ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

ไม่ช้าหรือเร็ว เจ้าของรถยนต์ส่วนมากก็จะเจอปัญหาแบตเตอรี่รถยนต์ไฟหมดทำให้รถสตาร์ทไม่ติด ซึ่งสาเหตุมักเกิดจากการเปิดไฟทิ้งไว้ หรือแบตเตอรี่เสื่อมลงตามอายุการใช้งาน ถ้าคุณเจอปัญหารถสตาร์ทไม่ติดเนื่องจากแบตเตอรี่ไฟหมด คำแนะนำต่อไปนี้จะช่วยคุณได้

วิธีการ 1
วิธีการ 1 ของ 3:

ตรวจสอบแบตเตอรี่

ดาวน์โหลดบทความ
    • ตรวจสอบไฟหน้าว่ามีความสว่างมากน้อยแค่ไหน (ในรถบางคันคุณต้องบิดกุญแจไปที่ตำแหน่ง ignition เพื่อที่จะทดสอบไฟหน้า) ถ้าแบตเตอรี่ไฟหมดไฟหน้าจะมีความสว่างน้อยมากหรือไม่สว่างเลย ถ้าไฟหน้าสว่างปกติแสดงว่าปัญหาไม่ได้เกิดจากแบตเตอรี่ และการจั๊มสตาร์ทก็ไม่ช่วยให้รถสตาร์ทติดได้
    • ทดลองกดปุ่ม unlock ที่กุญแจรถเพื่อดูว่าประตูเปิดออกได้หรือไม่ และ/หรือ ทดลองเปิดประตูจากด้านนอก, ดูว่าไฟภายในรถติดหรือไม่ และดูว่านาฬิกาหรือ GPS (ถ้ามี) ทำงานถูกต้องหรือไม่
    • บิดกุญแจไปที่ตำแหน่ง ignition แล้วดูว่าไฟที่แผงหน้าปัดติดตามปกติหรือไม่ ทดลองเปิดวิทยุดู โดยปกติแล้วแม้ว่าแบตเตอรี่มีแรงดันไฟต่ำ คุณควรเห็นไฟที่แผงหน้าปัดติดเป็นบางดวง และได้ยินเสียงจากวิทยุ ถ้าไฟที่แผงหน้าปัดไม่ติดแม้แต่กระพริบแว๊บหนี่งแสดงว่าอาจมีปัญหาที่สวิทช์ ignition
    • ทดลองสตาร์ทรถแล้วสังเกตุว่าเครื่องยนต์หมุนช้าหรือเร็ว ถ้ามันหมุนเร็วแสดงว่าแบตเตอรี่ปกติ และการจั๊มสตาร์ทก็ไม่ช่วยให้รถสตาร์ทติดได้ ถ้ามันหมุนช้า หรือไม่หมุนเลย ไฟแบตเตอรี่น่าจะหมดแล้ว
    โฆษณา
วิธีการ 2
วิธีการ 2 ของ 3:

จั๊มแบตเตอรี่

ดาวน์โหลดบทความ
  1. เปิดกระโปรงหน้ารถของแต่ละคันแล้วดูว่าแบตเตอรี่อยู่ตรงไหน. รถส่วนใหญ่แบตเตอรี่จะอยู่ตรงฝั่งขวาหรือซ้ายทางด้านหน้าของรถ แต่รถบางคันแบตเตอรี่จะอยู่ติดผนังที่กั้นระหว่างเครื่องยนต์กับส่วนผู้โดยสาร รถบางประเภทแบตเตอรี่จะอยู่ที่กระโปรงหลังรถ ถ้าไม่แน่ใจว่าแบตเตอรี่อยู่ตรงไหนให้ดูได้จากคู่มือรถ แบตเตอรี่มีขั้วต่อ 2 ขั้ว คือขั้วบวกและขั้วลบโดยสังเกตุได้จาก
    • ขั้วบวกจะมีสัญลักษณ์เครื่องหมายบวก (+) และโดยปกติจะมีสายไฟสีแดงต่ออยู่
    • ขั้วลบจะมีสัญลักษณ์เตื่องหมายลบ (-) และโดยปกติจะมีสายไฟสีดำต่ออยู่
  2. นำรถอีกคันที่มีแบตเตอรี่ปกติมาจอดใกล้ๆ แต่ไม่แตะกับรถคันที่แบตเตอรี่ไฟหมด. โดยจอดในลักษณะที่ระยะระหว่างแบตเตอรี่ของรถทั้งสองใกล้กันเท่าที่จะทำได้ ปิดเครื่องยนต์, วิทยุ, ไฟ, แอร์, พัดลม และอุปกรณ์ไฟฟ้าอื่น ๆ ทำเช่นเดียวกันนี้กับรถที่แบตเตอรี่ไฟหมดด้วย ห้ามให้รถทั้งสองคันแตะกันโดยเด็ดขาด
    • ถ้ารถแตะกัน การจั๊มแบตเตอรี่สามารถทำให้เกิดประกายไฟอันตรายระหว่างรถทั้งสองได้
  3. ถ้าคุณมีอุปกรณ์ป้องกัน (ที่ป้องกันตาและถุงมือ) อย่าลืมใช้มัน. ตรวจดูว่าแบตเตอรี่มีรอยแตกร้าว, รั่ว หรืออาการเสียหายอื่นๆ หรือไม่ ถ้ามีห้ามทำการจั๊มสตาร์ท ให้เรียกรถลาก หรือเปลี่ยนแบตเตอรี่
    • บางครั้งอาจจำเป็นต้องถอดสายไฟของแบตเตอรี่ที่เสื่อมออกจากขั้วต่อ และทำความสะอาดทั้งสายไฟและขั้วต่อโดยใช้แปรงลวดทำการแปรงคราบสนิมออกไป ต่อสายไฟเข้ากับขั้วแบตเตอรี่ตามเดิม แล้วทำการจั๊มแบตเตอรี่
    • ถ้ามีฝาครอบป้องกันขั้วต่อสีแดงที่ขั้วบวก (+) ให้เอาออก
  4. เช่นเดียวกับแบตเตอรี่สายจั๊มจะประกอบไปด้วยสายไฟสีแดงและดำ และที่ปลายสายทั้งสองด้านจะมีปากคีบขนาดใหญ่เพื่อใช้ต่อเข้ากับขั้วแบตเตอรี่ เมื่อคุณต่อสายจั๊มทั้งสองเข้ากับขั้วแบตเตอรี่แล้วคุณต้องระวังไม่ให้ปลายสายสีแดงและสีดำแตะกัน เพราะมันจะก่อให้เกิดประกายไฟอย่างรุนแรง และ/หรือเกิดความเสียหายต่อรถคันใดคันหนึ่ง หรือทั้งสองคัน
    • ต่อปากคีบสีแดงด้านหนึ่งเข้ากับขั้วบวก (+) ของแบตเตอรี่ที่ไฟหมด
    • ต่อปากคีบสีแดงอีกด้านหนึ่งเข้ากับขั้วบวก (+) ของแบตเตอรี่ปกติ
    • ต่อปากคีบสีดำด้านหนึ่งเข้ากับขั้วลบ (-) ของแบตเตอรี่ปกติ
    • ต่อปากคีบสีดำอีกด้านหนึ่งเข้ากับชิ้นส่วนโลหะที่เป็นกราวด์ของรถคันที่สตาร์ทไม่ติด แนะนำให้ต่อเข้ากับสลักที่ยึดสายไฟขนาดใหญ่ที่ต่อจากขั้วลบของแบตเตอรี่เข้ากับตัวถังรถ ถ้าหาไม่เจอให้มองหาส่วนที่เป็นโลหะมันวาว (ที่ไม่ถูกทาสี หรือมีคราบน้ำมัน) ที่ต่อกับเครื่องยนต์ โดยปกติ น็อต, สลัก หรือชิ้นส่วนโลหะมันวาวอื่นๆ ที่เหมาะกับปากคีบก็สามารถใช้ได้ คุณอาจเห็นประกายไฟเล็กๆ ถ้าคุณต่อเข้ากับจุดที่เป็นกราวด์สมบูรณ์ ถ้าหาไม่ได้คุณอาจต่อเข้ากับขั้วลบ (-) ของแบตเตอรี่ที่ไฟหมดก็ได้ แต่วิธีนี้เสี่ยงที่อาจจะเกิดการระเบิดของแก๊สไฮโดรเจนที่ออกมาจากแบตเตอรี่ได้
    • ตรวจดูให้แน่ใจว่าว่าไม่มีส่วนใดส่วนหนึ่งของสายไฟห้อยไปที่บริเวณเครื่องยนต์ ซี่งมันอาจไปโดนอุปกรณ์ที่เคลื่อนไหวได้
  5. แล้วปล่อยให้เครื่องยนต์หมุนไปประมาณ 2-3 นาที ห้ามเร่งเครื่องยนต์ หลังจากนั้นให้เร่งเครื่องยนต์ขึ้นเล็กน้อยเป็นเวลา 30 ถึง 60 วินาที เพื่อเป็นการชาร์จแบตเตอรี่ของรถที่สตาร์ทไม่ติด เนื่องจากว่าเมื่อเราสตาร์ทรถคันที่แบตเตอรี่ไฟหมด วงจรสตาร์ทจะดึงกระแสไฟตามที่มันต้องการ (มากกว่า 100 แอมป์ ) จากแบตเตอรี่ ไม่ใช่ดึงผ่านสายจั๊มจากแบตเตอรี่ปกติ สายจั๊มที่ขายตามร้านทั่วไปไม่ได้ผลิตมาเพื่อรองรับกระแสไฟขนาดที่วงจรสตาร์ทต้องการ ดังนั้นการชาร์จแบตเตอรี่เป็นสิ่งจำเป็น ถ้า 30 วินาทีไม่พอ ให้ลองชาร์จไปจนเต็ม 60 วินาที โดยให้เครื่องยนต์หมุนที่ความเร็วรอบสูง จุดต่อที่สะอาดและสมบูรณ์ระหว่างสายแบตเตอรี่กับขั้วแบตเตอรี่ก็เป็นสิ่งสำคัญ
  6. ถ้ารถไม่สตาร์ทให้ดับเครื่องยนต์ของรถคันที่แบตเตอรี่ปกติ และถอดปากคีบอันที่ต่อหลังสุดออกชั่วคราว แล้วบิดหรือขยับปากคีบแต่ละอันเพื่อให้แน่ใจว่าการต่อวงจรไฟฟ้าสมบูรณ์ สตาร์ทรถคันที่มีแบตเตอรี่ปกติอีกครั้งแล้วปล่อยทิ้งไว้อีก 5 นาทีเพื่อชาร์จแบตเตอรี่ก่อนที่จะสตาร์ทรถคันที่แบตเตอรี่หมด ถ้ารถยังสตาร์ทไม่ติดหลังจากที่ลอง 2-3 ครั้งแล้วคุณอาจต้องเรียกรถมาลาก หรือเปลี่ยนแบตเตอรี่
  7. โดยให้ทำย้อนกลับจากตอนที่ต่อสายจั๊ม และระวังอย่าให้ปากคีบแต่ละอันแตะกัน (หรือห้อยไปโดนส่วนของเครื่องยนต์)
    • ถอดปากคีบสีดำจากกราวด์ที่เป็นส่วนของโลหะของรถคันที่แบตเตอรี่ไฟหมด
    • ถอดปากคีบสีดำจากขั้วลบ (-) ของแบตเตอรี่ปกติ
    • ถอดปากคีบสีแดงจากขั้วบวก (+) ของแบตเตอรี่ปกติ
    • ถอดปากคีบสีแดงจากขั้วลบ (+) ของแบตเตอรี่ที่ไฟหมด
    • ถ้ามีฝาครอบป้องกันขั้วต่อสีแดงที่ขั้วบวก (+) ก็ให้ใส่กลับคืน ฝาครอบนี้ช่วยป้องกันการลัดวงจรของแบตเตอรี่โดยบังเอิญ
  8. ปล่อยให้รถคันที่สตาร์ทไม่ติดเดินเครื่องยนต์ต่อเนื่อง. โดยเพิ่มความเร็วรอบขึ้นจากค่าปกติ (ใช้เท้าเหยียบคันเร่งเล็กน้อย) ไป 5 นาที หลังจากนั้นเดินเครื่องยนต์ที่ความเร็วรอบปกติไปอีก 20 นาที ก่อนดับเครื่องยนต์ การทำเช่นนี้เพื่อให้แบตเตอรี่ได้รับการชาร์จเพียงพอที่จะสตาร์ทรถยนต์อีกครั้ง ถ้ารถสตาร์ทไม่ติดแบตเตอรี่น่าจะเสื่อม หรือไม่ก็วงจรชาร์จแบตเตอรี่ไม่ทำงาน
    โฆษณา
วิธีการ 3
วิธีการ 3 ของ 3:

สตาร์ทรถโดยไม่ใช้สายจั๊ม (เฉพาะรถเกียร์ธรรมดาเท่านั้น)

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ตำแหน่งของรถควรอยู่บนเนิน หรือมีคนช่วยเข็นรถ.
  2. [1]
  3. [2]
  4. บิดกุญแจไปที่ตำแหน่ง ignition แต่ไม่ต้องสตาร์ทเครื่องยนต์. [3] กุญแจที่ตำแหน่งนี้เรียกว่าตำแหน่งที่สองคือหลังจากเสียบกุญแจแล้วให้บิดไปทางขวาหนึ่งครั้ง ถ้าบิดต่อไปอีกครั้งก็จะเป็นการสตาร์ทเครื่องยนต์ซึ่งเราไม่ต้องการ
  5. แต่ยังคงเหยียบครัทช์อยู่ รถจะไหลลงเนินหรือเคลื่อนไหวเนื่องจากแรงเข็นจากคนที่มาช่วย [4]
  6. ปล่อยครัทช์อย่างรวดเร็วเมื่อความเร็วรถถึง5 mph (8.0 km/h). [5] เครื่องยนต์ควรจะหมุนและสตาร์ท ถ้ายังไม่ได้ให้เหยียบและปล่อยครัทช์อีกครั้ง
    โฆษณา

เคล็ดลับ

  • อย่าต่อสายสีดำก่อนแล้วตามด้วยสายสีแดง เพราะถ้าคุณต่อแบบนี้แล้วเกิดสายสีแดงไปโดนตัวถังรถโดยบังเอิญจะเกิดการลัดวงจรขึ้น อาจทำให้ปากคีบหลอมละลายติดเข้ากับตัวถังรถได้
  • หลังจากรถสตาร์ทติดแล้วอย่าปล่อยให้รถจอดแช่เกินกว่า 10 นาที แบตเตอรี่ที่ไฟหมดต้องได้รับการชาร์จชั่วระยะเวลาหนึ่ง และบางครั้งไฟอาจจะหมดอีกครั้งก็ได้ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณไม่ได้เดินเครื่องยนต์ที่รอบความเร็วมากกว่าปกติ)
  • แบตเตอรี่ของรถแต่ละคันไม่ได้อยู่ที่เดียวกันเสมอไป รถบางคันแบตเตอรี่อยู่ใต้ฝากระโปงหน้ารถ, บางคันอยู่ด้ายหลังคนขับ, และบางคันอาจอยู่ที่กระโปงหลังรถ
  • สายจั๊มส่วนมากมีคำแนะนำพร้อมรูปภาพอธิบายขั้นตอนการต่อปากคีบ
  • เลือกซื้อสายจั๊มเฉพาะที่ขนาดเหมาะสมและคุณภาพดี ดูได้จากเบอร์ของสายไฟที่ใช้ ยิ่งเบอร์เล็ก ขนาดของสายไฟก็ยิ่งโตกว่า (สายไฟ #10 จะมีขนาดเล็กว่าสายไฟ #8) อย่าตัดสินที่ความโตของสายไฟโดยรวมอย่างเดียว ผู้ผลิตหลายบริษัทปกปิดสายไฟคุณภาพต่ำโดยการใช้สายไฟขนาดเล็กแล้วหุ้มด้วยฉนวนพลาสติกราคาถูกอย่างหนา อนึ่งความยาวของสายไฟยิ่งยาว ก็ต้องการสายไฟที่มีขนาดโตขึ้นด้วย
  • การจั๊มสตาร์ทรถทั่วไป หรือรถบรรทุกขนาดเล็กไม่ก่อให้เกิดอันตรายเนื่องจากไฟซ็อต แรงดันไฟฟ้าของการจั๊มแค่ประมาณ 12 โวลต์ ซื่งแรงดันไฟฟ้าขนาดนี้ไม่สามารถทำให้ใครตายได้ แต่อย่างไรก็ตามแค่ประกายไฟขนาดเล็กก็อาจทำให้เกิดการระเบิดทำให้บาดเจ็บรุนแรง หรือเกิดการเผาไหม้ ประกายไฟที่เกิดจากการลัดวงจรโดยไม่ได้ตั้งใจมีขนาดใหญ่เนื่องจากขนาดของกระแสไฟฟ้า หรือแอมป์ ไม่ใช่ แรงดันไฟฟ้า
  • วิธีสตาร์ทด้วยการเข็นรถใช้ได้กับการให้รถวิ่งถอยหลังได้ด้วย การวิ่งถอยหลังทำได้ง่ายกว่าและต้องการความเร็วต่ำเนื่องจากระบบเกียร์ นี่เป็นอีกทางเลือกหนึ่งถ้ารถคุณจอดบนเนินหันหน้าขึ้นและคุณไม่สามารถเข็นรถขึ้นเนินได้ คุณไม่สามารถใช้วิธีเข็นสตาร์ทกับรถเกียร์อัตโนมัติได้ ยกเว้นคุณสามารถเร่งความเร็วได้มากกว่า 40 mph (64 km/h) ซึ่งไม่แนะนำให้ทำเพราะคุณไม่มีพาวเวอร์เบรก หรือพวงมาลัยพาวเวอร์
  • หลีกเลี่ยงเปลวไฟและวัตถุมีควันเมื่ออยู่ใกล้แบตเตอรี่ เนื่องจากแบตเตอรี่แผ่กระจายแก๊สไฮโดรเจนซึ่งเป็นเรื่องปกติของกระบวนการทางเคมีเพื่อผลิตไฟฟ้า แก๊สไฮโดรเจนมีโอกาสระเบิดได้ง่าย
  • ควรซื้อเครื่องชาร์จแบตเตอรี่เก็บไว้ถ้าคุณจอดรถทิ้งไว้และไม่ได้ใช้งานเป็นเวลานาน เครื่องชาร์จนี้หาซื้อได้จากร้านขายอุปกรณ์รถยนต์ทั่วไป เสียบเครื่องนี้เข้ากับปลั๊กไฟบ้านเพื่อชาร์จแบตเตอรี่ภายในตัวมันเองจนมากพอที่จะใช้สตาร์ทรถยนต์
  • การจั๊มแบตเตอรี่รถยนต์ที่ไฟหมดแล้วไม่ต้องการได้รับการ “ชาร์จ” จากแบตเตอรี่รถยนต์ที่มีไฟปกติ นี่เป็นความเข้าใจที่ผิด เมื่อต่อสายจั๊มระหว่างแบตเตอรี่ คุณก็แค่สตาร์ทรถโดยใช้แบตเตอรี่ของรถอีกคันเท่านั้นเอง ไม่ต้องใช้เวลาในการชาร์จแต่อย่างไร
โฆษณา

คำเตือน

  • พยายามให้ใบหน้าของคุณอยู่ห่างจากแบตเตอรี่เท่าที่จะทำได้ตลอดเวลา
  • ห้ามสลับสายจั๊มในขณะที่ต่อเข้ากับแบตเตอรี่รถยนต์
  • การชาร์จหรือดิสชาร์จแบตเตอรี่จะมีแก๊สไฮโดรเจนเกิดขึ้นด้วย ซึ่งในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมอาจทำให้แบตเตอรี่เกิดการระเบิดขึ้นได้ [6] นี่เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมคุณควรหลีกเลี่ยงการต่อแบตเตอรี่สองอันเข้าด้วยกันโดยตรง (ปากคีบทุกอันต่อเข้ากับขั้วแบตเตอรี่) ให้ใช้วิธีนี้เป็นวิธีสุดท้ายถ้าวิธีอื่นไม่ได้ผล และคุณต้องระมัดระวังเรื่องความปลอดภัยและเตรียมพร้อมตลอดเวลา มันอาจมีประกายไฟเกิดขึ้นซึ่งก่อให้เกิดการระเบิดขึ้นได้
โฆษณา

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 5,551 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา