ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

สเต็กที่ทำขึ้นอย่างสมบูรณ์แบบนั้นจะมีเนื้อที่ชุ่มฉ่ำและรสชาติเข้มข้น จนคุณทานได้ไม่หยุดหย่อน และยังเหมาะกับการเป็นอาหารมื้อสุดท้ายของพระราชา หรืออาหารกลางวันมื้อแรกของโจ นอกจากนี้ วิธีการทำสเต็กยังมีอยู่มากมายหลากหลายวิธี คุณสามารถนำเนื้อสเต็กไปปิ้ง ย่าง ทอดในกระทะ หรือนำเข้าเตาอบก็ยังได้ อย่างไรก็ตาม หลายๆ คนยังไม่ค่อยเข้าใจวิธีการทำสเต็กให้ออกมารสชาติสมบูรณ์แบบ โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการให้เนื้อสเต็กด้านนอกมีสีน้ำตาลดูน่ารับประทาน ในขณะที่ด้านในยังเป็นสีชมพู (สุกปานกลาง) โดยทั่วไป คุณสามารถทำสเต็กได้โดยใช้เทคนิคต่างๆ มากมาย!

วิธีการ 1
วิธีการ 1 ของ 4:

เตรียมเนื้อสำหรับทำสเต็ก

ดาวน์โหลดบทความ
  1. [1] เมื่อคนอื่นๆ พูดถึง "สเต็ก" พวกเขาหมายถึงอะไรกัน? แม้อาจกล่าวได้ว่า "เนื้อสำหรับทำสเต็ก" นั้นหมายถึงเนื้อสัตว์ส่วนใดก็ได้ แต่โดยทั่วไปแล้วเรามักจะนึกถึงเนื้อสัตว์บางส่วนมากกว่าส่วนอื่นๆ ในการเลือกเนื้อสำหรับทำสเต็กนั้น ให้คุณเลือกเนื้อที่ตรงกับความชอบของคุณ มีรสชาติดี เนื้อชุ่มฉ่ำ และราคาเหมาะสม
    • ทีโบน: สเต็กทีโบนเป็นสเต็กที่มีทั้งเนื้อสันนอกจากส่วนสะเอวและเนื้อสันใน ซึ่งคั่นกลางด้วยกระดูกที่มีลักษณะเป็นรูปตัว T ทีโบนเป็นสเต็กที่ได้รับความนิยมอย่างมาก แต่เนื่องจากเป็นเนื้อที่ได้มาจากส่วนสะโพกของวัว ซึ่งเป็นเนื้อส่วนที่นุ่มมาก สเต็กทีโบนจึงมีราคาค่อนข้างสูง [2]
    • พอร์ตเตอร์เฮาส์: พอร์ตเตอร์เฮาส์เป็นสเต็กที่ประกอบด้วยเนื้อสันในและเนื้อสันนอกจากส่วนสะเอว จึงมีลักษณะคล้ายสเต็กทีโบนอย่างมาก โดยมีกระดูกบางๆ คั่นกลางระหว่างเนื้อทั้งสองส่วน ทำให้มีรสชาติเข้มข้นผสมกันอย่างกลมกล่อม [3] และมีราคาใกล้เคียงกับสเต็กทีโบนมาก
    • ริบอาย: ชาวตะวันตกเรียกสเต็กชนิดนี้ว่าริบอาย เพราะเป็นเนื้อที่ได้มาจากกระดูกซี่โครงส่วนท้าย เมื่อนึกถึงคำว่า "สเต็ก" ริบอายเป็นชื่อหนึ่งที่ใครหลายๆ คนมักคิดถึง เพราะริบอายมีชั้นไขมันที่ดูน่ารับประทาน (ชั้นไขมันบางๆ ที่อยู่ระหว่างเนื้อแดง) จึงทำให้มีเนื้อนุ่มและรสชาติเข้มข้น [4]
    • นิวยอร์ค สตริพ: นิวยอร์คสตริพเป็นเนื้อที่ได้มาจากส่วนเอวของวัว ซึ่งเป็นส่วนที่ไม่ค่อยมีการใช้กล้ามเนื้อ จึงนุ่มมากเป็นพิเศษ แม้เนื้อจะไม่นุ่มเท่าริบอาย แต่นิวยอร์คสตริพก็มีเนื้อติดมันที่รสชาติเยี่ยมไม่แพ้กัน
    • เซอร์ลอยน์: คำว่า เซอร์ลอยน์ หรือ "เนื้อสันนอก" นั้นอาจหมายถึงเนื้อสันส่วนบนหรือท็อปเซอร์ลอยน์ ซึ่งมีรสชาติอร่อยแต่ราคาสูง หรือเนื้อสันส่วนล่าง ซึ่งเราเรียกกันทั่วไปว่าสเต็กเนื้อสันนอก เนื้อส่วนนี้ได้มาจากส่วนท้ายของสัตว์ ใกล้กับบริเวณเนื้อทีโบนและพอร์ตเตอร์เฮาส์
  2. เลือกซื้อสเต็กเนื้อหนาจากร้านค้าใดก็ได้ โดยให้มีขนาดประมาณ 4-5 เซนติเมตร. เหตุใดการใช้สเต็กเนื้อหนาจึงดีกว่าเนื้อบาง? หากใช้เนื้อที่มีขนาดบาง เราแทบจะไม่สามารถทำสเต็กให้ออกมามีสีน้ำตาลน่ารับประทานและกรอบอร่อยด้านนอก ในขณะที่ด้านในยังมีสีชมพูชุ่มฉ่ำ แต่การใช้ชิ้นเนื้อที่มีขนาดหนาจะทำให้เราสามารถย่างเนื้อให้สุกกำลังพอดีได้ง่ายขึ้นเยอะ โดยเนื้อที่มีน้ำหนัก 12 หรือ 16 ออนซ์นั้นสามารถนำมาเสิร์ฟได้ 2 คนขึ้นไป และการที่คนสองคนได้นั่งรับประทานเนื้อชิ้นใหญ่ร่วมกัน ก็มักดีกว่าการแยกกันทานสเต็กชิ้นเล็กคนละชิ้น
  3. คำถามก็คือ เราควรหมักดีหรือไม่ บรรดาผู้หลงใหลในการรับประทานสเต็กจำนวนมากต้องขมวดคิ้วให้กับการเพิ่มเครื่องปรุงต่างๆ นาๆ ลงไปบนเนื้อสเต็กชั้นดี ยกเว้นเกลือและพริกไทย โดยมีเหตุผลดีๆ สนับสนุน นั่นคือ พวกเขาคิดว่ารสชาติของเนื้อควรโดดเด่นที่สุดในจานอาหาร แต่หากคุณตัดสินใจแล้วว่าต้องการหมักเนื้อของคุณก่อน เราก็มาลองทำซอสหมักกัน และนี่คือสองสูตรง่ายๆ ในการเพิ่มรสชาติให้กับสเต็กของคุณ
    • ซอสหมัก: ซีอิ๊ว 1/3 ถ้วยตวง, น้ำมันมะกอก 1/2 ถ้วยตวง, น้ำมะนาว 1/3 ถ้วยตวง, วูสเตอร์ 1/4 ถ้วยตวง, กระเทียมสับละเอียด 2 กลีบ, ใบโหระพาหั่น 1/2 ถ้วยตวง, พาร์สลีย์ 1/4 ถ้วยตวง [5] โดยให้หมักเนื้อประมาณ 4 ถึง 24 ชั่วโมงก่อนนำมาย่าง
    • เครื่องเทศ: เกลือโครเชอร์ 4 1/2 ช้อนชา, พริกไทยป่นใหม่ 2 ช้อนโต๊ะ, ปาปริก้าหวาน 2 ช้อนโต๊ะ, ผงหอมใหญ่อบแห้ง 1 ช้อนโต๊ะ, ผงกระเทียมอบแห้ง 1 ช้อนโต๊ะ, ออริกาโนแห้ง 1 ช้อนโต๊ะ, ยี่หร่าป่น 2 ช้อนชา [6]
  4. หากคุณแช่เนื้อสำหรับทำสเต็กไว้ในตู้เย็นในช่วงที่กำลังรอโอกาสอันเหมาะสมสำหรับนำเนื้อของคุณออกมาย่างแล้วล่ะก็ ตอนนี้ ได้เวลานำเนื้อของคุณออกมาจากตู้เย็นแล้ว การนำเนื้อมาวางไว้ในอุณณภูมิห้องมีประโยชน์ 2 ประการ:
    • ช่วยร่นระยะเวลาในการทำอาหาร เพราะเนื้อที่อุ่นกว่าจะใช้เวลาในการย่างน้อยกว่า
    • ทำให้เนื้อด้านในและด้านนอกสุกอย่างทั่วถึง เพราะหากคุณเก็บเนื้อไว้ในตู้เย็นเป็นเวลา 1 วัน เนื้อด้านในจะใช้ระยะเวลานานกว่าในการกลับมาสู่อุณหภูมิปกติ นั่นหมายความว่า คุณอาจทำให้เนื้อด้านนอกไหม้เกรียมเสียก่อนที่คุณจะสามารถทำให้เนื้อด้านในสุกปานกลางอย่างที่คุณต้องการ
  5. หากไม่ต้องการหมักซอสหรือเครื่องเทศ ให้เหยาะเกลือลงไปได้เลย. ยิ่งชิ้นเนื้อมีขนาดใหญ่ คุณยิ่งต้องใจกว้างใส่เกลือเพิ่มขึ้นอีกหน่อย โดยให้จำไว้ว่า เนื้อทีโบนหนัก 16 ออนซ์นั้นมีเนื้อมากเป็นสองเท่าของเนื้อริบอายที่หนัก 8 ออนซ์ ดังนั้นคุณจึงควรใส่เกลือให้เหมาะสม
    • หมักเกลือเตรียมไว้ล่วงหน้า บางคนอาจหมักเกลือเตรียมไว้ล่วงหน้าถึง 4 วัน แต่ความจริงแล้ว เพียงประมาณ 40 นาทีก็เพียงพอกับความจำเป็นแล้ว [7] โดยคุณสามารถหมักเนื้อของคุณด้วยเกลือ และรอ 40 นาทีในระหว่างที่ชิ้นเนื้อปรับตัวจนได้อุณหภูมิห้อง
    • เหตุใดจึงไม่ควรหมักด้วยพริกไทย? ในระหว่างที่เราย่างเนื้อ พริกไทยอาจไหม้ได้ ในขณะที่เกลือจะไม่ไหม้อย่างแน่นอน และพริกไทยที่ไหม้เกรียมก็มีรสชาติไม่อร่อยเอาเสียเลย ดังนั้น คุณควรใส่พริกไทย "หลังจาก" ย่างเนื้อเสร็จเรียบร้อยแล้ว
    โฆษณา
วิธีการ 2
วิธีการ 2 ของ 4:

การย่างสเต็กบนเตาย่าง

ดาวน์โหลดบทความ
  1. เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ควรใช้ถ่านไม้สำหรับการย่างเนื้อ. หากไม่มีถ่านไม้ คุณสามารถใช้ถ่านหินแทนได้ (เช่น ถ่านเมสไควท์) อย่างไรก็ตาม ถ่านไม้นั้นสามารถให้ความร้อนได้มากกว่าและเร็วกว่า จึงทำให้เราได้สเต็กที่มีรสชาติดีกว่า และแน่นอนว่าคุณสามารถใช้แก๊สในการย่างเนื้อได้เช่นเดียวกัน เพียงจดจำไว้ว่า รสชาติของสเต็กที่ได้จะออกมาแตกต่างกันไป
    • อย่าใช้น้ำมันจุดไฟเป็นเชื้อเพลิงสำหรับจุดเตาถ่านของคุณ! เพราะน้ำมันจุดไฟ "จะ" ทำให้เกิดไอน้ำมัน ที่สามารถซึมเข้าไปในเนื้อจนคุณรับรู้รสชาติได้ การลงทุนหาซื้อเตาย่างบาร์บีคิวดีๆ สักเตาจึงเป็นความคิดที่ดีกว่า
  2. และด้านนี้จะเป็นด้านร้อนของเตาของคุณ ส่วนอีกด้านจะเป็นด้านเย็น (แม้ความจริงแล้วด้านนี้ก็ยังร้อนมากอยู่ดี) โดยเราจะใช้เตาด้านเย็นเมื่อเริ่มย่างเนื้อ จากนั้นจึงเปลี่ยนมาใช้ด้านร้อนในภายหลัง วิธีการนี้จะช่วยรับประกันว่าเนื้อสเต็กที่คุณทดลองทำจะออกสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น
  3. เริ่มย่างเนื้อบนเตาด้านเย็น ในบริเวณที่ไม่มีถ่านอยู่. ปิดฝาครอบเตา และปล่อยให้เนื้อของเราสุกอย่าง "ช้าๆ" โดยอาศัยความร้อนจากส่วนอื่นของเตา ความจริงแล้ว วิธีการนี้จะตรงกันข้ามกับวิธีที่คนทั่วไปใช้ เพราะหลายๆ คนมักเริ่มต้นด้วยการนำสเต็กไปลนไฟก่อน เพื่อ "เก็บกักรสชาติของอาหารไว้" แต่ความจริงแล้ววิธีการนี้ยังไม่มีหลักการรองรับแต่อย่างใด [8]
    • หากคุณเริ่มย่างเนื้อบนเตาด้านเย็น จะช่วยให้เนื้อทั้งชิ้นมีเวลาเพียงพอในการเพิ่มอุณหภูมิให้สูงขึ้นได้ ไม่ใช่เฉพาะเนื้อด้านนอกเท่านั้น นอกจากนี้ เมื่อสเต็กของคุณใกล้สุก เนื้อของคุณก็จะมีเวลาเพียงพอที่จะกลายเป็นสเต็กที่กรอบกำลังพอดี สิ่งที่คุณต้องทำเพื่อเสร็จสิ้นภารกิจย่างเนื้อนี้ก็แค่รีบย้ายเนื้อไปยังด้านร้อนของเตา
  4. หมั่นพลิกชิ้นเนื้อบ่อยๆ เพื่อให้แต่ละด้านกรอบอร่อย. ในขณะที่ชิ้นเนื้อวางอยู่บนเตาด้านเย็น ให้คุณใช้คีมเพื่อพลิกชิ้นเนื้อของคุณให้บ่อยที่สุด ประมาณทุกๆ 1 นาที มีความเชื่อเกี่ยวกับการย่างเนื้อที่ว่า เราควรพลิกชิ้นเนื้อเพียง 1 ครั้งก่อนนำไปเสิร์ฟ แต่ความจริงแล้ว การพลิกชิ้นเนื้อบ่อยๆ และย่างในบริเวณที่ไม่โดนไฟโดยตรง จะทำให้สเต็กของคุณสุกกำลังพอดี และมีเนื้อสัมผัสที่ชุ่มฉ่ำกว่า [9] และอย่าลืมปิดฝาครอบเตา ในระหว่างที่ไม่ได้พลิกชิ้นเนื้อ
  5. ใช้เทอร์โมมิเตอร์เพื่อตรวจสอบความสุกของสเต็ก. นี่อาจจะฟังดูไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์ทั่วไปทำ แต่มันเป็นหลักการทางวิทยาศาสตร์อย่างแน่นอน และก็ได้ผลดีเสียด้วย เพราะวิจารณญาณของคนเรานั้นมีโอกาสผิดพลาดได้มากกว่าเทอร์โมมิเตอร์ เราทุกคนจึงควรจดข้อมูลเหล่านี้ไว้ นี่เป็นข้อมูลแสดงอุณหภูมิภายในชิ้นเนื้อสำหรับสเต็กแต่ละประเภท:
    • 120° F (48.8° C) = สุกน้อย
    • 130° F (54.4° C) = สุกปานกลางค่อนไปทางน้อย
    • 140° F (60° C) = สุกปานกลาง
    • 150° F (65.5° C) = สุกเกือบทั่วทั้งชิ้น
    • 160° F (71.1° C) = สุกทั่วทั้งชิ้น
  6. 6
    ใช้นิ้วเพื่อช่วยกะประมาณความสุกของเนื้อ. [10] ในการตรวจสอบด้วยนิ้วนั้น ให้คุณใช้ส่วนที่นุ่มของฝ่ามือบริเวณใต้นิ้วโป้งของคุณเพื่อกะประมาณความสุกของชิ้นเนื้อ โดยให้อ้ามือออกและผ่อนคลายฝ่ามือของคุณ หลังจากทำตามแต่ละขั้นตอน ให้คุณแตะบริเวณด้านในของฝ่ามือโดยใช้มืออีกข้าง
    • นิ้วมือทั้งหมดไม่สัมผัสกัน (อ้าฝ่ามือออก): นี่คือลักษณะของเนื้อดิบ
    • นิ้วโป้งสัมผัสนิ้วชี้: นี่คือลักษณะของเนื้อแบบสุกน้อย
    • นิ้วโป้งสัมผัสนิ้วกลาง: นี่คือลักษณะของเนื้อที่สุกปานกลางค่อนไปทางน้อย
    • นิ้วโป้งสัมผัสนิ้วนาง: นี่คือลักษณะของเนื้อที่สุกเกือบทั่วทั้งชิ้น
    • นิ้วโป้งสัมผัสนิ้วก้อย: นี่คือลักษณะของเนื้อที่สุกทั่วทั้งชิ้น
  7. เมื่อเนื้อของคุณมีอุณหภูมิต่ำกว่าอุณหภูมิที่คุณต้องการประมาณ 15° F ให้นำเนื้อไปลนไฟแบบเร็วๆ ทั้งสองด้านเพื่อให้ได้สีสวยน่ารับประทาน. แต่หากสีของเนื้อดูดีอยู่แล้ว ให้วางเนื้อไว้บนเตาด้านเย็นแทน เพราะการลนไฟจะทำความฉ่ำของเนื้อลดลง
  8. ยกสเต็กออกจากเตา เมื่อสเต็กมีอุณหภูมิต่ำกว่าอุณหภูมิที่คุณต้องการประมาณ 5° F. เหตุใดจึงยกสเต็กออกก่อนที่เนื้อจะได้อุณหภูมิตามที่คุณต้องการ? เพราะอุณหภูมิภายในเนื้อสเต็กจะสูงขึ้นอีกประมาณ 5° F หลังจากเรายกออกจากเตา
  9. ปรุงรสด้วยพริกไทย แล้ววางทิ้งไว้อย่างน้อย 5 นาที. ในระหว่างที่คุณย่างเนื้อ ความฉ่ำของเนื้อจะไหลไปรวมอยู่ด้านในของเนื้อ เนื่องจากใยกล้ามเนื้อเกิดการหดตัว ดังนั้น หากคุณหั่นสเต็กทันทีหลังยกออกจากเตา ความฉ่ำที่อยู่ตรงกลางชิ้นสเต็กจะไหลออกมาทันที แต่หากคุณรออีกอย่างน้อย 5 นาที ใยกล้ามเนื้อจะเริ่มคลายตัว ทำให้ความฉ่ำกระจายออกจนทั่วชิ้นเนื้อมากยิ่งขึ้น
  10. ลิ้มรสชาติแสนอร่อยของสเต็กของคุณ พร้อมเครื่องเคียงต่างๆ เช่น มันฝรั่งอบ และผักโขมผัดเนยกระเทียม
    โฆษณา
วิธีการ 3
วิธีการ 3 ของ 4:

การย่างสเต็กในเตาอบ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. วางตะแกรงที่ใช้ให้อยู่ต่ำลงมาจากด้านบนสุดของเตาประมาณ 10-15 ซม. นี่เป็นระยะห่างที่เหมาะสำหรับการทำสเต็กแบบสุกปานกลางหรือสุกปานกลางค่อนไปทางน้อย หากคุณต้องการให้สเต็กของคุณสุกน้อยกว่านี้อีกสักเล็กน้อย ให้เลื่อนตะแกรงลงจนอยู่ห่างจากด้านบนประมาณ 15 ซม. และหากต้องการให้ของคุณสุกทั่วถึงมากยิ่งขึ้น ให้วางตะแกรงโดยให้ห่างจากด้านบนประมาณ 10 ซม.
  2. 2
    เปิดเตาอบของคุณ แล้วใส่กระทะเหล็กใบใหญ่เข้าไปในเตาอบ ในขณะที่เตากำลังอุ่นเครื่อง. กระทะเหล็กนั้นเหมาะสำหรับการย่างเนื้อในเตาอบ เนื่องจากกระทะชนิดนี้นำความร้อนได้ดีมาก หากไม่มีกระทะเหล็ก คุณสามารถใช้กระทะสำหรับปิ้งย่างหรือกระทะแบบมีตะแกรงได้เช่นเดียวกัน โดยให้ตั้งกระทะประมาณ 15 ถึง 20 นาที เพื่อให้กระทะร้อนกำลังพอดี [11]
  3. เมื่อกระทะร้อนได้ที่ ให้วางเนื้อลงบนกระทะ และย่างเป็นเวลา 3 นาที. หากคุณใช้ตะแกรงหรือกระทะแบบมีตะแกรงนูนขึ้น ให้วางชิ้นเนื้อเป็นแนวทแยงเพื่อให้ได้ลายสวยงามจากการย่าง ทั้งด้านบนและด้านล่างของเนื้อควรมีเสียงดังแฉ่ๆ หากเตาร้อนเพียงพอ
  4. ให้คุณพลิกชิ้นเนื้อโดยใช้คีม ไม่ใช่ส้อม เพราะการใช้ส้อมจะทำให้สูญเสียความฉ่ำของเนื้อโดยไม่จำเป็นก่อนเวลาอันควร
  5. หลังจากย่างเนื้อทั้งสองด้านเป็นเวลา 3 นาที ให้ลดอุณหภูมิของเตาอบเหลือ 500° F (260° C).
  6. ข้อมูล [12] ด้านล่างแสดงเวลาโดยประมาณสำหรับการย่างสเต็กที่ 500° F พร้อมบอกความหนาของชิ้นเนื้อที่เหมาะสำหรับนำไปย่าง:
    • สุกน้อย (120° ถึง 130° F)
      • 1" — 0-1 นาที
      • 1 1/4" — 2-3 นาที
      • 1 3/4" — 4-5 นาที
    • สุกปานกลาง (140° ถึง 150° F)
      • 1" — 2-3 นาที
      • 1 1/4" — 4-5 นาที
      • 1 3/4" — 6-7 นาที
    • สุกเกือบทั่วทั้งชิ้น (150° ถึง 160° F)
      • 1" — 4-5 นาที
      • 1 1/4" — 6-7 นาที
      • 1 3/4" — 8-9 นาที
  7. ปรุงรสด้วยพริกไทย แล้ววางทิ้งไว้อย่างน้อย 5 นาที. ในระหว่างที่คุณย่างเนื้อ ความฉ่ำของเนื้อจะไหลไปรวมอยู่ด้านในของเนื้อ เนื่องจากใยกล้ามเนื้อเกิดการหดตัว ดังนั้น หากคุณหั่นสเต็กทันทีหลังยกออกจากเตา ความฉ่ำที่อยู่ตรงกลางชิ้นสเต็กจะไหลออกมาทันที แต่หากคุณรออีกอย่างน้อย 5 นาที ใยกล้ามเนื้อจะเริ่มคลายตัว ทำให้ความฉ่ำกระจายออกจนทั่วชิ้นเนื้อมากยิ่งขึ้น
  8. ลิ้มรสชาติแสนอร่อยของสเต็กของคุณ พร้อมเครื่องเคียงต่างๆ เช่น ถั่วเขียวและมันอบ
    โฆษณา
วิธีการ 4
วิธีการ 4 ของ 4:

การย่างสเต็กบนกระทะ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ใส่น้ำมันลงในกระทะด้ามยาวจำนวน 2 ช้อนโต๊ะ แล้วตั้งไฟให้ร้อน โดยใช้ไฟร้อนสูง และรอจนกระทั่งเกิดควันโขมง. กระทะเหล็กด้ามยาวมีคุณสมบัตินำความร้อนได้ดี จึงสามารถกระจายความร้อนได้เท่าเทียมกันทั่วทั้งกระทะ
    • ใช้น้ำมันคุณภาพดีที่มีรสเป็นกลางในการย่างสเต็ก น้ำมันมะกอกนั้นเหมาะสำหรับการทำพาสต้าและนำมาย่างมะเขือ แต่ไม่เหมาะนักสำหรับการนำมาทำสเต็ก การใช้น้ำมันคาโนลาหรือน้ำมันจากผักชนิดอื่นๆ จะทำให้ได้รสชาติที่ดีกว่า
  2. วางเนื้อลงบนกระทะ และควรดูตำแหน่งในการวาง หากกระทะมีส่วนที่นูนขึ้นมา.
  3. หมั่นพลิกชิ้นเนื้อบ่อยๆ ประมาณทุกๆ 1 นาที โดยให้ย่างไว้ประมาณ 6 ถึง 12 นาที จนกระทั่งได้อุณหภูมิภายในที่ต้องการ. เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ควรใช้เทอร์โมมิเตอร์ในการวัดอุณหภูมิภายในเนื้อสเต็ก ข้อมูลด้านล่างแสดงอุณหภูมิภายในชิ้นเนื้อสำหรับสเต็กแต่ละประเภท เพื่อเป็นแนวทางสำหรับคุณ:
    • 120° F (48.8° C) = สุกน้อย
    • 130° F (54.4° C) = สุกปานกลางค่อนไปทางน้อย
    • 140° F (60° C) = สุกปานกลาง
    • 150° F (65.5° C) = สุกเกือบทั่วทั้งชิ้น
    • 160° F (71.1° C) = สุกทั่วทั้งชิ้น
  4. เติมเนยหรือส่วนผสมสำหรับปรุงแต่งกลิ่นอื่นๆ ลงไป 2 ช้อนโต๊ะ ก่อนที่เนื้อจะสุกได้ที่. [13] คุณสามารถเติมส่วนผสมปรุงแต่งกลิ่นในระหว่างที่ย่างเนื้อได้เช่นเดียวกัน:
    • โรสแมรี่
    • ไธม์
    • มาจอร์รัม
    • กระเทียม
    • ใบเสจ
  5. หลังจากย่างสเต็กเสร็จเรียบร้อยแล้ว (สเต็กจะยังมีความเปลี่ยนแปลงหลังยกลงจากเตา) ให้ตั้งทิ้งไว้อย่างน้อย 5 นาที. ในระหว่างที่คุณย่างเนื้อ ความฉ่ำของเนื้อจะไหลไปรวมอยู่ด้านในของเนื้อ เนื่องจากใยกล้ามเนื้อเกิดการหดตัว ดังนั้น หากคุณหั่นสเต็กทันทีหลังยกออกจากกระทะ ความฉ่ำที่อยู่ตรงกลางชิ้นสเต็กจะไหลออกมาทันที แต่หากคุณรออีกอย่างน้อย 5 นาที ใยกล้ามเนื้อจะเริ่มคลายตัว ทำให้ความฉ่ำกระจายออกจนทั่วชิ้นเนื้อมากยิ่งขึ้น
  6. ลิ้มรสชาติแสนอร่อยของสเต็กของคุณ พร้อมเครื่องเคียงต่างๆ เช่น สลัดมันฝรั่ง และกะหล่ำดาว
    โฆษณา

เคล็ดลับ

  • การใช้เตาย่างที่สะอาดจะทำให้คุณย่างเนื้อได้อย่างมีความสุข เพราะอาหารจะสุกได้เร็วกว่าหากใช้เตาที่สะอาด แถมรสชาติยังดีกว่าอีกด้วย
  • ผักและผลไม้ที่ดีที่สุดคือผักผลไม้สด ในขณะที่เนื้อวัวจะรสชาติดีและนุ่มมากยิ่งขึ้นหากได้จากวัวที่มีอายุมาก เก็บเงินไว้ซื้อเนื้อในช่วงลดราคา เพราะเป็นเนื้อที่ใกล้ (หรือผ่าน) วันหมดอายุแล้ว
  • ปรุงรส ปรุงรส และปรุงรส สเต็กที่ได้รับการปรุงรสมาอย่างดีนั้นไม่จำเป็นต้องใช้ซอสเป็นตัวช่วย
  • หมั่นฉีดสเปรย์ป้องกันอาหารติดกระทะ
  • คุณสามารถใช้มีดกรีดสเต็กเพื่อดูว่าสเต็กสุกได้ที่แล้วหรือไม่ เพียงแต่ต้องตรวจดูให้แน่ใจว่าคว่ำด้านที่มีรอยกรีดลงเมื่อตักสเต็กใส่จาน
โฆษณา

คำเตือน

  • เตาย่างนั้นร้อนมาก อย่าแตะเป็นอันขาด!
  • สเปรย์ป้องกันอาหารติดกระทะจะทำให้เปลวไฟมีขนาดใหญ่ขึ้น ดั้งนั้น เมื่อฉีดสเปรย์ อย่าลืมรวบผมสุดรักของคุณให้ห่างจากเปลวไฟ
โฆษณา

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 7,366 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา