ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

คุณเริ่มต้นวันยังไง ตลอดวันก็จะเป็นไปแบบนั้น อย่างถ้าวันไหนเครียด วุ่นวายตั้งแต่เช้า คุณก็จะปวดหัวแบบนั้นต่อไปทั้งวัน จะเริ่มวันใหม่อย่างสดใสมีแรงบันดาลใจได้ คุณต้องรู้จักวางแผน มีไม่กี่คนหรอกที่ตื่นเช้าแต่ไก่โห่ได้แบบไม่ต้องพยายาม แค่ลองปรับเปลี่ยนอะไรนิดหน่อย คุณก็สามารถจัดระเบียบชีวิต ให้เริ่มทุกเช้าอย่างสงบเป็นระบบได้ ถ้าเช้ามาคุณก็เปี่ยมแรงบันดาลใจแล้ว รับรองว่าระหว่างวันจะทำได้เป็นร้อยเป็นพันอย่างเลย

ส่วน 1
ส่วน 1 ของ 3:

เปลี่ยนมากินอาหารดีมีประโยชน์ และเข้านอนให้เป็นเวลา

ดาวน์โหลดบทความ
  1. เตรียมอาหารเช้ากับอาหารกลางวันตั้งแต่เมื่อวาน. ทั้งแต่งตัว ให้อาหารหมาแมวแถมลูก นี่ยังไม่นับภารกิจอื่นๆ ก่อนออกจากบ้าน จะเยอะไปไหมสำหรับช่วงเช้าที่เวลาน้อยเหลือเกิน คุณแบ่งเบาภาระของตัวเองได้ โดยเตรียมอาหารเช้ากับกลางวัน (ถ้าจะเอาไป) ตั้งแต่คืนก่อนหน้า ถ้าเช้ามาคุณไม่ต้องทำอะไรอีก แค่คว้าข้าวกล่องแล้วออกจากบ้านได้เลย ก็จะทำให้คุณไม่ต้องงดข้าวเช้าเพราะไม่มีเวลา หรือไม่ต้องแวะซื้อฟาสต์ฟู้ดกินตอนกลางวันให้เสียสุขภาพอีกต่อไป [1]
    • เติมพลังให้เยอะๆ ถึงจะบอกว่าก็เมื่อวานเย็นกินไปซะมื้อใหญ่ แต่พอเช้ามาก็ไม่เหลือแล้ว อาหารเช้าอุดมไฟเบอร์นี่แหละช่วยให้ระดับน้ำตาลในเลือดของคุณคงที่ จนรู้สึกกระปรี้กระเปร่าแถมมีสมาธิมากขึ้น คุณต้องมีพลังงานเหลือเฟือถึงจะแรงบันดาลใจมาเต็มตั้งแต่เช้ายาวไปตลอดวัน พวกคาร์โบไฮเดรตขัดสี (refined carbohydrates) อย่างโดนัทน่ะเลี่ยงได้เลี่ยงซะ เพราะน้ำตาลในเลือดจะพุ่งปรี๊ดเลย ทีนี้ก็ไปไม่เป็นเลย [2]
    • อาหารเช้าง่ายๆ ก็ได้แต่ต้องมีประโยชน์ ต้มไข่แล้วใส่ตู้เย็นเตรียมไว้เลย เช้ามาจะได้หยิบง่ายทันใจ ไข่ต้มกินกับขนมปังหรือกล้วยนี่แหละสุดยอดอาหารเช้า หรือจะต้มข้าวหรือโจ๊กไว้แล้วเช้ามาก็อุ่นพร้อมทานก็ได้ หรือถ้าเป็นข้าวโอ๊ตกินคู่กับผลไม้ ถ้าเหลือก็เก็บง่าย แค่แช่ตู้เย็นก็เอาออกมากินได้อีกหลายวัน
    • อาหารกลางวันก็อย่าละเลย จะทำสลัดเน้นโปรตีนใส่ขวดโหลพกไปกินก็ได้ เริ่มจากเทน้ำสลัดหรือ dressing ใส่ไว้ที่ก้นขวด จากนั้นก็เรียงผักตามชอบลงไปเป็นชั้นๆ เช่น แตงกวา มะเขือเทศสีดา (มะเขือเทศเชอร์รี่) แครอท แล้วก็ถั่วลูกไก่ (chickpea) ตามด้วยโปรตีนก็คือเนื้อสัตว์ต่างๆ อย่างไก่ย่างเนื้อขาวเป็นต้น แล้วปิดท้ายด้วยผักใบเขียวอีกรอบเป็นอันเสร็จสิ้น แค่นั้นก็ปิดฝาแล้วแช่เย็นพร้อมทาน สลัดที่คุณเตรียมไว้จะสดข้ามคืน เพราะผักใบเขียวอยู่แยกชั้นกันกับน้ำสลัด พอถึงมื้อกลางวันของพรุ่งนี้ คุณก็แค่เขย่าขวดให้น้ำสลัดเข้าเนื้อ จากนั้นก็เทใส่ชามได้เลย
  2. ตอนคุณพักผ่อนนอนหลับ ร่างกายจะได้พลังงานก็จากอาหารเย็นที่กินเข้าไปนี่แหละ เช้ามาก็จะสดชื่นเปี่ยมด้วยแรงบันดาลใจ เพราะอาหารดีๆ มีประโยชน์ที่กินเข้าไปเมื่อตอนเย็น พยายามเน้นโปรตีนลีนๆ อย่างพวกไก่ย่างเนื้อขาว ปลา หรือถั่ว เสริมด้วยผักผลไม้และคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน (complex carbohydrates) อย่างข้าวกล้องหรือคีนัว (quinoa)
    • เวลาร่างกายย่อยอาหารต้องใช้พลังงานเยอะ เพราะงั้นถ้าคุณกินมื้อเย็นหนักไปโดยเฉพาะใกล้เข้านอน จะทำให้นอนไม่ค่อยหลับ พยายามกินอาหารเย็นก่อนนอนสัก 2 - 3 ชั่วโมง จะได้ให้เวลาร่างกายได้ย่อยจนเสร็จก่อนคุณหัวถึงหมอน ลดพวกของหวานๆ หรือมันๆ ด้วย เพราะจะไปเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดหรือทำให้เกิดกรดไหลย้อน ทีนี้ล่ะไม่ต้องนอนกันเลย [3]
  3. ก่อนนอนปิดให้หมด ทั้งมือถือและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ. ไม่ว่าจะแท็บเล็ต สมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ หรือทีวี ต่างก็กระตุ้นสมองให้ตื่นตัวทำเอานอนไม่หลับ แทนที่จะเข้าสู่โหมดผ่อนคลาย สมองตื่นเมื่อไหร่คุณก็ตื่นไปด้วย พอมีอะไรมารบกวนการนอนของคุณ เช้ามาก็หงุดหงิด อย่าไปพูดถึงแรงบันดาลใจเลย เพราะงั้นต้องเริ่มจากปิดมือถือและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ ให้หมด อย่างน้อยๆ ก็ 1 ชั่วโมงก่อนนอน
    • แสงสังเคราะห์จากอุปกรณ์พวกนี้นี่แหละที่มาป่วนนาฬิกาชีวภาพ หรือ circadian rhythm ของคุณ โดยจะไปกดฮอร์โมนที่ทำให้คุณนอนหลับสนิทอย่าง melatonin จนคุณตาสว่างตลอดคืน พอนอนไม่พอคุณก็เฉื่อยชาเชื่องช้า แถมหงุดหงิดชะมัดตอนเช้าๆ [4]
  4. เพราะคาเฟอีนจะทำคุณตาสว่างเป็นชั่วโมงๆ ยิ่งกินตอนดึกๆ กว่าจะหลับได้ก็นานแถมพอหลับได้ก็ไม่สนิทอีก ทีนี้พอตื่นมาก็งงๆ เบลอๆ แทนที่จะสดชื่นสดใส คาเฟอีนที่ว่าก็เช่น กาแฟ ชา หรือน้ำอัดลม พวกนี้ห้ามกินเลยอย่างน้อย 4 ชั่วโมงก่อนนอน [5]
    • เปลี่ยนไปดื่มเครื่องดื่มที่ไม่มีคาเฟอีนแทน เช่น ชาไร้คาเฟอีนหรือนมอุ่นๆ เพราะจะช่วยให้คุณหลับง่ายหลับสบายยิ่งขึ้น แถมไม่ตื่นขึ้นมากลางดึกบ่อยๆ
  5. ก๊งเหล้าก่อนนอนไม่ได้ช่วยผ่อนคลายให้คุณหลับสบายอย่างที่คิด แอลกอฮอล์จะออกฤทธิ์กดประสาท (depressant) ทำให้คุณง่วงๆ ซึมๆ เฉพาะตอนแรก แต่พอฤทธิ์แอลกอฮอล์จางหาย สมองของคุณจะตื่นตัวแทน พอตื่นมาก็นอนไม่หลับแล้วทีนี้ แถมแอลกอฮอล์ยังไปรบกวนวงจรการนอนของคุณ สุดท้ายเลยนอนหลับๆ ตื่นๆ ไม่ดีต่อสุขภาพเลย
  6. ไม่ใช่แค่เด็กๆ ที่ต้องเข้านอนให้เป็นเวลา คุณเองก็ต้องฝึกให้ร่างกายและสมองพักผ่อนเป็นเวลาเหมือนกัน ถ้าคืนก่อนนอนหลับสนิท เช้าวันต่อมาคุณจะรู้สึกสดใสซาบซ่านแบบไม่ต้องสงสัย แถมมีสมาธิจดจ่อเต็มที่ [7]
    • อ่านหนังสือหรือแมกกาซีนที่น่าเบื่อสำหรับคุณ สมองจะได้ล้าจนผล็อยหลับได้ง่ายๆ ห้ามอ่านพวก e-book หรือแมกกาซีนออนไลน์ผ่านแท็บเล็บเด็ดขาด เพราะแสงจากหน้าจอจะทำให้สมองคุณตื่นตัว แถมอดใจไม่ไหวต้องแวบไปอ่านเมสเสจหรือใช้แอพต่างๆ ยาวไปอีก
    • คลายกล้ามเนื้อโดยการแช่น้ำอุ่น หรือยืดเส้นนิดๆ หน่อยๆ เพื่อผ่อนคลายร่างกายที่ตึงเครียด แต่ละวันคุณต้องพบเจอเรื่องราวมากมายไปหมด พอคุณเครียดร่างกายก็เครียดไปด้วย การแช่น้ำอุ่นกับ stretch ยืดเส้นจะช่วยให้ร่างกายและจิตใจของคุณผ่อนคลาย นอนหลับง่ายและสบายกว่าเดิม
    • นอนให้ได้ 7 - 9 ชั่วโมงต่อวัน เพราะจะได้ครบวงจรการนอน ปกติการนอนของเราจะประกอบไปด้วย 4 ระยะด้วยกัน ซึ่งจะจบลงและเริ่มใหม่ทุก 90 นาที ถ้าคุณนอนน้อยกว่า 7 ชั่วโมงต่อวัน จะทำให้ระยะทั้ง 4 ไม่สมบูรณ์ [8]
    • การนอนหลับพักผ่อนนี่แหละสำคัญต่อสุขภาพร่างกายอันดีของคุณ ถ้านอนหลับไม่เพียงพอจะคิดอะไรไม่ค่อยออก ไม่มีสมาธิ แถมเหนื่อยง่าย แต่ถ้ารู้จักนอนหลับพักผ่อนเป็นเวลา ก็จะส่งผลดีต่อระบบภูมิคุ้มกันของคุณ แถมช่วยควบคุมน้ำหนักด้วย นอนหลับสบายตลอดคืนตื่นมาก็สดใสแข็งแรง แถมเปี่ยมด้วยแรงบันดาลใจอีกต่างหาก [9]
    โฆษณา
ส่วน 2
ส่วน 2 ของ 3:

ชีวิตคุณ คุณคุม

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ทุกคนก็เป็น ที่เตียงนุ่มผ้าห่มอุ่นซะจนพอนาฬิกาปลุกดัง แล้วเผลอกดปุ่ม snooze เลื่อนปลุกออกไปโดยไม่รู้ตัว แต่รู้หรือไม่ พอกดปุ่ม snooze กลับไปนอนเมื่อไหร่ ก็เท่ากับเริ่มต้นวงจรการนอนอีกครั้ง ทีนี้พอนาฬิกาปลุกดังอีกก็มึนเลย เพราะถูกปลุกขึ้นมาตอนระยะการนอนรอบใหม่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ อาการแบบนี้เขาเรียกว่า "sleep inertia" หรือหลับๆ ตื่นๆ เพราะงั้นพยายามฝึกจนติดเป็นนิสัย ว่าต้องตื่นตั้งแต่นาฬิกาปลุกครั้งแรกจะดีกว่า แบบนี้ทั้งร่างกายและสมองของคุณก็จะตื่นตัว มีแรงบันดาลใจพร้อมรับวันใหม่ [10]
    • แง้มม่านไว้หน่อย พอตอนเช้าแดดจะได้ส่องเข้ามาในห้อง แบบนี้คุณจะตื่นง่ายขึ้น เพราะแดดยามเช้าที่ส่องต้องตัวคุณจะเป็นเหมือนนาฬิกาปลุกตามธรรมชาติ เตรียมร่างกายคุณให้เริ่มหลับแบบตื้นขึ้น นาฬิกาปลุกเมื่อไหร่ก็พร้อมลุกออกจากเตียงทันที
    • ตั้งนาฬิกาให้ปลุกก่อนเวลาตื่นจริง 10 - 15 นาที ร่ายกายจะได้มีเวลาปรับตัว ซึมซับบรรยากาศยามเช้าหรือยืดเส้นยืดสาย ไม่ต้องรีบตื่นรีบลุกจนหัวหมุน
    • พยายามเข้านอนเวลาเดิมทุกวัน ไม่ว่าจะวันธรรมดาหรือวันเสาร์-อาทิตย์ การมีวินัยนี่แหละที่จำทำให้คุณนอนหลับพักผ่อนได้เต็มที่ ถ้าคุณเข้านอนเวลาเดิมทุกวัน นาฬิกาชีวภาพของคุณก็จะปรับตัวตามได้อย่างดี
  2. เตรียมชุดพร้อมใส่ไว้ในตู้เสื้อผ้าสัก 2 - 3 ชุด เช่น เตรียมเสื้อ กางเกง และเข็มขัดแขวนไว้เป็นชุด และวางรองเท้าเข้าคู่กันไว้ที่พื้น ตอนเช้าจะได้ไม่ต้องมานั่งเลือกหรือหาเสื้อผ้าชิ้นไหน
    • ใส่ชุดวอร์มนอนซะเลย ถ้าคุณตั้งใจว่าตื่นมาแล้วจะออกกำลังกาย ก็ให้ใส่ชุดวอร์มเตรียมไว้ ตื่นมาจะได้ออกกำลังกายหรือเข้าฟิตเนสได้เลย
  3. ตื่นมาทีไรมักคอแห้งเป็นผง เพราะเรานอนแล้วร่างกายไม่ได้รับอาหารและน้ำมาตลอดคืน ให้ดื่มน้ำสักแก้วหรือดื่มน้ำผลไม้แก้วเล็กๆ พร้อมอาหารเช้าเพื่อปลุกเซลล์สมอง เป็นวิธีที่ง่ายและเร็วที่สุดในการทำให้สมองตื่นตัวและมีแรงบันดาลใจ [11]
    • ดื่มคาเฟอีนแต่พอดี ถ้าแค่กาแฟหรือชา 1 - 2 แก้วก็พอให้คุณรู้สึกสดชื่นตื่นตัวแล้ว อย่าดื่มเยอะจนคาเฟอีนเกินพิกัด ถ้าดื่มเกิน 3 แก้วคุณอาจมึนๆ งงๆ หรือเสียสมาธิได้ ที่สำคัญคือลืมแรงบันดาลใจไปเลย เพราะแค่จดจ่อกับอะไรตรงหน้าก็ทำได้ยากแล้ว [12]
  4. ไม่ใช่ทุกคนที่เหมาะกับการออกกำลังกายหนักๆ ตั้งแต่เช้าตรู่ ถ้าคุณถึงกับต้องนอนน้อยกว่า 7 - 9 ชั่วโมงเพื่อแบ่งเวลามาออกกำลังกาย ก็น่าจะเปลี่ยนไปออกกำลังกายตอนเย็นแทน ทางที่ดีให้ยืดเส้นยืดสายเล็กๆ น้อยก็พอ อย่างน้อยจะได้รู้สึกตื่นเต็มตาและมีแรงทำอะไรต่อไป [13]
    • โยกย้ายตามเพลงโปรดระหว่างเตรียมตัวออกจากบ้าน เช่น เต้นไปพลาง แปรงฟันหรือชงกาแฟไปพลาง ขยับตัวแค่ 2 - 3 นาทีก็ถือว่าดีแล้ว
    • เดินเร็วนอกบ้านสัก 5 นาที เลือดลมจะได้สูบฉีด ส่วนสมองก็ตื่นตัว แบบนี้แรงบันดาลใจประจำวันจะหนีไปไหน
  5. จัดระเบียบกันหน่อย จะได้จำเรื่องสำคัญต่างๆ อย่างหยิบกุญแจรถหรือให้อาหารหมาได้ เขียนสิ่งที่ต้องทำก่อนออกจากบ้านไว้ จะใช้เป็นไวท์บอร์ดก็ได้ รวมถึงหาตะกร้ามาวางข้างประตู อะไรที่ต้องใช้เช้าวันนั้นก็ใส่เตรียมไว้ให้หมด [14]
    • ใส่กุญแจบ้านกุญแจรถ บัตรรถไฟฟ้า กระเป๋าสตางค์ กระเป๋าถือ แว่นกันแดด หรือเป้ลงในตะกร้าที่ว่า ตอนเช้าคุณก็รู้แล้วว่าก่อนออกจากบ้านจะไปหยิบสารพัดของสำคัญที่ไหน
    • เขียนรายการสิ่งที่ต้องทำไว้ที่กระดาน เพื่อเช็คความพร้อมก่อนออกจากบ้าน ทุกเช้าให้อ่านทวนก่อนออกจากบ้าน ว่าไม่ได้ลืมอะไรไป เช่น เขียนไว้ว่า “ให้อาหารแมว หยิบข้าวกลางวัน หยิบกาแฟ”
    โฆษณา
ส่วน 3
ส่วน 3 ของ 3:

สร้างแรงบันดาลใจ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. คนมองโลกในแง่ดีก็มีแรงบันดาลใจได้ไม่ยาก เพราะรู้ความต้องการกับเป้าหมายของตัวเอง และคิดว่าทุกอย่างเป็นไปได้ แต่ถ้าใครคิดลบหน่อยก็จะเซ็งจนผัดวันประกันพรุ่งไปซะทุกเรื่อง หรือคิดว่าอะไรที่อยากทำหรือต้องทำน่ะเอาไว้วันหลัง กลายเป็นว่าคุณเลี่ยงไม่ทำสิ่งดีๆ ให้ตัวเองเพราะแค่คิดก็ดูยากเกินไป ลองปรับเปลี่ยนมุมมองซะใหม่ด้วยการจดบันทึก และฝึกตัวเองให้ลงมือทำตั้งแต่เช้าต่อไปจนตลอดวัน [15]
    • ลองคิดว่าอะไรที่คุณเอาแต่ผัดวันมาตลอด อาจจะเป็นการกลับไปเรียนต่อก็ได้
    • แบ่งหน้ากระดาษออกเป็นตาราง 2 คอลัมน์ คอลัมน์แรกให้เขียนอุปสรรคต่างๆ ที่คุณมองว่าทำให้คุณไปไม่ถึงฝันสักที (ในที่นี้คือเรื่องกลับไปเรียนต่ออย่างที่ยกตัวอย่างไว้) เช่น “ฉันไม่มีเงินเลยกลับไปเรียนต่อไม่ได้ แถมไม่มีเวลาอีก”
    • ในคอลัมน์ที่ 2 ให้เขียนว่าถ้าทำตามเป้าหมายสำเร็จคุณจะได้ประโยชน์อะไร ถ้าทำตามเป้าหมายได้สำเร็จแล้ว ชีวิตคุณตอนนั้น 1 ปีหลังจากนั้น และ 5 ปีหลังจากนั้นจะเป็นยังไง? เช่น “ตอนนี้ฉันเรียนจบด้านที่อยากทำงานแล้ว แถมหาเงินได้มากขึ้น ทีนี้ก็ซื้อบ้านได้แล้ว” ลองสังเกตดูว่าคุณรู้สึกมีความสุขและภูมิใจแค่ไหนแค่คิดว่าตัวเองมีทุกอย่างดังใจแล้ว
    • ทำความรู้สึกตื้นตันนั้นให้เป็นจริง เริ่มจากก้าวเล็กๆ ก็พอ เช่น ลองค้นข้อมูลคอร์สที่คุณอยากเรียน หรือติดต่อสอบถามกับสถาบันเลย ว่ามีทุนหรืออะไรไหม
    • จดบันทึกทุกอาทิตย์ ทั้งอุปสรรคและความสำเร็จ อธิบายด้วยว่าคุณทำยังไงถึงเอาชนะอุปสรรคนั้นๆ ของอาทิตย์ก่อนได้ พอเห็นความก้าวหน้าของตัวเองแล้ว จะทำให้คุณมีกำลังใจมีแรงบันดาลใจไปต่อ และรู้ วิธีแก้ปัญหาต่างๆ
  2. การมีสิ่งล่อใจถือเป็นแรงบันดาลใจที่ดี ก็เหมือนเวลาฝึกหมาให้ทำตัวดีๆ แล้วตบรางวัลเป็นขนมไง คุณทำดีก็ต้องมีรางวัลตอบแทนเหมือนกัน ทุกความสำเร็จขั้นเล็กๆ อย่าลืมให้รางวัลตัวเอง เช่น ทำงานบ้านเสร็จ 1 อย่าง อนุญาตให้ตัวเองเล่นเกมในแท็บเล็ตได้ 10 นาที
    • เงินนี่แหละล่อตาล่อใจได้ดีที่สุด เช่น คุณตั้งเป้าว่าจะไปเดินออกกำลังกายกับเพื่อนให้ได้ 20 นาทีต่อวัน ก็เอาเงินให้เพื่อนซะ 200 บาท ถ้าวันไหนคุณไปและเดินจนครบที่กำหนด ก็จะได้เงินนั้นคืนมา แต่ถ้าคุณเบี้ยวไม่ยอมไปเดิน ก็ถือว่าชวดเงินนั้นไป รับรองเลยว่าจะกระตุ้นให้คุณออกไปเดินทุกวันแน่นอน [16]
  3. ถ้าคิดฝันหรือลงมือทำอะไรหลายอย่างมากไปในเวลาเดียวกัน คุณจะไม่มีเวลามาจดจ่ออยู่กับแต่ละสิ่งจนทำได้สำเร็จ ภาระหน้าที่ที่มากเกินไปนั้นเป็นภัยต่อแรงบันดาลใจ หัด “ปฏิเสธ” เรื่องไม่จำเป็นบ้าง ถ้าไม่รู้จักดูแลตัวเอง แล้วใครจะมาดูแลคุณ เลือกทำเฉพาะสิ่งที่สำคัญและจำเป็น ส่วนที่เหลือก็ “ปล่อยๆ” มันไปบ้าง [17]
    • อย่าทำอะไรเพราะรู้สึกผิด ถ้าคิดถึงใจคนอื่นซะจนเอาตัวเองไปผูกติดกับสิ่งที่ไม่ชอบหรือไม่จำเป็น สุดท้ายคุณเองนั่นแหละที่จะเศร้าหรือเซ็งซะเอง
    • ทำลิสต์จัดลำดับความสำคัญของสิ่งต่างๆ โดยเน้นที่เรื่องสำคัญของคุณและการใช้เวลาในแบบที่คุณชอบ ถ้าอะไรไม่สำคัญพอ อยู่นอกเหนือลิสต์นี้ ก็ปฏิเสธอย่างสุภาพไปซะ
    • พูดสั้นกระชับแต่ได้ใจความ ไม่ต้องอธิบายอะไรให้ใครซะยืดยาว ขอแค่สุภาพ จริงใจ และตรงประเด็น เช่นบอกไปเลยว่า “ขอโทษด้วยค่ะ ปีนี้ดิฉันคงช่วยระดมทุนไม่ได้ แต่ขอบคุณมากนะคะที่อุตส่าห์นึกถึงกัน ขอให้งานปีนี้เด่นๆ ดังๆ นะคะ”
  4. ถ้ารอบตัวคุณมีแต่คนคิดบวกและกระตือรือร้น ก็แน่นอนว่าคุณจะพลอยมีแรงบันดาลใจและวิ่งตามฝันไปด้วยคน ถือว่าเป็นประโยชน์ซึ่งกันและกัน บอกเลยว่าการคิดบวกน่ะติดต่อกันได้ ถ้าคนรอบตัวคุณคิดบวกและเปี่ยมไปด้วยแรงบันดาลใจ รับรองว่าคุณเองก็ต้องคิดบวกตามไปด้วยแน่นอน [18]
    • หาที่ปรึกษา เช่น คุณอาจจะอยากกลับไปเรียนต่อ แต่คนรอบข้างไม่ยักมีใครสนับสนุนให้กำลังใจ ให้ลองติดต่อสอบถามสถาบันที่คุณอยากสมัครโดยตรง หรือขอคำแนะนำจากคนที่เขาเรียนคอร์สนั้นจนจบแล้ว เผื่อจะได้แนวทาง คำแนะนำ รวมถึงเคล็ดลับสู่ความสำเร็จในด้านนั้นๆ
    โฆษณา

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 2,875 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา