ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

ทัศนคติที่ดีจะช่วยทำให้เรามีความสุขขึ้นได้มากทีเดียว เราต้องทำความรู้จักกับทัศนคติที่ดีเสียก่อน ถึงจะสามารถสร้างขึ้นมาได้ เราอาจต้องใช้เวลาแสวงหาคุณค่าของตนเองให้พบ เพราะการเห็นคุณค่าของตนเองนั้นมีส่วนทำให้เรามีทัศนคติดีต่อชีวิตมากขึ้น อีกวิธีที่สามารถทำให้เรามีทัศนคติที่ดีได้คือการหาวิธีการดีๆ มารับมือกับความเครียดซึ่งเป็นตัวกระตุ้นให้เราคิดอะไรในแง่ลบ

วิธีการ 1
วิธีการ 1 ของ 3:

ปรับทัศนคติ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ทัศนคติต่อชีวิตจะเป็นตัวกำหนดความสุขหรือความทุกข์ของเรา เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตนเองได้เสมอไป แต่เราสามารถเปลี่ยนปฏิกิริยาที่มีต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นได้ [1] ฉะนั้นเมื่อเผชิญกับสถานการณ์อะไรตาม จะแสดงปฏิกิริยาออกไปอย่างไรนั้น ขึ้นอยู่กับเรา [2]
    • ตัวอย่างเช่น สมมติว่ารถเรายางแบน ถึงแม้เราไม่อยากให้เกิดปัญหานี้ก็ตาม แต่เราเลือกได้ว่าจะมีปฏิกิริยาต่อสถานการณ์นี้อย่างไร เราอาจโกรธเดือดดาลขึ้นมาทันที สบถบ่นในความโชคร้ายของตนเอง พอความโกรธคลายลง ก็ค่อยเปลี่ยนยางรถ ถึงแม้ปัญหาจะคลี่คลายไป แต่เราก็เสียความสุขไปกับความโกรธแล้ว
    • อีกทางหนึ่งคือ ให้ถือเสียว่าปัญหานี้เป็นเรื่องธรรมดาเรื่องหนึ่งของชีวิต สูดลมหายใจเข้าลึกๆ และเปลี่ยนยางรถเสีย ถ้าไม่เลือกเสียเวลาไปกับความโกรธ เราก็จะลงมือแก้ปัญหาที่อยู่ตรงหน้าได้ทันท่วงที ในความเป็นจริงแล้วเราอาจลองเปลี่ยนวิกฤตินั้นให้เป็นโอกาสก็ได้ เช่น ระหว่างรอให้ช่างเปลี่ยนยางรถให้ ลองหยิบหนังสือดีๆ สักเล่มที่เราไม่เคยมีโอกาสเปิดอ่านมาอ่านเสีย [3]
  2. การคิดและพูดถึงเหตุการณ์ต่างๆ ไม่ว่าในแง่ดีหรือแง่ร้ายมีผลต่อทัศนคติของเราได้ทั้งนั้น ตัวอย่างเช่น ถ้าเราพูดหรือคิดถึงเหตุการณ์หนึ่งในแง่ร้าย เราก็จะคิดถึงเหตุการณ์นั้นในแง่ร้ายต่อไป แต่ถ้าเราพูดถึงเหตุการณ์นั้นในแง่ดี เราก็จะเริ่มเปลี่ยนแปลงทัศนคติที่มีต่อเหตุการณ์นั้นไปด้วยเช่นกัน [4]
    • ตัวอย่างเช่น สมมติว่าเราได้อีเมลแจ้งข่าวที่ทำให้เราหดหู่ใจตั้งแต่ตอนเช้าตรู่ เราอาจคิดว่า “เฮ้อ! สงสัยวันนี้ฉันต้องพบแต่เรื่องโชคร้ายแน่เลย” แต่เราก็อาจคิดในทางตรงกันข้ามได้เช่นกัน คือ “ถึงจะพบเรื่องหดหู่ใจแต่เช้า แต่วันนี้ฉันจะได้พบเรื่องดีๆ บ้างอย่างแน่นอน” ถึงแม้ความคิดในแง่ดีหรือความคิดในแง่ร้ายจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ แต่สิ่งที่คิดมีผลต่อทัศนคติของเรา
  3. คำพูดเช่นว่า “ฉันทำไม่ได้หรอก” จะทำให้เราคิดแบบนั้นไปด้วย ฉะนั้นลองพูดอะไรที่เป็นไปไม่ได้ดูสิ แล้วเราจะเชื่อคำพูดนั้น แต่ให้ปรับถ้อยคำให้เป็นไปในทางบวก เช่น “ถ้าฉันเริ่มลงมือทำไปทีละนิด ฉันทำสำเร็จแน่” [5]
  4. ในสถานการณ์ทุกสถานการณ์เรามีทางเลือกเสมอ จะพร่ำบ่น หรือจะลงมือทำอะไรสักอย่างเพื่อแก้ปัญหา การพร่ำบ่นแสดงความไม่พอใจไม่ได้ทำให้เรามีความสุข แต่การลงมือแก้ไขปัญหามักจะทำให้เรามองสถานการณ์นั้นในแง่ดี เพราะเรารู้สึกว่าได้ทำอะไรที่เป็นประโยชน์ และรู้สึกว่าได้ทำอะไรสักอย่างสำเร็จเสร็จสิ้นไป [6]
  5. เราอาจชอบมองแต่เป้าหมายใหญ่ๆ เหมือนคนส่วนมาก เอาแต่เฝ้ารอเวลาที่จะได้พักร้อนหรือเที่ยวในวันหยุดครั้งต่อไป ถึงแม้การมองไปข้างหน้าไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร แต่บางครั้งการเอาแต่มองไปข้างหน้าก็อาจทำให้เรามองข้ามความความสุขในชีวิตประจำวันได้ แค่ได้กินเค้กชิ้นเล็กๆ ไปเดินเล่นกับเพื่อน หรือได้ทำกิจกรรมที่เราชอบในแต่ละวันก็มีความสุขแล้ว แต่ถ้าเราเอาแต่คิดถึงสิ่งที่ยังมาไม่ถึง เราก็จะมองไม่เห็นความสุขที่อยู่ตรงหน้า เพราะฉะนั้นจงอยู่กับปัจจุบัน และสนุกกับสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ตอนนี้ [7]
    • ตัวอย่างเช่น ถ้าเห็นเราเอาแต่คิดถึงการพักร้อนคราวหน้าในขณะที่กำลังคุยกับเพื่อน จงดึงตนเองกลับมาสู่ปัจจุบัน ตั้งใจฟังเรื่องที่เพื่อนกำลังพูดอยู่แทนที่จะปล่อยจิตใจให้คิดเรื่องอื่น
  6. การขอบคุณสิ่งดีๆ นั้นสำคัญต่อการสร้างทัศนคติที่ดีเพราะวิธีนี้ช่วยให้เราเห็นถึงคุณค่าของสิ่งดีๆ ที่เรามีในชีวิต การฝึกขอบคุณจะสอนให้เรามองเห็นแต่สิ่งดีๆ แทนที่จะมองเห็นแต่สิ่งแย่ๆ [8]
  7. ถ้าเรามักจะอยากได้ทีวีเครื่องใหม่ สมาร์ตโฟนเครื่องใหม่ รถยนต์หรูคันใหม่ แสดงว่าเราไม่เห็นคุณค่าของสิ่งของที่เรามี เรากำลังฝากความสุขไว้กับสิ่งที่เราไม่มี ฉะนั้นเราจึงรู้สึกว่าตนเองต้องไล่ตามความสุขเสมอ [10]
    • ตัวอย่างเช่น แทนที่จะคิดว่า “ฉันต้องซื้อโทรศัพท์รุ่นใหม่ล่าสุดให้ได้” ให้คิดว่า “ความจริงแล้วมือถือเครื่องที่ฉันมีอยู่ตอนนี้ก็ยังใช้งานได้ดี ถ้าเทียบกับรุ่นก่อน รุ่นที่ฉันมีอยู่นี้ก็ถือว่าใช้งานได้ดีกว่ามากทีเดียว”
  8. คนส่วนมากเชื่อว่าถ้าเราจินตนาการว่าตนเองทำตามเป้าหมายได้สำเร็จ ภาพนั้นจะช่วยให้เราไปถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้ แต่ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่าถ้าเราเอาแต่จินตนาการถึงภาพความสำเร็จและความสุข เราก็อาจไปถึงเป้าหมายช้าลง [11]
    • จงใช้เวลาสองสามนาทีนึกภาพความสำเร็จ และควรหาเวลาคิดถึงอุปสรรคต่างๆ ที่เราอาจพบเจอ เพราะการคิดถึงอุปสรรคจะทำให้เราอยู่กับความเป็นจริงมากขึ้น [12]
    โฆษณา
วิธีการ 2
วิธีการ 2 ของ 3:

แสวงหาคุณค่าของตนเอง

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ทุกคนต่างก็มีเสียงภายในตัวตนที่คอยต่อว่าเมื่อเราทำอะไรผิดไป ถึงจะเป็นเรื่องดี แต่เสียงภายในตัวตนนี้ก็อาจทำให้เราเห็นคุณค่าของตนเองน้อยลง ถ้าสามารถเปลี่ยนเสียงภายในตัวตนให้พูดกับเราดีๆ ได้ เราก็จะเริ่มเห็นคุณค่าของตนเองอีกครั้ง [13]
    • วิธีหนึ่งที่จะทำให้รู้ว่าเราพูดไม่ดีกับตนเองบ่อยแค่ไหนคือจดบันทึกความคิดที่เกิดขึ้นตลอดช่วงหนึ่งวัน ทุกครั้งที่เกิดคิดลบขึ้นมา จดบันทึกไว้ในกระดาษหรือไว้ในโทรศัพท์มือถือ การจดบันทึกจะทำให้เรารู้ตัวว่าเราต่อว่าตนเองบ่อยแค่ไหน [14]
    • พอรู้ตัวว่าพูดไม่ดีกับตนเองบ่อยๆ ก็ให้เริ่มพยายามปรับเปลี่ยนความคิดลบเหล่านั้นให้เป็นความคิดบวก ตัวอย่างเช่น ถ้าเราคิดว่า “ฉันไม่ชอบสะโพกของตัวเอง” ลองปรับเปลี่ยนความคิดให้เป็นไปทางบวกเช่น “ฉันอาจไม่ชอบสะโพกของตนเองก็จริง แต่มันเป็นสะโพกที่แข็งแรงและมีส่วนช่วยในการมีลูก” [15]
  2. คนที่เราพบปะพูดคุยมีผลต่อทัศนคติทางความคิด เราควรที่จะได้อยู่กับผู้คนที่พยายามมีความสุขกับชีวิตที่เป็นอยู่ เพราะเราเองก็จะมีความสุขไปด้วย เลือกคนหาผู้คนที่คิดบวก และพยายามตัดคนที่คิดลบออกไปจากชีวิต [16]
    • ขณะเดียวกันก็ควรงดติดตามสื่อและข่าวสารที่ทำให้เรารู้สึกไม่สบายใจ เพราะทั้งสองอย่างนี้ก็มีผลกระทบต่อเราเช่นเดียวกับผู้คน
  3. ค้นหาแรงบันดาลใจ.ลองหาหนังสือ พอดแคสต์ หรือรายการวิทยุที่สร้างแรงบันดาลใจให้เราเป็นตัวของตัวเอง หาเวลาฟังหรืออ่านอะไรที่สร้างแรงบันดาลใจให้แก่เราทุกวัน เราจะเริ่มคิดบวกได้มากขึ้นและมีแรงบันดาลใจผลักดันตนเองให้มีทัศนคติที่ดี [17]
  4. บางครั้งคนอื่นก็พยายามทำให้เรารู้สึกไม่ดีกับตนเอง บางคนอาจตัดสินเราจากรูปลักษณ์หรือพฤติกรรมแค่พฤติกรรมเดียว ไม่ว่าความคิดเห็นของผู้อื่นต่อตัวเราจะเป็นอย่างไร แต่ความคิดเห็นของเราต่อตนเองนั้นสำคัญที่สุด เพราะส่วนใหญ่สิ่งที่ผู้คนพูดเกี่ยวกับเราก็ไม่จริงเลย แต่พวกเขาพยายามทำให้ตนเองรู้สึกดีขึ้นด้วยการพูดให้เรารู้สึกแย่ [18]
    • ตัวอย่างเช่น ถ้ามีคนมาวิจารณ์เสื้อสเวตเตอร์ที่เราสวมใส่อยู่ ก็อย่าคิดมากไปเลย ให้ลองนึกถึงเหตุผลที่เราชอบเสื้อสเวตเตอร์ตัวนี้ตั้งแต่แรก และตอบกลับแบบรักษาน้ำใจว่า “เสียดายจังที่เธอไม่ชอบมัน แต่ยังไงฉันชอบเสื้อสีส้มตัวนี้อยู่ดี เวลาสวมใส่แล้วรู้สึกอุ่นดี”
  5. การได้ช่วยเหลือคนอื่นสร้างโอกาสให้เราได้ทำอะไรดีๆ ที่แตกต่างออกไป ทำให้เรารู้สึกดีกับตนเองและเริ่มมีทัศนคติที่ดี นอกจากนี้ยังทำให้เรารู้สึกขอบคุณสิ่งที่เรามีในชีวิตด้วย [19]
    • ถ้าเราไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นช่วยเหลือคนอื่นอย่างไร ให้ลองไปเป็นอาสาสมัครที่ธนาคารอาหาร สถานสงเคราะห์คนไร้ที่พึ่ง โรงเรียน หรือห้องสมุด เราจะได้มีโอกาสช่วยเหลือคนอื่นบ้าง
    • พยายามแสดงน้ำใจต่อผู้อื่นอยู่เสมอ แม้พวกเขาอาจไม่กระทำเช่นเดียวกันกับคุณก็ตาม ใช่ว่าทุกคนจะมีกลไกการมีน้ำใจ มีความฉลาดทางอารมณ์ หรือพึงพอใจในสิ่งที่ตนเองได้รับเหมือนกันหมดเสียเมื่อไหร่
    โฆษณา
วิธีการ 3
วิธีการ 3 ของ 3:

คลายความเครียด

ดาวน์โหลดบทความ
  1. เมื่อรู้สึกเครียดมากขึ้น ทางเดียวที่จะสงบจิตใจลงได้คือให้เวลาตนเองจดจ่ออยู่กับลมหายใจ หลับตาและรู้สึกถึงลมหายใจที่ผ่านเข้ามา แล้วเราจะค่อยๆ สงบลงเอง พยายามค่อยๆ หายใจเข้าลึกๆ ปล่อยความคิดอื่นๆ ให้หายไปพร้อมลมหายใจออก [20]
  2. ปริมาณการนอนหลับมีผลต่อระดับความเครียดและทัศนคติมากทีเดียว ถ้าเรานอนไม่พอ ระดับความเครียดของเราจะสูงขึ้นได้ง่ายและมีโอกาสเกิดทัศนคติที่ไม่ดีมากขึ้น การนอนหลับตามเวลาทุกคืนจะช่วยให้เราได้นอนหลับอย่างเพียงพอ จึงตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกที่สดชื่นและกระปรี้กระเปร่า [21]
    • วิธีหนึ่งที่จะทำให้เรานอนตามเวลาได้คือตั้งเวลาเข้านอนเหมือนกับที่ตั้งเวลาปลุก ตั้งเวลาก่อนเข้านอนไว้สัก 30 นาทีถึงหนึ่งชั่วโมงเพื่อเป็นการเตือนตนเองว่าถึงเวลาต้องหยุดกิจกรรมทุกอย่างแล้ว
  3. ยืดเหยียดกล้ามเนื้อเพื่อคลายความตึงเครียด ถ้าเห็นว่าตนเองตึงเครียดมากจริงๆ ตอนทำงาน ให้ลองยืดเหยียดกล้ามเนื้อเพื่อคลายความตึงเครียด การยืดเหยียดกล้ามเนื้ออย่างง่ายๆ ช่วยเราหยุดคิดเรื่องงานชั่วคราว อีกทั้งได้คลายกล้ามเนื้อที่หดเกร็งจากความเครียด [22]
    • การยืดเหยียดกล้ามเนื้ออย่างง่ายๆ ที่เราสามารถทำได้คือการเปลี่ยนจากการทำท่าวัวเป็นทำท่าแมว นั่งอยู่บนเกาอี้ โน้มตัวไปข้างหน้าพร้อมวางมือบนหัวเข่า งอหลัง แล้วเปลี่ยนเป็นท่าแมวด้วยการแอ่นหลัง [23]
    • ยืดเหยียดแขนด้วยการยกแขนทั้งสองข้างขึ้นเหนือศีรษะ จากนั้นจึงเอียงตัวไปทางซ้ายและก็ขวา [24]
    • เราจะบิดตัวก็ได้ ขณะที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ งอแขนทั้งสองข้างและบิดตัวไปด้านใดด้านหนึ่ง แล้วจากนั้นจึงบิดไปอีกด้าน [25]
  4. การเขียนบันทึกทุกวันช่วยทำให้เราได้ระบายอารมณ์ความรู้สึก ถ้าเราเอาแต่เก็บกดอารมณ์ความรู้สึกเอาไว้ตลอดเวลา ก็ยิ่งทำให้เครียดมากขึ้น [26]
  5. การกอดจะส่งสัญญาณให้ร่างกายหลั่งออกซิโทซิน ฮอร์โมนนี้สามารถช่วยให้เราผ่อนคลาย อีกทั้งยังผลักดันให้เราอยากพบปะผู้อื่นมากขึ้น จึงสามารถลดความเครียดของเราลงได้ [28]
    • ลองกอดกันอย่างน้อยแปดครั้งต่อวัน ไม่จำเป็นต้องกอดแค่เพื่อนหรือคนในครอบครัว กอดสัตว์เลี้ยงก็ได้ [29]
    โฆษณา


  1. http://www.huffingtonpost.com/sheryl-paul/the-grass-is-always-green_1_b_1281590.html
  2. http://www.nytimes.com/2014/10/26/opinion/sunday/the-problem-with-positive-thinking.html
  3. http://www.nytimes.com/2014/10/26/opinion/sunday/the-problem-with-positive-thinking.html
  4. http://www.mayoclinic.org/healthy-lifestyle/stress-management/in-depth/positive-thinking/art-20043950
  5. http://www.mayoclinic.org/healthy-lifestyle/stress-management/in-depth/positive-thinking/art-20043950
  6. http://www.mayoclinic.org/healthy-lifestyle/stress-management/in-depth/positive-thinking/art-20043950
  7. http://www.clarke.edu/page.aspx?id=3562
  8. http://www.mayoclinic.org/healthy-lifestyle/stress-management/in-depth/positive-thinking/art-20043950
  9. http://www.mayoclinic.org/healthy-lifestyle/stress-management/in-depth/positive-thinking/art-20043950
  10. http://www.clarke.edu/page.aspx?id=3562
  11. http://www.helpguide.org/articles/stress/relaxation-techniques-for-stress-relief.htm
  12. http://www.mayoclinic.org/healthy-lifestyle/stress-management/in-depth/stress-relievers/art-20047257?pg=2
  13. http://www.realsimple.com/health/mind-mood/stress/relieve-stress-in-minutes/when-you-are-really-tense
  14. http://www.realsimple.com/health/mind-mood/stress/relieve-stress-in-minutes/when-you-are-really-tense
  15. http://www.realsimple.com/health/mind-mood/stress/relieve-stress-in-minutes/when-you-are-really-tense
  16. http://www.realsimple.com/health/mind-mood/stress/relieve-stress-in-minutes/when-you-are-really-tense
  17. http://www.mayoclinic.org/healthy-lifestyle/stress-management/in-depth/stress-relievers/art-20047257?pg=2
  18. http://www.mayoclinic.org/healthy-lifestyle/stress-management/in-depth/stress-relievers/art-20047257?pg=2
  19. https://www.psychologytoday.com/blog/pressure-proof/201501/10-ways-relieve-stress-in-5-minutes-or-less
  20. https://www.psychologytoday.com/blog/pressure-proof/201501/10-ways-relieve-stress-in-5-minutes-or-less

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 32,515 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา