ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

บางครั้งมันอาจจะยากสักหน่อยในการเชื่อมั่นในตนเอง โดยเฉพาะเมื่อคุณได้สั่งสมความรู้สึกด้านลบมาอย่างยาวนาน เช่น เห็นว่าตนเองไร้ค่าและไม่มีอะไรดีต่อคนอื่นเลย คุณต้องตระหนักให้ได้เสียก่อนว่า ความเป็นจริงมันตรงกันข้ามกับความคิดดังกล่าว อย่างไรก็ตาม หากคุณมีปัญหาในการมองเห็นและตระหนักถึงข้อดีทั้งหมดของตนเอง รวมถึงความงดงามที่คุณสามารถมอบให้กับโลกใบนี้ได้ เพื่อให้มันน่าอยู่ขึ้น เราก็มีคำแนะนำง่ายๆ มาให้คุณอ่าน เพื่อช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นในตนเอง คุณจะสามารถบันทึกความสำเร็จที่ผ่านมาทั้งหมดของตนเอง และเริ่มตั้งเป้าหมายสู่อนาคต คุณจะเริ่มมีเพื่อนใหม่ๆ มีปฏิสัมพันธ์ที่ดี และมีมุมมองที่แตกต่างจากเดิม โดยเห็นโอกาสที่จะได้ใช้ความสามารถที่มีอยู่ รวมถึงสามารถดูแลตนเองเพื่อเสริมสร้างความมั่นใจให้กลับคืนมา ลองอ่านต่อไปสิว่า ยังมีอะไรที่คุณสามารถทำเพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นในตนเองได้อีกบ้าง

วิธีการ 1
วิธีการ 1 ของ 3:

รักษามุมมองเชิงบวกไว้

ดาวน์โหลดบทความ
  1. การเขียนลิสท์รายการสิ่งที่คุณเคยทำสำเร็จออกมา จะช่วยให้คุณเริ่มมีความเชื่อมั่นในตนเอ ลองนั่งลงสักพัก และจดบันทึกรายการสิ่งต่างๆที่คุณทำได้ดี ไม่ว่าจะในช่วงใดของชีวิตก็ตาม เขียนให้หมดแม้กระทั่งเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่น คุณอาจเคยประกอบชิ้นส่วนเฟอร์นิเจอร์ที่ซื้อมาจาก IKEA ได้ หรือสามารถเป็นเจ้าภาพจัดงานเลี้ยงต้อนรับเพื่อนฝูงและญาติพี่น้องให้สำเร็จลงด้วยดี เป็นต้น
    • หลังจากที่คุณเขียนออกมาจนหมดแล้ว พยายามหาจุดสังเกตดูว่า มีเรื่องหรือกิจกรรมใดที่คุณทำได้ดีอยู่เสมอ เพื่อที่จะได้เห็นภาพว่า ตัวคุณมีจุดแข็งในทักษะด้านใดบ้าง
    • หลังจากที่คุณรู้ว่าตัวเองถนัดทักษะใดบ้างแล้ว คุณก็ควรเขียนรายการทักษะเหล่านั้น ลงในอีกคอลัมน์หนึ่งทางด้านขวา และก็ควรที่จะเขียนรายการคุณลักษณะที่คุณยกย่องนับถือในตนเอง ในคอลัมน์ที่สามถัดไปด้วย [1]
    • ตัวอย่างเช่น หากคุณสังเกตว่า คุณมีความสามารถในการเลี้ยงแมวและสุนัขได้ดี นั่นย่อมหมายความว่า คุณมีคุณธรรมในด้านความเมตตากรุณาด้วย ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น คุณก็น่าจะหากิจกรรมอื่นๆ ที่คุณจะสามารถใช้คุณลักษณะดังกล่าวได้อีก เช่น การเข้าร่วมอาสาสมัครดูแลสุนัขจรจัด
  2. หากคุณไม่ค่อยมองเห็นข้อดีของตนเอง คุณสามารถหันไปลองพูดคุยกับบรรดาคนที่รักคุณก็ได้ เพราะบางทีคนเราอาจจะไม่ค่อยมองเห็นข้อดีของตนเองมากเท่าไร แต่คนที่รักในตัวเราย่อมมองเห็นมันได้อย่างง่ายดาย
    • ลองบอกพวกเขว่า “เมื่อไม่นานมานี้ ฉันรู้สึกว่าตัวเองไม่เอาไหนสักเรื่อง แต่ตอนนี้ฉันกำลังพยายามก้าวผ่านจุดนั้นอยู่ และกำลังค้นหาว่าตัวเองมีดีด้านไหนบ้าง เธอว่าฉันมีดีตรงไหนบ้างรึเปล่า
  3. มันอาจจะยากที่จะเชื่อมั่นในตนเอง หากว่าคุณเอาแต่ทำตัวเป็นที่ต้องการของผู้อื่น ดังนั้น พยายามหากิจกรรมหรือโครงการที่สอดคล้องกับอุดมการณ์ของคุณเองทำ ความปรารถนาอันแรงกล้าในการทำกิจกรรมเหล่านั้นจะช่วยผลักดันให้คุณพยายามมากขึ้น และได้เห็นว่าตัวเองมีศักยภาพแห่งความสำเร็จมากเพียงใด
  4. การตั้งเป้าหมายให้สอดคล้องกับความเป็นจริง จะช่วยให้คุณเกิดความมั่นใจในตนเอง รวมถึงในความสามารถที่จะทำการใดๆ ให้สำเร็จด้วย พยายามวางเป้าหมายที่เหมาะสมกับทักษะที่คุณมี และแน่ใจว่าสามารถทำให้เป็นจริงขึ้นมาได้ ตัวอย่างเช่น หากคุณตัดสินใจว่า เป้าหมายระยะยาวของคุณคือ การได้ทำอาชีพผู้ช่วยสัตวแพทย์ เพราะคุณมีทักษะด้านการดูแลสัตว์เลี้ยง คุณก็ควรจะแตกย่อยแผนการระยะสั้นออกมา ให้เป็นการเริ่มต้นสมัครเข้าร่วมโปรแกรมอบรมผู้สัตวแพทย์เสียก่อน หลังจากที่บรรลุเป้าหมายนี้แล้ว คุณก็สามารถขยับขยายไปพยายามทำเปาหมายย่อยๆ ลำดับต่อๆไป อันจะช่วยให้คุณขยับเข้าใกล้เป้าหมายหลักระยะยาวในที่สุด [2]
    • เตรียมพร้อมในการทำสิ่งที่คุณไม่คุ้นเคยบ้างเป็นบางคราว แม้ว่าคุณอาจจะตั้งเป้าหมายที่เป็นไปได้มากแล้ว คุณก็ยังอาจต้องลงมือทำบางเรื่องที่คุณไม่คุ้นเคย ก่อนที่จะไปถึงเส้นชัยได้
    • หลังจากที่ตั้งเป้าหมายเรียบร้อยแล้ว พยายามทำให้สำเร็จให้ได้ อย่าละทิ้งเป้าหมายนั้นเพียงเพราะมันอาจเจออุปสรรคที่ยากเกินไป หากเป็นเช่นนั้นจริง ก็ควรพยายามแตกย่อยแผนการออกมาเป็นเป้าหมายย่อยๆ และค่อยๆ ฝ่าฟันไปทีละขั้นตอน
  5. การนั่งใคร่ครวญในตนเอง เป็นองค์ประกอบหนึ่งในการพัฒนาตนเอง มันจะช่วยให้คุณเห็นภาพได้ว่า มีสิ่งไหนที่คุณทำได้ดีแล้ว และสิ่งไหนบ้างที่ยังต้องปรับปรุง พยายามหาเวลาช่วงทายของแต่ละวันในการทบทวนประสบการณ์ของวันนั้นๆ หากคุณพบว่าวันไหนมีสถานการณ์ที่คุณทำบางอย่างได้ไม่ดีเท่าที่คาดหวัง คุณก็สามารถเรียนรู้จากสถานการณ์ดังกล่าว เพื่อที่จะป้องกันไม่ให้เกิดความผิดพลาดใดๆ ขึ้นอีกในอนาคต [3]
    • ตัวอย่างเช่น หากคุณมีปัญหาในการกระตุ้นตัวเองให้ลุกจากเตียง เพื่อไปออกกำลังกลางแจ้งในตอนเช้า ตามที่ได้วางแผนเอาไว้ คุณก็จะรู้แล้วว่า คุณมีปัญหาในการลุกจากเตียงตอนเช้า ซึ่งก็สามารถแก้ได้ด้วยการตั้งนาฬิกาปลุกไว้หลายๆ อัน และอาจวางบางอันไว้ให้ห่างๆ จากเตียงคุณหน่อย เพื่อที่คุณจะได้ไม่สามารถเอื้อมมือไปปิดได้ หรืออีกวิธีหนึ่งคือ คุณสามารถปรับเปลี่ยนเวลาในการทำกิจกรรมกลางแจ้งดังกล่าวได้ แทนที่จะฝืนใจทำในตอนเช้าตามแผนเดิม
  6. บางครั้งเราอาจรู้สึกท้อแท้เพระเห็นว่า ถึงทำไปตนเองก็อาจจะล้มเหลวได้ แต่มันก็เป็นเรื่องธรรมดาที่เราจะรู้สึกเหนื่อยหน่ายในการทำบางอย่างเป็นครั้งแรก ดังนั้น แทนที่จะตำหนิตัวเองเวลาที่ทำอะไรพลาด คุณควรให้โอกาสตนเอได้ลองผิดลองถูก โดยไม่ต้องสนใจผลลัพธ์ ทั้งนี้ มีนักคิดค้นนวัตกรรมหลายท่านที่ได้ค้นพบว่า การที่จะสร้างสรรค์ผลงานแบบเฉพาะหน้าได้อย่างประสบความสำเร็จ จำเป็นต้องอาศัยความเพลิดเพลินดบันเทิงใจในการทำกิจกรรมนั้นๆ ด้วย แทนที่จะยึดติดอยู่กับเป้หมายเดียวในใจ [4]
    โฆษณา
วิธีการ 2
วิธีการ 2 ของ 3:

ต่อยอดคุณลักษณะด้านบวก

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ไม่นานนี้ มีการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ด้านระบบประสาท ซึ่งเน้นย้ำให้เห็นถึงความสำคัญของการเชื่อมต่อและสานสัมพันธ์กับผู้อื่นอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นการส่งเสริมประสิทธิภาพการทำงานของสมอง [5] ด้วยเหตุนี้ เราจะไม่สามารถประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมตนเองได้เลย หากเราไม่ตระหนักถึงอิทธิพลจากคนรอบข้างว่ามีผลกระทบต่อพฤติกรรมของเรา หรือการที่พฤติกรรมบางอย่างของเราขึ้นอยู่กับคนเหล่านั้นมากเพียงใด [6]
    • หากคุณรู้สึกว่า ใครๆก็ชอบมาเข้าหาและปรึกษาคุณเวลาที่พวกเขาต้องการคำแนะนำ แต่ตัวคุณเองกลับไม่มีใครให้พึ่งพาเวลาโศกเศร้าล่ะก็ มันอาจเป็นไปได้ว่า คุณเป็นผู้ที่มาทำหน้าที่เติมเต็ม ในบทบาทการดูแลเพื่อนๆ ในกลุ่มดังกล่าว ทั้งนี้ การช่วยเหลือดูแลผู้อื่นนั้นเป็นเรื่องที่ดี แต่คุณก็ต้องรู้จักดูแลตัวเองด้วย แต่บ่อยครั้งที่เราดูแลผู้อื่นมากกว่าตัวเองด้วยความเคยชิน ดังนั้น คุณควรถามตัวเองว่า ทำไมคุณถึงชอบดูแลและเทคแคร์ผู้อื่น และพฤติกรรมดังกล่าวส่งผลต่อตัวคุณเองอย่างไรบ้าง
  2. พยายามหัดคิดในแง่บวกเกี่ยวกับตัวเองและพฤติกรรมของตัวเอง และพยายามต่อสู้กับความคิดด้านลบ ด้วยการมองหาจุดแข็งของตนเองสักวันละสองเรื่อง
    • พยายามหมั่นท้าทายความคิดในเชิงลบให้ได้ทุกครั้งที่มันแว้บเข้ามาในหัวคุณ หากคุณรู้ตัวว่ากำลังเกิดความคิดลบ เช่น “ฉันมันขี้แพ้” “ไม่มีใครชอบฉัน” “ฉันมันไม่เอาไหนสักอย่าง” ฯลฯ พยายามหยุดมันไว้ตรงนั้น และท้าทายความคิดดังกล่าวด้วยการสวนมันกลับไป โดยคิดถึงข้อดีของตนเองออกมาสักสองข้อ ยิ่งคุณฝึกตัวเองให้คิดบวกมากเท่าไร ก็จะยิ่งชำนาญมากขึ้นเรื่อยๆ [7]
    • ตัวอย่างเช่น หากคุณรู้ทันว่า ตนเองกำลังคิดลบ หรือคิดประมาณว่า “ฉันอ่อนวิชาเลข” ก็หยุดมันไว้ตรงนั้น และคิดกลับกันในด้านบวก เช่น “ฉันว่าวิชาเลขก็ยากเหมือนกัน แต่ฉันกำลังตั้งใจฝึกฝนให้เก่งขึ้นเรื่อยๆ”
  3. บางครั้งคุณอาจรู้สึกเหมือนติดหล่มทางความคิด ไม่รู้จะไปต่อยังไงดี กรณีนี้ คุณควรสูดลมหายใจลึกๆ และพยายามคิดถึงสถานการณ์ทั้งหมดตรงหน้าให้รอบด้าน เพราะบางครั้งเราอาจถูกความคิดด้านลบครอบงำจนมองไม่เห็นด้านบวก [8] ซึ่งเราสามารถแก้ได้ด้วยการเปลี่ยนแปลงบรรยากาศ หรือกิจวัตรบางอย่างในชีวิตประจำ
    • หากความรู้สึกท้อแท้สิ้นหวัง มันค้างเติ่งในใจคุณเป็นเวลานาน คุณอาจต้องพึ่งพานักบำบัดหรือผู้ให้คำปรึกษาทางจิตด้วยก็ได้
    • พยายามหาวิธีเปลี่ยนแปลงกิจวัตรประจำวัน เช่น หากคุณรู้สึกว่า ตนเองมักจะไปอยู่ท่ามกลางคนที่คิดลบ คุณก็สามารถไปเข้าร่วมสังคมหรือกลุ่มชมรมที่คุณสนใจ เพื่อหาเพื่อนใหม่ๆ ให้ตนเอง [9]
  4. การผัดวันประกันพรุ่งหรือแช่แข็งกิจกรรมบางอย่างไว้ เพียงเพราะคุณรู้สึกว่ามันยาก ย่อมจะทำให้คุณล้มเหลว ทั้งนี้ หากคุณมีเวลาน้อยลงในการทำกิจกรรมใดๆ คุณก็มักต้องทำอย่างรีบเร่งจนพลาดบางอย่างไป ดังนั้น คุณควรเริ่มทำให้ตรงต่อเวลา เพื่อที่จะได้แสดงความสามารถได้เต็มที่ การมีประสบการณ์ในการทำเรื่องเล็กๆน้อยให้สำเร็จ สามารถสั่งสมมากขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้คุณเกิดความมั่นใจในตนเองว่า คุณจะสามารถทำเป้าหมายใหญ่ได้สำเร็จด้วยเช่นกัน
    • ตัวอย่างเช่น คุณอาจมีจานชามกองไว้เต็มอ่างและไม่ยอมล้าง เพราะต้องการไปดูรายการทีวีที่ชอบมากกว่า แต่พอมารู้ตัวอีกที ปัญหาอื่นๆ ก็เกิดขึ้นตามมาอีกแล้ว เช่น โทรทัศน์เจ๊งและต้องส่งซ่อม หรือเห็นใบแจ้งหนี้ค่าไฟที่ต้องไปชำระ ซึ่งปัญหาแทรกซ้อนเหล่านั้น ทำให้คุณต้องวางกองจานชามทิ้งไว้ต่อไปอีกนานกว่าเดิม
    • แทนที่จะปล่อยให้ดินพอกหางหมูทุกวัน พยายามทำให้เสร็จสิ้นไปทีละอย่างทันทีที่นึกออก ในช่วงแรกมันอาจจะดูน่าเบื่อสักหน่อย แต่ไม่นานนักมันจะติดตัวเป็นนิสัย จนทำให้ธุระในชีวิตประจำวันของคุณลงตัวอย่างง่ายดาย
    • หากคุณเป็นพวกชอบผลัดวันประกันพรุ่งขั้นเรื้อรัง คุณอาจจะลองไปปรึกษานักบำบัดหรือจิตแพทย์เพื่อหาทางออก ด้วยเทคนิคการบำบัดกระบวนความคิดและพฤติกรรม (CBT) อันจะช่วยแก้ไขพฤติกรรมดังกล่าวได้ [10]
  5. นักจิตวิทยาพบว่า คนเรามักจะยึดติดกับคำวิจารณ์ในเชิงลบเกี่ยวกับตนเอง มากกว่าที่จะโฟกัสคำวิจารณ์เชิงบวก [11] เรายังมักจะรู้สึกว่าคนอื่นกำลังจ้องจับผิดเรา มากกว่าที่พวกเขาทำในความเป็นจริงๆ เสียอีก [12] ดังนั้น พยายามบังคับตัวเองให้คิดด้านบวกมากกว่าด้านลบ และหากคุณพบว่า ตัวคุณและคนรอบข้าง มักชอบจับผิดตัวคุณเองจนเกินเหตุ จงพยายามหาทางแก้ไขเปลี่ยนแปลงเสีย [13]
  6. หากคุณเอาแต่เลือกหนทางที่สบาย มันก็ง่ายที่จะเกิดความคิดว่า ตนเองไม่มีความสามารถอะไรเลย จงพิสูจน์ตนเองด้วยการทำสิ่งที่ท้าทาย เพียงเพื่อที่จะท้าทายตัวเองเท่านั้น โดยคุณอาจเลือกกิจกรรมที่มีประโยชน์แม้ว่ามันอาจต้องเหนื่อยหน่อย แน่นอนว่าคุณต้องทำได้ หากคุณนำเทคนิคการแตกย่อยเป้าหมายใหญ่ ให้เป็นเป้าหมายเล็กๆ มาใช้ตามที่เรานะนำไปก่อนหน้านี้
  7. เมื่อมีสถานการณ์บางอย่างเกิดขึ้นกับคุณ และคุณรู้หรือเห็นว่ามันมีวิธีที่ดีกว่าในการแก้ไขสถานการณ์นั้น ก็จงแสดงจุดยืนออกมา อย่าเอาแต่ก้มหน้ายอมรับชะตากรรม นี่จะเป็นการแสดงให้ผู้อื่นเห็นว่าคุณมีความสามารถในการควบคุม และกล้าที่จะแสดงความต้องการหรือความปรารถนาของตนเองให้ผู้อื่นรู้ด้วย นอกจากนี้ การทำเช่นนี้ยังจะช่วยให้คุณดึงดูดผู้คนที่มีเป้าหมายและแรงบันดาลใจคล้ายคลึงกัน เข้ามาหาคุณด้วย ทั้งหมดนี้จะเป็นการปูทางไปสู่การมีสภาพการณ์แวดล้อมที่ทำให้คุณรู้สึกผ่อนคลาย ซึ่งผลการวิจัยพบว่า มันเป็นปัจจัยสำคัญในการเสริมสร้างความมั่นใจ ในการที่จะยืนหยัดเพื่อความต้องการและความปรารถนาของตัวเองด้วย [14]
    • ตัวอย่างเช่น หากเพื่อนร่วมงานของคุณชอบแซวผู้หญิงในทางเสียหาย คุณควรพยายามหาทางทำให้เขารู้ว่า คุณไม่เห็นด้วยกับพฤติกรรมดังกล่าว โดยใช้ท่าทีที่เหมาะสม หรือคุณอาจจะพูดว่า “เรารู้สึกหงุดหงิดกับมุกทะลึ่งของนายจริงๆ เพราะมันอาจทำให้เกิดประเด็นล่อแหลมได้นะ” การทำเช่นนี้อาจส่งผลให้คุณกับเพื่อนเกิดการโต้เถียงกันรุนแรงได้ก็จริง แต่ยิ่งคุณพยายามฝึกยืนหยัดในสิ่งที่คุณให้ความสำคัญ เช่น เรื่องความเท่าเทียมทางเพศ คุณก็จะสามารถทำมันได้อย่างง่ายดายมากขึ้นในคราวต่อไป
    • หากคุณมักกังวลว่า คนอื่นจะไม่เข้าใจในสิ่งที่คุณต้องการจะสื่อ จนทำให้คุณไม่กล้าแสดงจุดยืนอะไรเลย ก็จงพยายามแก้ไขในจุดนี้เสีย พยายามแสดงความคิดและความรู้สึกต่อผู้อื่น โดยไม่ต้องกังวลว่ามันจะถูกตีความอย่างไร ซึ่งแน่นอนว่า คุณอาจต้องรับมือกับความไม่เข้าใจของผู้อื่น อันเป็นผลมาจากการพยายามสื่อสารดังกล่าวด้วย [15]
    • หากเกิดการสื่อสารที่ผิดพลาดระหว่างกันขึ้น อย่ากลัวที่จะอธิบายโดยยกตัวอย่างเรื่องราวในอดีต เช่น คุณอาจยกกรณีที่คุณเคยต้องฝึกวิธีการสื่อสารกับผู้อื่น ด้วยเหตุที่คุณมีพื้นเพต่างกัน มันเป็นเรื่องสำคัญในการที่คุณควรยกตัวอย่างกรณีดังกล่าว ให้เพื่อนๆ คุณทุกคนได้เห็นว่า คุณไม่ได้กล่าวโทษใคร และเหตุการณ์ดังกล่าวก็ไม่ใช่ความผิดของใคร ซึ่งต่อไปทุกคนก็จะได้เรียนรู้และปรับตัวเข้าหากันได้ดีขึ้น โดยจะเข้าใจว่าแต่ละคนมีท่าทีการแสดงออกในลักษณะใดบ้าง
  8. การช่วยเหลือผู้อื่น จะทำให้เรามองเห็นจุดแข็งของตัวเอง และรู้สึกดีขึ้นกับตัวเองตามไปด้วย การช่วยผู้อื่นผ่านการอาสาสมัคร หรือการแสดงความเอื้อเฟื้อในชีวิตประจำวัน จะนำมาซึ่งความรู้สึกอิ่มเอมใจอย่างน่าอัศจรรย์ และยังเปิดโอกาสให้คุณได้มีช่องทางในการพัฒนาทักษะของตัวเองมากขึ้นด้วย [16] การช่วยเหลือผู้อื่นบ่อยๆ จะทำให้คุณมีความมั่นใจในตนเองมากกว่าที่เคยมีมา
    โฆษณา
วิธีการ 3
วิธีการ 3 ของ 3:

การดูแลตัวเอง

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ความรู้สึกมั่นใจในตนเองอาจจะเกิดขึ้นได้ง่ายมาก หากคุณมีความมั่นใจในรูปลักษณ์ของตนเองด้วย ทั้งนี้ คุณจะสามารถแน่ใจได้ว่ารูปลักษณ์ตัวเองออกมาดีในสายตาคนอื่น ด้วยการหมั่นดูแลสุขอนามัยและรูปลักษณ์ภายนอกอย่างเหมาะสม เป็นประจำทุกวัน [17] และอย่าลืมทำในสิ่งเหล่านี้:
    • อาบน้ำ
    • จัดแต่งทรงผม
    • ตัดเล็บให้สั้นและตะไบให้เรียบร้อย
    • โกนหรือเล็มหนวดให้ดูดี (ผู้ชาย)
    • แปรงฟัน (วันละ 2 ครั้ง)
    • ดูแลเรื่องกลิ่นกาย ด้วยการใช้น้ำหอม โลชั่น หรือโรลออน
    • สวมใส่เสื้อผ้าที่พอดีตัวและทำให้มั่นใจ
    • แต่งหน้าในสไตล์ที่ฉายจุดเด่นของคุณเอง (ผู้หญิง)
  2. อาหารที่คุณทานในชีวิตประจำวัน สามารถส่งผลกระทบทั้งทางกายและอารมณ์ ต่อความรู้สึกของคุณได้ หากคุณจัดสรรเวลาในการปรุงอาหารอันมีประโยชน์อย่างเหมาะสมให้ตนเองทาน คุณจะรู้สึกดีกว่าการหยิบมันฝรั่งทอดกรอบกับน้ำอัดลม มาใส่ปากเป็นอาหารค่ำ พยายามสำรวจทุกวันว่า คุณได้ช่วยเสริมสร้างคุณภาพชีวิตของตนเอง ด้วยการบริโภคแต่อาหารที่มีคุณค่าและประโยชน์เข้าไปในร่างกายหรือยัง [18]
  3. การออกกำลังกายได้รับการกล่าวขวัญมานานแล้วว่า มีส่วนช่วยในการคลายความเครียดและทำให้คนเรามีความสุขมากขึ้น แต่ผลการศึกษา ยังพบอีกว่า การออกกำลังกายยังช่วยเสริมสร้างความมั่นใจในตนเองให้เพิ่มขึ้นได้ด้วย ดังนั้น คุณควรจัดตารางกิจวัตรประจำวันให้มีการออกกำลังกายอย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน เพื่อคุณประโยชน์ที่จะได้รับทั้งทางร่างกายและจิตใจ [19]
  4. การอดนอนสามารถทำให้ส่งผลให้คุณเกิดภาวะประหม่าต่อหน้าผู้อื่น และเกิดอารมณ์ในทางลบได้ง่ายขึ้น ดังนั้น คุณควรนอนแต่ละคืนให้เพียงพอหรือเต็มอิ่มเข้าไว้ [20] ภาวะประหม่าต่อหน้าผู้อื่นและความคิดทางลบต่างๆ ย่อมส่งผลให้คุณมั่นใจในตนเองได้ยากขึ้น จำไว้ว่า พยายามนอนหลับได้ย่างน้อยคืนละ 8 ชั่วโมง เพื่อป้องกันผลกระทบทางลบดังกล่าวไม่ให้เกิดขึ้น
  5. พยายามหาเวลาสักเล็กน้อยในแต่ละวัน เพื่อทำกิจกรรมผ่อนคลายให้ตัวเอง คุณอาจเริ่มด้วยการสอดแทรกกิจกรรมอย่างการฝึกสมาธิ โยคะ เทคนิคการหายใจทั่วท้อง บำบัดอาการเครียดด้วยกลิ่น หรือเทคนิคอื่นๆ ที่จะช่วยให้คุณสามารถป้องกันและกำจัดความคิดเชิงลบออกไป อันส่งผลช่วยให้คุณมั่นใจในตนเองได้ง่ายขึ้น คุณควรพยายามหากิจกรรมที่เหมาะกับจริตของคุณที่สุด และเติมมันเข้าไปในตารางกิจวัตรประจำวัน [21]
  6. สิ่งแวดล้อมรอบกายสามารถส่งผลต่อความรู้สึกที่เรามีต่อตนเอง ดังนั้น จึงเป็นเรื่องสำคัญในการที่จะรักษาความสะอาดและบรรยากาศของสภาพแวดล้อมให้รื่นรมย์เสมอ หมั่นทำความสะอาดบ้านหรือห้องของคุณ เพื่อให้มันน่าอยู่ คุณอาจหาของตกแต่งบางอย่างที่มีความหมายทางใจ มาประดับไว้เพื่อช่วยให้คุณรู้สึกมีกำลังใจมากขึ้นด้วย [22]
    โฆษณา

เคล็ดลับ

  • หากคุณพบว่า ตนเองยังคงไม่สามารถเพิ่มระดับความนับถือตนเองได้ แม้ว่าจะพยายามพัฒนาตนเองมากมายเพียงใดก็ตาม ควรลองไปปรึกษานักบำบัดหรือผู้เชี่ยวชาญดูสักหน่อย เพราะบางครั้งคุณอาจจำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือจากผู้อื่นร่วมด้วย
โฆษณา

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 4,774 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา