3. ออกกำลังกายแบบ HIIT (high-intensity interval training) ให้เบิร์นแคลอรี่มากกว่าเดิม. High-intensity interval training หรือ HIIT เป็นการออกกำลังกายด้วยความเร็วปานกลาง ตามด้วยออกแบบแรงเร็วเต็มที่ในช่วงสั้น ทำสลับกันไปแบบนี้เป็นรอบๆ คุณออกกำลังกายแบบ HIIT ได้แทบทุกกิจกรรม เช่น เดิน วิ่ง ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ กระทั่งเต้น [11]
    • เช่น อาจจะเดินเร็วปานกลาง 4 นาที แล้วเดินเร็วอีก 4 นาที จากนั้นกลับไปเดินเร็วปานกลางอีก 4 นาที สลับกันไปแบบนี้จนออกกำลังกายครบ 30 นาที
    • ถ้าจะปั่นจักรยาน ให้ลองปั่นบนพื้นราบ สลับกับขึ้นเนิน แล้วกลับไปปั่นบนพื้นราบ ตามด้วยขึ้นเนินอีกที ปั่นแบบนี้ไปจนครบ 30 นาที
  4. เสริมสร้างกล้ามเนื้อควบคู่ไปด้วย เพื่อเพิ่มอัตราการเผาผลาญ. สร้างกล้ามเนื้อ แล้วช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญแม้ยามไม่ออกกำลังกาย คือขนาดตอนหลับก็ยังเบิร์นได้ อุปกรณ์ที่ใช้เสริมสร้างกล้ามเนื้อก็เช่น แถบยางยืด ดัมเบล เล่นเครื่อง หรือออกกำลังกายโดยใช้น้ำหนักร่างกายของตัวเอง (bodyweight) พยายามฝึกกล้ามเนื้อให้ได้ครั้งละ 30 - 45 นาที อาทิตย์ละ 2 ครั้ง [12]
    • บริหารกล้ามเนื้อมัดหลักแต่ละมัดให้ครบ ทั้งแขน ขา หลัง บั้นท้าย หน้าท้อง และหน้าอก
    โฆษณา
วิธีการ 3
วิธีการ 3 ของ 3:

ใช้ตัวช่วย

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ถ้าติดนิสัยกินแหลกเวลาเครียด เศร้า เหงา เหนื่อย บางทีก็อาจต้องปรึกษานักบำบัดให้ช่วยปรับพฤติกรรม นักจิตวิทยาที่มีใบอนุญาตช่วยคุณปรับเปลี่ยนอารมณ์ทางลบ อันเป็นต้นเหตุของพฤติกรรมการกินที่ผิดปกติได้อย่างตรงจุด [13]
    • เช่น ถ้าปกติชอบกินของหวาน อาหารขยะ ตอนเครียด นักบำบัดก็จะแนะนำเทคนิคผ่อนคลาย อย่างการ หายใจเข้าออกลึกๆ หรือการเกร็งแล้วคลายกล้ามเนื้อให้
  2. เข้าร่วมกลุ่มบำบัด หรือปรึกษาคนที่ประสบปัญหาเดียวกัน. ลองปรึกษาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับคนที่ประสบปัญหาเหมือนๆ กัน จะช่วยให้มีแรงกระตุ้นให้เปลี่ยนแปลงตัวเอง ไม่ชะงักหรือกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมๆ เดี๋ยวนี้มีเพจ Facebook หรือกลุ่มออนไลน์ของชุมชนคนลดน้ำหนักเยอะแยะไปหมด หรือจะชวนเพื่อนมาออกกำลังกาย ลดน้ำหนักด้วยกันก็ได้ [14]
    • ทั้งตามฟิตเนสและออนไลน์ มีบริการโค้ชวางแผนการลดน้ำหนักให้คุณ และมักมีเพจหรือกลุ่ม Facebook ให้คนที่เข้าร่วมโปรแกรมเดียวกันมาแลกเปลี่ยนประสบการณ์กันด้วย ถ้าได้เห็นภาพถ่ายและเรื่องราวแสดงผลการลดน้ำหนักของคนอื่นๆ ก็จะทำให้มีกำลังใจ รวมถึงสอบถามข้อสงสัยหรือแบ่งปันเทคนิคกันได้ด้วย

    เคล็ดลับ : ถ้าหากลุ่มแนวร่วมลดความอ้วนไม่ได้ ลองปรึกษาคุณหมอ นักบำบัด หรือโค้ชลดน้ำหนักของคุณดู หรือถ้าไม่อยากคุยกับใครที่ไม่รู้จัก ก็ลองหันไปหาเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ คนใกล้ตัวดู

  3. ยาหลายตัวเขาวิจัยกันมาแล้วว่าช่วยให้ลดน้ำหนักได้เห็นผลยิ่งขึ้น [15] ก็ถือเป็นตัวเลือกหนึ่ง ในกรณีที่คุณมีดัชนีมวลกาย หรือ BMI (body mass index) เกิน 30 ขึ้นไป หรือกรณีที่ BMI เกิน 27 แล้วมีโรคภัยไข้เจ็บที่เกี่ยวข้องกับน้ำหนักตัวด้วย เช่น เบาหวาน หรือความดัน สิ่งแรกที่ต้องทำคือปรึกษาคุณหมอ รวมถึงคำนึงเรื่องความเสี่ยงอันเกิดจากการใช้ยา ยาลดน้ำหนักที่คุณหมอมักจ่ายให้ก็เช่น [16]
    • Orlistat
    • Lorcaserin
    • Phentermine และ topiramate
    • Buproprion และ naltrexone
    • Liraglutide
  4. ปรึกษาคุณหมอเรื่องผ่าตัดรักษาโรคอ้วน (Bariatric Surgery). ปกติ bariatric surgery หรือการผ่าตัดรักษาโรคอ้วนนั้น ถือเป็นวิธีสุดท้ายสำหรับคนที่พยายามลดน้ำหนักมาหลายปี เพราะเป็นวิธีที่เห็นผลชัดเจน เป็นการผ่าตัดลดขนาดกระเพาะ เพื่อแก้ปัญหากินเยอะเกินไป เพราะจะทำให้อิ่มเร็วขึ้น ถ้าคุณลองมาแล้วทุกวิธีแต่ไม่เห็นผล ก็ลองปรึกษาคุณหมอเรื่องผ่าตัดแบบนี้ดู [17]
    • แน่นอนว่าการผ่าตัดแบบนี้ก็มีความเสี่ยงเหมือนการผ่าตัดทุกชนิด ต้องพิจารณาหลายๆ ด้านให้ถ้วนถี่ รวมถึงปรึกษาแล้วให้คุณหมอเป็นผู้พิจารณา
    โฆษณา

เคล็ดลับ

  • ถ้าบริโภคคาเฟอีนพอประมาณ ควบคู่ไปกับการปรับเปลี่ยนอาหาร และออกกำลังกาย จะช่วยให้ลดน้ำหนักได้เห็นผลดีขึ้น ยังไงลองดื่มกาแฟหรือชาสักแก้วพร้อมอาหารเช้า หรือก่อนออกกำลังกาย จะช่วยให้รู้สึกสดชื่นมีพลัง [18]
โฆษณา

คำเตือน

  • หลีกเลี่ยงอาหารเสริมที่อ้างว่าช่วยลดน้ำหนัก หรือยาลดน้ำหนักที่ขายกัน เพราะส่วนใหญ่ไม่ได้ผล ส่วนที่ได้ผลก็น้อยมากๆ ให้ท่องไว้ว่าไม่มียาหรืออาหารเสริมไหนช่วยคุณลดน้ำหนักและผอมไปได้ตลอดแน่นอน [19]
โฆษณา

บทความวิกิฮาวอื่น ๆ ที่่เกี่ยวข้อง

จดไดอารี่อาหาร
ผอมด้วยวิธีธรรมชาติ
ยับยั้งอาการอยากของหวาน
ลดน้ำหนักใน 1 อาทิตย์
รับประทานอาหารแบบแบรทไดเอท (BRAT Diet)
ลดน้ำหนัก 5 กิโลกรัมภายใน 1 เดือน
ลดน้ำหนัก 7 กิโลกรัมใน 2 สัปดาห์
คำนวณแคลอรี่จากโปรตีน
เก็บกล้วยไม่ให้สุกเร็วเกินไป
เผาผลาญไขมันและมีสุขภาพดี
รักษาหุ่นโดยที่ยังดื่มแอลกอฮอล์ได้
ทำให้หน้าท้องแบนเรียบในหนึ่งสัปดาห์
วิธีทานอาหารเสริมจากส้มแขก: ความเสี่ยง, คุณประโยชน์ และข้อมูลด้านความปลอดภัย
ลดน้ำหนักด้วยการดื่มน้ำ
โฆษณา

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 105,359 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา