ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

คุณแพ้เกสรดอกไม้ ฝุ่น หรือสะเก็ดผิวหนังของสัตว์เลี้ยงเป็นประจำใช่ไหม? ถ้าโรคภูมิแพ้คุณกำเริบทุกทีที่พบเจอสารก่อภูมิแพ้ (allergens) เหล่านี้ รับรองเลยว่าต้องน้ำมูกไหลไม่หยุดแน่นอน นอกจากจะเจ็บจมูกแล้วยังรำคาญอีก แต่ถ้ารู้จักดูแลตัวเองให้ถูกวิธี คุณก็สามารถแก้อาการน้ำมูกไหล ให้เยื่อบุจมูกแฉะๆ หายบวมกลับมาแห้งสบาย หายใจได้เหมือนเดิม เราต้องเริ่มจากลดน้ำมูกก่อน แล้วค่อยขยับไปดูแลป้องกันตัวจากโรคภูมิแพ้ ไม่ให้กำเริบบ่อยๆ ในอนาคต

วิธีการ 1
วิธีการ 1 ของ 2:

แก้น้ำมูกไหล

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ยาแก้แพ้ หรือ antihistamines ก็ตรงตัวเลย anti คือต้าน ส่วน histamines คือสารเคมีที่ร่างกายหลั่งออกมาเมื่อพบเจอสารก่อภูมิแพ้จนทำให้เกิดอาการระคายเคืองต่างๆ เรากินยานี้เพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายสร้างฮิสตามีนเพิ่ม น้ำมูกจะได้หยุดไหล เพราะยาแก้แพ้ช่วยให้เยื่อบุโพรงจมูกแห้ง คุณหาซื้อยาแก้แพ้ได้ตามร้านขายยาทั่วไป โดยมีตัวยาต่างๆ เช่น loratadine หรือ diphenhydramine ยี่ห้อที่นิยมกันก็คือ Allegra, Claritin, Zyrtec, Benadryl, Phenergan แล้วก็ Clarinex [1]
    • Benadryl จะกดประสาททำให้มึนงงมากที่สุด ส่วน Claritin จะเกิดผลข้างเคียงน้อยสุด ยาแก้แพ้ส่วนใหญ่มักทำให้คุณง่วงเหงาหาวนอน เพราะงั้นถ้าจะใช้ยาขอให้พิจารณางดกิจกรรมบางอย่าง
  2. คุณหมอจะจ่ายยาแก้แพ้ให้คุณได้ตรงจุดและปลอดภัยที่สุด ไม่ antihistamine ก็ corticosteroid (ยาพ่นจมูก) รวมถึงยาแก้คัดจมูก (decongestants) ชนิดต่างๆ ยากลุ่ม leukotriene inhibitors แล้วก็ยาฉีดแก้ภูมิแพ้ (allergy shots) ซึ่งอย่างหลังสุดคุณหมอจะพิจารณาฉีดให้ในกรณีที่คุณเลี่ยงเกสรดอกไม้หรือสารก่อภูมิแพ้อื่นๆ ไม่ได้จริงๆ แต่เป้าหมายโดยรวมก็คือปรับร่างกายคุณให้เคยชินกับสารก่อภูมิแพ้บางตัว [2]
    • แน่นอนว่ายาแก้แพ้ที่คุณหมอจ่ายให้จะออกฤทธิ์แรงกว่ายาตามร้านขายยา และที่ตามมาก็คือผลข้างเคียงที่รุนแรงพอกัน เช่น อาการวิตกกังวล ท้องเสีย ความดันสูง กระทั่งนอนไม่หลับ [3]
    • มีงานวิจัยที่แสดงให้เห็นว่า ถ้าคุณพ่นยา corticosteroid เข้าจมูกทุกวัน จะช่วยลดอาการผิดปกติในโพรงจมูกที่เกิดจากสารก่อภูมิแพ้ได้เห็นผลเป็นอย่างมาก สเปรย์พ่นจมูกบางตัวอย่าง Flonase กับ Nasacort นั้นหาซื้อได้เองโดยไม่ต้องมีใบสั่งจากคุณหมอแต่อย่างใด
    • แต่ก็อย่าพ่นจมูกบ่อยหรือเยอะเกินไป เพราะหลังหยุดยาอาจกลับมาคัดแน่นจมูกอีก (rebound congestion) ทำให้สุดท้ายต้องใช้ยาพ่นไปตลอด [4]
    • ไปหาหมอเถอะถ้าคุณแพ้เข้าขั้นรุนแรง มีอาการไอ หายใจหอบดังวี้ดๆ (wheezing) หรือใช้ยาแล้วอาการไม่ดีขึ้น
  3. ใช้สเปรย์น้ำเกลือล้างจมูก (saline nasal spray) เพราะช่วยเพิ่มความชื้นให้เยื่อบุโพรงจมูก หาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไปโดยไม่ต้องมีใบสั่งจากคุณหมอ โดยสเปรย์จะไปเพิ่มความชื้นให้เยื่อบุโพรงจมูกแล้วชะล้างสิ่งสกปรกหรือทำให้ระคายเคืองออกมา
    • บางคนก็ทำสเปรย์น้ำเกลือใช้เองเลย ง่ายๆ แค่โรยเกลือใส่กระทะหรือหม้อที่เติมน้ำไว้ 1 ถ้วยตวง ใช้เกลือแค่ 1/2 ช้อนชา กับผงฟูอีก 1 หยิบมือ จากนั้นก็ต้มน้ำเกลือที่ผสมแล้วของคุณจนเดือด พอเริ่มเดือดปุดๆ ก็ให้เทใส่ชาม เอาผ้าคลุมหัวก่อน แล้วค่อยก้มหน้าไปอังเหนือชาม ระวังอย่าใกล้ไปเดี๋ยวไอร้อนลวกหน้า ให้คุณหายใจสูดไอร้อนเข้าไป จะหยดขึ้ผึ้ง/น้ำมันยูคาลิปตัสลงไปด้วยก็ได้ ช่วยบรรเทาอาการระคายเคืองไซนัสได้ [5]
  4. เติมน้ำอุ่นลงไป 240 มล. (คือประมาณ 8 ออนซ์ หรือ 1 ถ้วยตวง) จะใช้น้ำกลั่น น้ำกรอง หรือน้ำต้มสุกก็ได้ ห้ามใช้น้ำก๊อก เว้นแต่จะเอาไปต้มสุกและทิ้งไว้จนเย็นแล้ว ตัวเลือกที่ปลอดภัยที่สุดก็คือน้ำกลั่นนี่แหละ จากนั้นคุณจะเอาไปผสมทำน้ำเกลือเอง หรือใส่น้ำเกลือสำเร็จตามร้านขายยาก็ได้
    • ยืนตรงอ่างล้างหน้า แล้วเอียงหัวไปด้านใดด้านหนึ่ง เสียบพวยกาเข้าไปในโพรงจมูกซ้ายหรือขวาก่อนก็ได้ แล้วเทน้ำในกาเนติเข้าไปครึ่งหนึ่ง ให้น้ำเข้าไปชะล้างสิ่งสกปรกต่างๆ แล้วไหลออกมาทางรูจมูกอีกข้าง [6] ทำซ้ำอีกข้าง เสร็จแล้วให้ล้างทำความสะอาดและฆ่าเชื้อกาเนติด้วย
  5. ไม่ใช่ว่ากระดกน้ำหมดแก้วปุ๊บแล้วน้ำมูกจะหยุดไหลปั๊บ จุดสำคัญคือคุณต้องดื่มน้ำเรื่อยๆ เวลาเป็นภูมิแพ้ การสั่งน้ำมูกซ้ำๆ และกินยาที่มีผลข้างเคียงทำให้ร่างกายขาดน้ำ จะทำให้เยื่อบุโพรงจมูกของคุณแห้งเป็นพิเศษ ให้คุณดื่มน้ำ 16 ออนซ์ (2 ถ้วยตวง) ทุก 1 - 2 ชั่วโมง จะช่วยปรับสภาพให้ร่างกายและโพรงจมูกของคุณกลับมาเป็นปกติได้ [7]
  6. คุณใช้สมุนไพรรักษาบรรเทาอาการตัวเองเบื้องต้นได้ บางตัวออกฤทธิ์ดีเหมือนยาแก้แพ้เลยทีเดียว
    • น้ำมันมัสตาร์ด หรือน้ำมันพรรณผักกาด (mustard oil) มีฤทธิ์ต้านฮิสตามีน บีบมัสตาร์ดมาก้อนเล็กๆ ผสมน้ำไม่ต้องมากแล้วอุ่นในกระทะ พอเจือจางดีแล้วก็ใช้ที่หยอดตาดูดขึ้นมา หยดเข้าไปในจมูกนิดเดียวก็พอแล้วหายใจเข้าลึกๆ มัสตาร์ดปกติก็กลิ่นแรงอยู่แล้ว อาจต้องรอ 2 - 3 วินาทีกว่าคุณจะหายแสบจมูก
    • ขมิ้นชัน (turmeric) ทั้งคนอินเดียและไทยนิยมใช้ประกอบอาหารและปรุงยากันมาช้านาน ให้คุณผสมผงขมิ้นชันนิดหน่อยลงในน้ำมัน linseed oil (หรืออีกชื่อคือน้ำมันเมล็ดแฟลกซ์) ให้ชุ่ม หาซื้อได้ตามร้านขายยาหรือในเน็ต จากนั้นเอาไปอังไฟจนเริ่มเหนียวข้นเข้ากัน ให้คุณสูดดมไอระเหยนั้นเข้าไป
  7. ซื้อเครื่องทำความชื้น (air humidifier) มาสักเครื่องหรือ 2 เครื่อง เดี๋ยวนี้มีขายกันมากมายหลายแบบ [8] อาจจะฟังดูตรงข้ามไม่เหมือนที่คุณคิด แต่อาการแพ้มัก ยับยั้ง ไม่ให้ร่างกายสร้างความชื้นในโพรงจมูก เวลาคุณพบเจอสารก่อภูมิแพ้เมื่อไหร่ ร่างกายจะผลิตสารเคมีอย่างฮิสตามีนออกมา ทำให้เยื่อบุโพรงจมูกบวมและแห้งผาก จากนั้นพอฝุ่นผงหรืออะไรในอากาศ เช่น เกสรดอกไม้ รุกล้ำเข้ามาในโพรงจมูกแห้งๆ ก็จะไปกระตุ้นให้เกิดอาการแพ้ เริ่มมีน้ำมูก เพราะร่างกายพยายามขับสิ่งแปลกปลอมออกเพื่อปรับสมดุลร่างกาย เครื่องทำความชื้นจะช่วยให้อากาศไม่แห้ง โพรงจมูกก็จะชื้นตามธรรมชาติ หายใจสะดวก
    • เครื่องทำความชื้นที่แนะนำให้หาซื้อมาใช้ในบ้าน คือประมาณ 30 - 50% ถ้าต่ำกว่านั้นจมูกจะแห้งไป แต่ถ้าชื้นกว่านั้นเดี๋ยวจะอึดอัดหายใจไม่สะดวก ดีไม่ดีห้องจะอับชื้นจนเพาะเชื้อราและแบคทีเรีย [9]
    • เครื่องทำความชื้นส่วนใหญ่ไม่แรงพอจะสร้างความชื้นให้ทั้งบ้าน เพราะงั้นให้เลือกตั้งเครื่องในห้องที่คุณอยู่เป็นประจำดีกว่า จะเห็นผลที่สุด แต่ข้อเสียของวิธีนี้คือพอคุณออกไปจากห้องที่มีเครื่องทำความชื้น เยื่อบุโพรงจมูกของคุณก็จะกลับมาแห้งระคายเหมือนเดิม
    โฆษณา
วิธีการ 2
วิธีการ 2 ของ 2:

ไม่กลับไปน้ำมูกไหลอีก

ดาวน์โหลดบทความ
  1. คุณหมอทดสอบหาอาการแพ้ให้คุณได้ จะได้ตีวงให้แคบลงหรือชี้ชัดได้เลยว่าสารก่อภูมิแพ้ไหนที่เป็นตัวการ แต่บางทีก็ผลกำกวมหรือพบสารก่อภูมิแพ้หลายชนิด คุณต้องศึกษาเกี่ยวกับโรคภูมิแพ้ของตัวเองให้ละเอียด ถ้ารู้สาเหตุของน้ำมูกเมื่อไหร่ (คร่าวๆ ก็ยังดี) จะได้หลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้นั้นๆ [10]
  2. มลภาวะต่างๆ และสารก่อภูมิแพ้ อย่างเกสรดอกไม้ สะเก็ดผิวหนังและเส้นขนของสัตว์เลี้ยง ฝุ่นผง ไปจนถึงควันบุหรี่ ล้วนแล้วแต่ทำให้โพรงจมูกของคุณแห้งผากจนกระตุ้นให้น้ำมูกไหล เพราะงั้นในบ้านของคุณควรมีเครื่องกรองอากาศ (air purifier) เพื่อคัดกรองมลภาวะเหล่านี้ แต่สุดท้ายก็เป็นไปไม่ได้หรอกที่คุณจะเอาแต่หลบอยู่ในบ้านน่ะ
    • สารก่อภูมิแพ้ที่คนไทยประสบกันมากที่สุด คือพวกมลภาวะอย่างฝุ่นละออง ควันบุหรี่ และควันรถ เมืองร้อนที่รถราขวักไขว่อย่างบ้านเราแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่คุณจะหลีกหนีจากมลภาวะเหล่านี้ได้ อาจต้องป้องกันด้วยการใส่หน้ากากอนามัยในบริเวณที่มลภาวะหนาแน่น หมั่นทำความสะอาดบ้านช่องของตัวเอง และออกกำลังกายให้สุขภาพร่างกายแข็งแรงแทน [11]
    • ออกจากบ้านไปทำงานไปโรงเรียนแต่เช้า จะได้ไม่เจอการจราจรติดขัด และอย่าลืมปิดประตูหน้าต่างให้สนิทในกรณีที่คุณแพ้ฝุ่นหรือเกสรดอกไม้
    • ขจัดไรฝุ่นในบ้าน โดยพยายามไม่ปูพรม ผ้าห่มอย่าขนหนาเกิน รวมถึงอย่าสุมตุ๊กตารวมกันไว้เป็นกอง แต่ถ้าจำเป็นก็ให้หมั่นทำความสะอาดแทน เดี๋ยวนี้ทั้งผ้าปูที่นอนและปลอกหมอนก็มีแบบป้องกันไรฝุ่นให้เลือกซื้อกัน
  3. ออกจะเป็นวิธีปกป้องตัวเองจากสารก่อภูมิแพ้ไม่ให้น้ำมูกไหลที่สุดโต่งและแก้ไขที่ปลายเหตุไปหน่อย แต่ลองคิดดูถ้าสิ่งแปลกปลอมเข้าสู่ร่างกายคุณไม่ได้แต่แรก คุณก็น้ำมูกไม่ไหล เอาเป็นว่าถ้าคุณแพ้เกสรดอกไม้แล้วต้องออกไปข้างนอก ก็ให้หาผ้าหรือหน้ากากอนามัยมาปิดปากและจมูกจะได้ปลอดภัยไว้ก่อน หรือใช้หน้ากากกรองอากาศได้ยิ่งดี
  4. สารก่อภูมิแพ้จะได้ไม่แพร่กระจาย ล้างง่ายๆ ด้วยน้ำสะอาดกับสบู่นี่แหละ จะใช้สบู่อะไรก็ได้เพราะแค่ล้างเอาสารก่อภูมิแพ้ออกไป ไม่ได้เน้นฆ่าแบคทีเรีย ล้างไปถูไปอย่างน้อย 20 วินาที จากนั้นล้างน้ำแล้วเช็ดให้แห้งด้วยผ้าสะอาด [12]
  5. ถ้าคุณแพ้สะเก็ดผิวหนังของสัตว์เลี้ยง หลังจากเล่นกับน้องหมาน้องแมวต้องล้างหน้า ถ้าแพ้เกสรดอกไม้ก็ให้ล้างหน้าหลังอยู่นอกบ้านมาพักใหญ่ แบบนี้ช่วยลดอาการจากสารก่อภูมิแพ้ได้ [13]
    โฆษณา

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 27,085 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา