ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

โซเดียม เป็น electrolyte หรือเกลือแร่ที่สำคัญในร่างกาย ช่วยควบคุมระดับความดันเลือดให้ปกติ เป็นสิ่งที่ทำให้กล้ามเนื้อและเซลล์ประสาททำงานได้ตามปกติ เวลาระดับโซเดียมในเลือดต่ำ เรียกว่า low serum sodium หรือ hyponatremia (ภาวะเกลือโซเดียมต่ำ) สาเหตุหลักๆ คือไฟไหม้น้ำร้อนลวก, ท้องเสีย, เหงื่อออกมากเกินไป, อาเจียน และการใช้ยาบางอย่างที่ทำให้ฉี่เยอะขึ้น เช่น ยาขับปัสสาวะ [1] ถ้าไม่ดูแลรักษาให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม โซเดียมในเลือดต่ำแล้วทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง ปวดหัว เห็นภาพหลอน และถ้าร้ายแรงก็ถึงแก่ชีวิตได้เลย [2] ถ้าอยากเพิ่มโซเดียมในเลือด ให้เปลี่ยนจากการดื่มน้ำธรรมดาไปดื่มน้ำที่มีเกลือแร่สูง เช่น เครื่องดื่มเกลือแร่ และน้ำมะพร้าว รวมถึงเพิ่มอาหารที่อุดมโซเดียมแต่ดีต่อสุขภาพ ที่สำคัญคือปริมาณของเหลวที่ออกจากร่างกาย (ฉี่ เหงื่อ) ต้องสัมพันธ์กันกับของเหลวที่ร่างกายได้รับ (น้ำและเครื่องดื่มอื่นๆ) ถ้าทำทุกวิธีที่แนะนำไปแล้วอาการหนักกว่าเดิม หรือระดับโซเดียมในเลือดไม่กลับมาเป็นปกติ ควรพบแพทย์จะดีที่สุด

ส่วน 1
ส่วน 1 ของ 3:

เปลี่ยนอาหารการกิน

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ถ้าดื่มน้ำเยอะๆ อาจทำโซเดียมในกระแสเลือดเจือจาง จนระดับโซเดียมลดลง นอกจากนี้ยังเสี่ยงทำร่างกายกักน้ำ ยิ่งดื่มน้ำเยอะ ร่างกายก็ยิ่งกักเก็บ
    • คุณลดปริมาณน้ำดื่มในแต่ละวันได้อย่างปลอดภัย เช่น แทนที่จะดื่มน้ำวันละ 2,000 มล. ขึ้นไป ถ้ารู้ตัวว่าเป็น hyponatremia ก็ให้เปลี่ยนเป็นดื่ม 1,000 - 1,500 มล. ต่อวันแทน โซเดียมในร่างกายจะได้ไม่เจือจางหรือเสียไปกับฉี่และเหงื่อ
    • ดื่มน้ำเพิ่มเฉพาะบางกรณีเท่านั้น เช่น อากาศร้อน หรือออกกำลังกายจนเสียเหงื่อ เพราะร่างกายจะเสียน้ำจนเกิดภาวะขาดน้ำได้ จะกลายเป็นผิดจุดประสงค์ไป
  2. ถ้าคุณเป็นนักกีฬาหรือคนที่มีกิจกรรมเยอะ ออกแรงแยะ เหงื่อโทรมกาย ให้พกเครื่องดื่มเกลือแร่ติดตัวไว้ จะช่วยทดแทนเกลือโซเดียมที่เสียไปจากกระแสเลือด
    • เครื่องดื่มเกลือแร่ (sports drink) ต่างๆ เช่น เกเตอเรด จะมีเกลือแร่ (electrolytes) ที่ร่างกายต้องการหลังเสียของเหลวต่างๆ ในร่างกาย เช่น เสียเหงื่อ หรืออาเจียน
    • เครื่องดื่มเกลือแร่จะมีเกลือแร่ที่จำเป็นต่อร่างกาย โดยเฉพาะโซเดียมกับโพแทสเซียม ช่วยแก้ปัญหาโซเดียมในเลือดต่ำได้ดี
  3. ถ้าไม่ชอบเครื่องดื่มเกลือแร่ ก็ยังมีเครื่องดื่มอื่นๆ ที่ดีและมีประโยชน์ต่อร่างกาย. เราเข้าใจว่าบางทีรสชาติของเครื่องดื่มเกลือแร่ก็เหลือรับ แถมหาซื้อยาก หรือแพง เพราะงั้นลองพิจารณาตัวเลือกต่อไปนี้ดู
    • น้ำเกลือ เป็นอะไรที่ทำเองได้ง่ายๆ ใช้ดื่มชดเชยโซเดียมที่ร่างกายเสียไปได้ทันที แค่ผสมเกลือ 1 หยิบมือในน้ำ 1 แก้ว แล้วดื่มเลย
    • น้ำมะพร้าว เป็นน้ำที่มีเกลือแร่สูง ป้องกันร่างกายขาดน้ำได้ดี น้ำมะพร้าวมีทั้งโซเดียม แมกนีเซียม และโพแทสเซียมสูง
    • กล้วย หลังออกกำลังกายหรือออกแรงหนักๆ ให้กินกล้วย 1 - 2 ลูก เพราะมีโพแทสเซียมสูง
  4. ถ้าเสียโซเดียมไปพร้อมกับเหงื่อหรือสาเหตุอื่นๆ ก็ชดเชยได้ทันทีในอาหารมื้อถัดไป อาหารต่อไปนี้ช่วยเพิ่มและชดเชยโซเดียมที่เสียไปตอนทำกิจกรรมต่างๆ [3]
    • เกลือ 1 ช้อนชา คือปริมาณที่แนะนำให้บริโภคในแต่ละวัน (2,300 มก.)
    • ซุปใส หรือซุปข้น ซุปก้อน 5 มก. จะมีโซเดียมประมาณ 1,200 มก.
    • ซาลามี่ 1 แผ่น มีโซเดียม 226 มก.
    • เบคอน 1 เส้น มีโซเดียม 194 มก.
    • ชีส 100 กรัม มีโซเดียม 215 มก.
    • มะกอก 100 กรัม มีโซเดียม 1,556 มก.
    • ซอสถั่วเหลือง 1 ช้อนชา มีโซเดียม 335 มก.
    • ไข่ปลาคาเวียร์ 100 กรัม มีโซเดียม 1,500 มก.
  5. จริงๆ อาหารแทบทุกอย่างที่เรากินก็มีโซเดียมอยู่แล้ว แต่วิธีเพิ่มโซเดียมในเลือดแบบดีต่อสุขภาพ คือกินผักผลไม้ที่มีโซเดียมนั่นเอง พวกอาหารแปรรูปก็โซเดียมสูง แต่คุณหมอและนักโภชนาการทั้งหลายไม่แนะนำ กินอาหารสดดีกว่า [4]
    • น้ำผัก 1 แก้ว จะมีโซเดียม 500 มก. ง่ายๆ คือให้ปั่น cardoon (พืชตระกูลทานตะวัน), แครอท กับขึ้นฉ่าย แล้วแต่งรสด้วยเกลือ 1 หยิบมือ
    • มันหวานกับปวยเล้งก็โซเดียมสูง แต่ถ้าไม่ค่อยว่างทำอาหาร ให้กินถั่วขาวกระป๋อง ที่มีโซเดียม 1,174 มก. ต่อ 1 ถ้วยตวง หรือมะกอกกระป๋องแทน หรือมะกอกดอง 1 serving (5 ลูก) ก็มีโซเดียม 550 มก.
    • ผลไม้อย่าง mammy apple (ผลไม้ตระกูลมังคุด), ฝรั่ง และเสาวรส ก็มีโซเดียม 50 มก. - 130 มก.
    • ผลไม้แปรรูปจะมีโซเดียมเพิ่มไปอีก 50 มก. (อันนี้ข้อมูลของทางกระทรวงเกษตรของอเมริกาเขา)
  6. ซุปเนื้อหรือน้ำสต๊อกที่เคี่ยวจากกระดูก ก็มีโซเดียมสูง มีทโลฟกับสตูว์เนื้อก็เหมือนกัน ถ้าคุณไม่ชอบกินผักผลไม้ ก็ยังมีตัวช่วยจากเนื้อสัตว์นี่แหละ
    • พวกเนื้อสัตว์แบบ cold cut นี่แหละโซเดียมเต็มๆ จริงๆ แล้วเนื้อสัตว์แปรรูปทั้งหลายก็โซเดียมสูงทั้งนั้น เพราะขั้นตอนการถนอมอาหาร อาหารแปรรูปที่ว่ามีตั้งแต่นักเก็ตไก่ไปจนถึงพิซซ่า แฮมเบอร์เกอร์ และอาหารฟาสต์ฟู้ดต่างๆ ถ้าไม่เลือกกินให้ดีอาจกลายเป็น โซเดียมเยอะเกิน จนเสียสุขภาพไป [5]
    โฆษณา
ส่วน 2
ส่วน 2 ของ 3:

ควบคุมปริมาณโซเดียม

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ถ้าไม่ได้มีโรคประจำตัว หรือเจ็บป่วยอะไรมาก่อนหน้าจนคุณหมอต้องจ่ายให้ ก็อย่ากินยาขับปัสสาวะเด็ดขาด พวกนี้คนเขาเรียกกันว่า “water pills” (ยาขับน้ำ) เพราะมีสารกระตุ้นให้ฉี่จนร่างกายกักเก็บน้ำไว้ในร่างกายไม่ได้ ถึงจะบอกว่าน้ำในร่างกายเยอะเกินอาจทำโซเดียมเจือจาง แต่กรณีนี้จะทำให้เสียโซเดียมไปด้วย จนเกิดภาวะขาดน้ำได้
    • ยาขับปัสสาวะมีฤทธิ์ขับน้ำและโซเดียมออกจากร่างกาย ถ้ากินยาชนิดนี้ จะทำให้คุณสูญเสียโซเดียมกว่าเดิม อันตรายต่อสุขภาพโดยรวม
    • ยาขับปัสสาวะที่นิยมใช้กันก็เช่น Chlorothiazide (Diuril), Furosemide (Lasix) และ Spironolactone (Aldactone)
  2. ระบบดูแลสุขภาพแห่งชาติ (The National Health Service (NHS)) ของอังกฤษ แนะนำว่าผู้ใหญ่ควรบริโภคเกลือไม่เกิน 6 กรัมต่อวัน กะง่ายๆ ก็คือ 1 ช้อนชาเต็มๆ ซึ่งตามข้อมูลไม่แนะนำให้กินอาหารที่เค็มจัด
    • ถ้าใครกิจกรรมเยอะหน่อย ก็ต้องมีระดับโซเดียมที่สูงกว่าคนทั่วไป รวมถึงคนที่เป็น hyponatremia คือภาวะเกลือโซเดียมต่ำ ก็ต้องเพิ่มเช่นกัน ยังไงปรึกษาคุณหมอประจำตัวดู
    • ตามสถิติ คนไทยบริโภคเกลือ (โซเดียม) เฉลี่ยแล้วเกินปริมาณที่ร่างกายต้องการไป 2 เท่า เพราะงั้นบางทีระดับโซเดียมของคุณอาจไม่ใช่อย่างที่คิดก็ได้ [6]
    • ถ้าเป็นเด็กวัยเตาะแตะ ต้องได้รับโซเดียม 2 กรัมต่อวัน ส่วนเด็กโตต้องเป็น 3 - 5 กรัมต่อวัน ย้ำกันอีกทีว่าระดับโซเดียมที่แนะนำต่อวันสำหรับผู้ใหญ่ คือไม่เกิน 6 กรัม (2,300 มก.)
  3. สำคัญมากว่าต้องคอยเช็คปริมาณน้ำดื่มในแต่ละวัน อย่างตอนพักผ่อนก็จะต่างกับตอนออกกำลังกาย ให้กะปริมาณน้ำหรือของเหลวที่เสียไปตอนฉี่และเหงื่อออก จะได้รู้ว่าควรดื่มน้ำมากแค่ไหน
    • อย่าดื่มน้ำมากกว่า 800 มล. ต่อชั่วโมง โดยเฉพาะนักกีฬาหรือคนที่ออกกำลังกายหนักๆ อาจเผลอดื่มน้ำเยอะจนน้ำในร่างกายเยอะเกินไป มีงานวิจัยทางการแพทย์ที่ชี้ว่านักวิ่งมาราธอนมักเกิดภาวะโซเดียมในเลือดต่ำเพราะดื่มน้ำชดเชยหรือดับกระหายมากเกินไป
    • Vasopressin คือฮอร์โมน ADH (ant-diuretic hormone) ในร่างกาย ที่เพิ่มขึ้นตอนร่างกายตึงเครียดขึ้นในช่วงสั้นๆ จนร่างกายกักน้ำแทนการเหงื่อออกมากๆ อย่างถ้าวิ่งจนร่างกายตึงเครียด จะทำให้ไตขับของเสียแย่ลง เหลือแค่ 100 มล. ต่อชั่วโมงเท่านั้น (ปกติ 1 ลิตร)
  4. ก่อนจะเปลี่ยนไปกินอาหารเน้นโซเดียม ต้องระวังโรคประจำตัวต่างๆ โดยเฉพาะคนที่เป็นโรคไต โรคหัวใจ และโรคกระดูกพรุน สรุปคือปรึกษาคุณหมอก่อนปรับเปลี่ยนอะไรจะดีที่สุด
    • มีแค่ไม่กี่กรณีเท่านั้น ที่ต้องเปลี่ยนไปกินอาหารโซเดียมสูง ปกติคุณหมอจะแนะนำให้หลีกเลี่ยงอาหารเค็มอยู่แล้ว โดยเฉพาะอาหารไขมันต่ำและโปรตีนสูง ที่ช่วยป้องกันโรคความดันสูงและโรคหัวใจ
    โฆษณา
ส่วน 3
ส่วน 3 ของ 3:

ระวังอาการแทรกซ้อน

ดาวน์โหลดบทความ
  1. พอเกลือโซเดียมในร่างกายลดลง จะส่งผลกระทบต่อร่างกาย ยิ่งถ้าเกิดภาวะเกลือโซเดียมต่ำรุนแรงแล้วไม่รีบดูแล อาจถึงแก่ชีวิตได้เลย อาการต่อไปนี้จะบอกได้ ว่าระดับโซเดียมในเลือดของคุณต่ำหรือเปล่า
    • ปวดหัว
    • คลื่นไส้ อาเจียน
    • อ่อนเพลีย หรือไม่มีแรง
    • กล้ามเนื้อกระตุก
    • สับสนมึนงง
    • หงุดหงิด กระวนกระวาย
      • ถ้าถึงขั้นหมดสติ ชักเกร็ง และ/หรือโคม่า ต้องถึงมือหมอโดยด่วน ให้นำส่งโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด
  2. อาการ hyponatremia พวกนี้ มักเกิดเพราะสมองไวต่อภาวะโซเดียมต่ำมาก (เลยแสดงอาการพวกนี้ออกมา) ถึงได้ย้ำว่าถ้าปล่อยไว้อาจถึงตายได้ เพราะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสมองนั่นเอง [7]
    • ที่กระทบกระเทือนต่อสมองมาก เพราะพอโซเดียมในเลือดต่ำ น้ำส่วนเกินจะเข้าสู่เซลล์สมอง ทำให้เซลล์บวม ซึ่งอันตรายมาก ต้องถึงมือหมอเร็วที่สุด
  3. ถ้าคุณมีอาการตามที่บอก หรือสงสัยว่าระดับโซเดียมในเลือดของตัวเองต่ำ ให้รีบไปหาหมอเลย ระดับโซเดียมที่เหมาะสมเป็นอะไรที่กะลำบากมาก เพราะนิดเดียวก็มากหรือน้อยเกินไป คุณหมอนี่แหละที่จะแนะนำวิธีปฏิบัติตัวให้คุณได้ดีที่สุด
    • ถ้าปล่อยไว้อาการอาจลุกลามรุนแรงได้ ให้ปฏิบัติตามขั้นตอนที่ว่ามาอย่างเคร่งครัด สงสัยตรงไหนให้ปรึกษาคุณหมอทันที ถ้าอาการไม่มาก แค่ปรับระดับโซเดียม/น้ำในร่างกายให้ปกติก็ช่วยได้ แต่ยังไงก็ควรปรึกษาคุณหมอ จะได้เจอทางเลือกที่เหมาะสมกับสภาพร่างกายคุณที่สุด
    โฆษณา

เคล็ดลับ

  • ถ้าอยากแน่ใจว่าระดับโซเดียมในเลือดไม่ผิดปกติ ให้ตรวจเลือดจะชัดเจนที่สุด
โฆษณา

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 126,183 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา