ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

การรู้ค่าดัชนีมวลกายหรือ BMI นั้นมีประโยชน์ต่อการประเมินและปรับน้ำหนักตัวให้เหมาะสม แม้ว่าจะไม่ใช่วิธีวัดไขมันในร่างกายที่แม่นยำที่สุด แต่ก็เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดและถูกที่สุดด้วย [1] การคำนวณค่าดัชนีมวลกายนั้นมีอยู่หลายวิธีขึ้นอยู่กับว่าคุณใช้หน่วยวัดอะไร และคุณต้องรู้ส่วนสูงกับน้ำหนักตัวในปัจจุบันก่อนจึงจะสามารถคำนวณค่า BMI ได้ อ่านวิธีการ 3 “เมื่อไหร่ที่ควรคำนวณ” เพื่อเรียนรู้เพิ่มเติมว่า การคำนวณค่า BMI นั้นมีประโยชน์กับคุณอย่างไร

วิธีการ 1
วิธีการ 1 ของ 3:

ใช้หน่วยวัดแบบเมตริก

ดาวน์โหลดบทความ
  1. คุณต้องนำส่วนสูงหน่วยเป็นเมตรมาคูณด้วยตัวมันเองก่อน เช่น ถ้าคุณสูง 1.75 เมตร คุณก็จะต้องเอา 1.75 x 1.75 และได้ผลลัพธ์ประมาณ 3.06 [2]
  2. นำน้ำหนักตัวหน่วยเป็นกิโลกรัมมาหารด้วยเมตรยกกำลังสอง. ต่อไปคุณต้องนำน้ำหนักตัวหน่วยเป็นกิโลกรัมมาหารด้วยส่วนสูงหน่วยเป็นเมตรยกกำลังสอง เช่น ถ้าคุณหนัก 75 กิโลกรัมและความสูงหน่วยเป็นเมตรยกกำลังสองคือ 3.06 คุณก็ต้องนำ 75 ไปหารด้วย 3.06 ค่า BMI ของคุณก็จะเท่ากับ 24.5 [3]
    • สมการเต็มก็คือ กก./ม 2 กก.คือน้ำหนักตัวหน่วยเป็นกิโลกรัม และม.ก็คือส่วนสูงหน่วยเป็นเมตร
  3. ใช้สมการที่ยาวขึ้นหากคุณใช้หน่วยวัดส่วนสูงเป็นเซนติเมตร. หากคุณใช้หน่วยวัดส่วนสูงเป็นเซนติเมตร คุณก็ยังสามารถคำนวณค่า BMI ได้ เพียงแต่ว่าต้องปรับสมการเล็กน้อย สมการที่ว่านี้ก็คือ นำน้ำหนักตัวหน่วยเป็นกิโลกรัมหารด้วยส่วนสูงหน่วยเป็นเซนติเมตร จากนั้นก็นำไปหารด้วยส่วนสูงหน่วยเซนติเมตรอีกครั้งแล้วคูณด้วย 10,000 [4]
    • เช่น ถ้าน้ำหนักตัวหน่วยเป็นกิโลกรัมของคุณอยู่ที่ 60 และส่วนสูงหน่วยเป็นเซนติเมตรของคุณคือ 152 ให้คุณนำ 60 หารด้วย 152 และหารด้วย 152 อีกครั้ง (60 / 152 / 152) ก็จะได้คำตอบเท่ากับ 0.002596. นำคำตอบที่ได้ไปคูณด้วย 10,000 คุณก็จะได้คำตอบเท่ากับ 25.96 หรือประมาณ 26 ค่าดัชนีมวลกายของคนๆ นี้ก็จะเท่ากับ 26
    • อีกหนึ่งวิธีก็คือแค่เปลี่ยนหน่วยความสูงจากเซนติเมตรเป็นเมตรด้วยการเลื่อนจุดทศนิยมมาข้างหน้าสองจุด เช่น 152 เซนติเมตรก็เท่ากับ 1.52 เมตร จากนั้นก็หาค่า BMI ด้วยการนำส่วนสูงหน่วยเป็นเมตรไปยกกำลัง จากนั้นก็นำน้ำหนักไปหารด้วยส่วนสูงหน่วยเป็นเมตรยกกำลังสอง เช่น 1.52 x 1.52 เท่ากับ 2.31 ถ้าคุณหนัก 80 กิโลกรัม คุณก็นำ 80 ไปหารด้วย 2.31 ค่า BMI ก็จะเท่ากับ 34.6
    โฆษณา
วิธีการ 2
วิธีการ 2 ของ 3:

ใช้หน่วยวัดแบบอังกฤษ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ในการนำส่วนสูงมายกกำลังสองนั้น ให้คุณนำส่วนสูงเป็นนิ้วคูณตัวมันเอง เช่น ถ้าคุณสูง 70 นิ้ว ให้นำ 70 x 70 คำตอบของตัวอย่างนี้ก็จะเท่ากับ 4,900 [5]
  2. ต่อไปให้คุณนำน้ำหนักตัวหารด้วยส่วนสูงยกกำลังสอง เช่น ถ้าคุณหนัก 180 ปอนด์ ก็ให้นำ 180 หารด้วย 4,900 คำตอบก็จะเท่ากับ 0.03673 [6]
    • สมการคือ น้ำหนัก/ส่วนสูง 2
  3. ในการหาค่า BMI นั้น คุณจะต้องนำคำตอบไปคูณ 703 จึงจะได้คำตอบสุดท้าย เช่น 0.03673 x 703 เท่ากับ 25.82 เพราะฉะนั้นค่า BMI โดยประมาณของตัวอย่างนี้จึงเท่ากับ 25.8 [7]
    โฆษณา
วิธีการ 3
วิธีการ 3 ของ 3:

เมื่อไหร่ที่ควรคำนวณ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. คำนวณค่า BMI เพื่อดูว่า น้ำหนักตัวอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมหรือไม่. ค่า BMI เป็นสิ่งที่สำคัญเพราะว่ามันช่วยให้คุณรู้ว่าตัวเองน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์ สมส่วน น้ำหนักเกิน หรือเป็นโรคอ้วน [8]
    • ค่า BMI ต่ำกว่า 18.5 หมายความว่า คุณน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์
    • ค่า BMI ที่ 18.6 - 24.9 คือสมส่วน
    • ค่า BMI ที่ 25 - 29.9 หมายความว่า คุณน้ำหนักเกิน
    • ค่า BMI ที่ 30 หรือมากกว่าบ่งบอกว่าคุณเป็นโรคอ้วน
  2. ใช้ค่า BMI เพื่อดูว่า คุณมีโอกาสเข้ารับการผ่าตัดเพื่อรักษาโรคอ้วนหรือไม่. ในบางสถานการณ์ค่า BMI ของคุณจะต้องสูงถึงเกณฑ์จึงจะเข้ารับการผ่าตัดเพื่อรักษาโรคอ้วนได้ เช่น โรคพยาบาลศิริราชมีเกณฑ์การรับผู้ป่วยเข้ารับการผ่าตัดคือ ผู้ป่วยต้องมีค่า BMI มากกว่า 40 หรือมีค่า BMI อยู่ที่ 35-40 หากมีโรคประจำตัว ผู้ป่วยต้องเข้าใจถึงโรคที่ตัวเองเป็น ปราศจากโรคและภาวะต่างๆ ตามที่กำหนด และต้องมีอายุระหว่าง 18-70 ปี [9]
  3. ติดตามความเปลี่ยนแปลงของค่า BMI เมื่อเวลาผ่านไป. นอกจากนี้คุณยังสามารถใช้ค่า BMI ในการช่วยติดตามน้ำหนักตัวที่เปลี่ยนแปลงเมื่อเวลาผ่านไปได้ด้วย เช่น ถ้าคุณอยากจดบันทึกน้ำหนักที่ลดลงไป การคำนวณค่า BMI เป็นประจำก็อาจจะมีประโยชน์ หรือถ้าคุณอยากติดตามการเจริญเติบโตของตัวเองหรือลูก การคำนวณและติดตามค่า BMI ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยบอกได้
  4. คำนวณค่า BMI ก่อนเลือกวิธีการที่มีค่าใช้จ่ายสูงและต้องเจ็บตัว. คนที่ค่า BMI ต่ำกว่า 25 นั้นคือว่ามีน้ำหนักตัวที่สมส่วน แต่ถ้าร่างกายของคุณมีเปอร์เซ็นต์ไขมันสูงกว่าปกติ ค่า BMI ของคุณก็อาจจะสูง ซึ่งในกรณีนี้ค่า BMI ที่สูงกว่า 25 ก็อาจจะไม่ได้หมายความว่าคุณน้ำหนักเกินก็ได้ ถ้าคุณเป็นคนมีกล้ามเนื้อ คุณอาจจะไปตรวจความหนาของชั้นไขมันเพื่อดูว่า คุณมีไขมันมากเกินไปหรือเปล่า
    • นอกจากการวัดความหนาของชั้นไขมันแล้ว การชั่งน้ำหนักใต้น้ำ การตรวจวัดค่ามวลกระดูกด้วยวิธี Dual-energy X-ray Absorptiometry (DXA) และการวัดองค์ประกอบของร่างกายจากความต้านทานไฟฟ้านั้นเป็นวิธีที่สามารถวัดปริมาณไขมันในร่างกายได้ แต่จำไว้ว่าวิธีการเหล่านี้มีค่าใช้จ่ายสูงและเจ็บตัวมากกว่าการคำนวณค่า BMI [10]
    โฆษณา

เคล็ดลับ

  • ถ้าคุณไม่สามารถหาค่า BMI ได้ด้วยตัวเอง คุณก็สามารถใช้เครื่องคำนวณออนไลน์ได้
  • วิธีง่ายๆ อีกวิธีหนึ่งที่จะทำให้คุณรู้ว่า น้ำหนักตัวของคุณอยู่ในเกณฑ์สมส่วนหรือไม่ก็คือ การวัดอัตราส่วนระหว่างเอวกับสะโพก ซึ่งจะบอกสัดส่วนไขมันรอบเอวหรือไขมันที่สะสมอยู่ในอวัยวะภายใน การมีไขมันสะสมอยู่ที่ 'อวัยวะภายใน' มากเกินไปถือว่ามีความเสี่ยงด้านสุขภาพอย่างร้ายแรง
  • การรักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์สมส่วนอาจเป็นขั้นตอนเดียวที่สำคัญที่สุดที่คุณสามารถทำได้เพื่อให้สุขภาพแข็งแรงที่สุดและมีชีวิตยืนยาว การรู้ค่า BMI ช่วยให้คุณรู้ว่าคุณต้องลดน้ำหนักหรือเปล่า จำไว้ว่าค่า BMI ที่สูงกว่า 25 นั้นบ่งบอกว่าคุณน้ำหนักเกิน และค่า BMI ที่ 30 บ่งบอกว่าคุณเป็นโรคอ้วน ซึ่งมีความเสี่ยงต่อสุขภาพอย่างร้ายแรง
โฆษณา

คำเตือน

ค่า BMI เป็นค่าดัชนีที่ค่อนข้างใช้ได้สำหรับคนทั่วไปที่อายุ 25-65 ปี แต่มันก็มีข้อจำกัดเช่นเดียวกัน เพราะมันไม่ได้คำนึงถึงมวลกล้ามเนื้อหรือประเภทของรูปร่างโดยรวม (หุ่น "แอปเปิล" กับ "ลูกแพร์")

โฆษณา

สิ่งของที่ใช้

  • เครื่องชั่งน้ำหนัก
  • ไม้เมตรหรือสายวัด
  • ดินสอกับกระดาษ
  • เครื่องคิดเลข

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 19,406 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา