ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

มีวิธีการต่างๆ มากมายที่ช่วยลดความเสี่ยงของการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์โดยไม่ต้องใช้ถุงยางอนามัย คุณอาจจะพูดคุยกับแพทย์ประจำบ้านเพื่อปรึกษา (และรับใบสั่งยา) เกี่ยวกับทางเลือกด้านการแพทย์ต่างๆ หรือคุณจะเลือกใช้วิธีธรรมชาติก็ได้ อย่างไรก็ตามให้คุณนึกไว้ด้วยว่า ถุงยางอนามัยมีประโยชน์อื่นๆ ที่นอกเหนือจากการคุมกำเนิด ซึ่งก็คือการป้องกันการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ นอกจากนี้วิธีการ คุมกำเนิด ที่ได้ผล 100% มีอยู่วิธีเดียวก็คือการละเว้นจากการมีเพศสัมพันธ์ ส่วนวิธีอื่นๆ นั้นแม้จะลดความเสี่ยงของการตั้งครรภ์ได้มาก แต่ก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่าจะไม่ตั้งครรภ์

วิธีการ 1
วิธีการ 1 ของ 3:

เลือกใช้วิธีทางการแพทย์เพื่อป้องกันการตั้งครรภ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย

ดาวน์โหลดบทความ
  1. [1] ถ้าคุณเป็นผู้หญิงที่อยากจะคุมกำเนิดโดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย ทางเลือกที่นิยมใช้กันมากที่สุดก็คือการรับประทานยาคุมกำเนิดด้วยฮอร์โมน ซึ่งคุณสามารถขอชื่อยาจากแพทย์แล้วไปซื้อเองได้ตามร้านขายยาทั่วไป ยาจะประกอบด้วยเอสโตรเจนและโพรเจสเทอโรนหรือไม่ก็เพอเจสเทอโรนอย่างเดียว ตามปกติคุณจะรับประทานยาวันละ 1 เม็ดเป็นเวลา 21 วัน ตามด้วยการรับประทาน "เม็ดแป้ง" ต่ออีก 7 วัน (ซึ่งเป็นช่วงที่ร่างกายของคุณ "มีเลือดออกหลังหยุดยา" แทนการมีประจำเดือน)
    • ยาคุมกำเนิดมีหลายสูตร และคุณสามารถพูดคุยกับแพทย์ประจำบ้านเกี่ยวกับยาสูตรต่างๆ ได้เพื่อดูว่าตัวไหนเหมาะกับคุณที่สุด
    • ประโยชน์ของการรับประทานยาคุมกำเนิดก็คือ สามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้ 91% (และจะยิ่งมีประสิทธิภาพมากขึ้นหากรับประทานเวลาเดียวกันทุกวันโดยไม่ลืมเลย)
    • ถ้าคุณเป็นผู้ชายที่มีเพศสัมพันธ์กับผู้หญิงและไม่อยากให้เธอตั้งครรภ์ คุณก็อาจจะถามว่าเธอรับประทานยาคุมกำเนิดเป็นประจำหรือเปล่า แต่สำหรับผู้ชายแล้วข้อเสียของการคุมกำเนิดด้วยวิธีนี้ก็คือ คุณไม่มีทางเลือกนอกจากต้องเชื่อคำพูดของผู้หญิง และต้องเชื่อด้วยว่าเธอจะรับประทานยาคุมกำเนิดทุกวันและไม่เผลอลืมเลย
  2. [2] ห่วงคุมกำเนิดเป็นอุปกรณ์รูปตัวทีอันเล็กๆ ที่สอดผ่านช่องคลอดเข้าไปในมดลูก (ซึ่งห่วงจะอยู่ในนั้นอีกหลายปีและทำหน้าในการคุมกำเนิด) และมีประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดกว่า 99%
    • ห่วงคุมกำเนิดที่มีอยู่ในตอนนี้ได้แก่ยี่ห้อ Mirena, Skyla และ Lilletta รวมทั้งห่วงคุมกำเนิดชนิดเคลือบทองแดงด้วย
    • Mirena เป็นห่วงคุมกำเนิดชนิดเคลือบฮอร์โมน ราคาสูงกว่าและอยู่ได้ 5 ปี แต่ประโยชน์ของมันก็คือลดอาการปวดประจำเดือนและเลือดประจำเดือนด้วย ส่วน Skyla กับ Lilletta ก็เป็นห่วงคุมกำเนิดชนิดเคลือบฮอร์โมนเช่นเดียวกันแต่อยู่ได้ 3 ปี
    • ห่วงคุมกำเนิดชนิดเคลือบทองแดงไม่ได้ใช้ฮอร์โมน ข้อดีก็คือราคาถูกกว่าและอยู่ได้ 10 ปี แต่ข้อเสียก็คือคุณอาจจะปวดประจำเดือนและมีเลือดประจำเดือนออกมามากขึ้น
    • คุณสามารถนัดแพทย์ให้ใส่ห่วงอนามัยให้คุณได้ ซึ่งมักจะใช้เวลาไม่กี่นาทีเท่านั้น
    • การสอดห่วงคุมกำเนิดอาจจะเจ็บสักครู่ขณะที่มันเลื่อนผ่านปากมดลูกแคบๆ ไป แต่หลังจากสอดเข้าไปแล้ว คุณจะไม่รู้สึกเจ็บอีกเลย
  3. [3] วิธีคุมกำเนิดด้วยฮอร์โมนแบบอื่นๆ ได้แก่ วงแหวนคุมกำเนิด การฉีด Depo-Provera และแผ่นแปะคุมกำเนิด ซึ่งคุณสามารถแจ้งความประสงค์กับแพทย์ได้โดยตรง
    • วงแหวนคุมกำเนิด (ที่เรียกกันว่า NuvaRing) เป็นแหวนที่คุณใส่ไว้ในช่องคลอดครั้งละ 3 สัปดาห์ (จากนั้นก็เอาออก 1 สัปดาห์ในช่วงเลือดออกหลังหยุดยา) [4] วงแหวนนี้จะไประงับการตกไข่ด้วยการปล่อยฮอร์โมน (ที่เป็นส่วนผสมระหว่างเอสโตรเจนกับโพรเจสเทอโรน) ในช่วงที่ห่วงนี้อยู่ในช่องคลอด ซึ่งมักไม่ค่อยมีปัญหาเวลามีเพศสัมพันธ์ และตามปกติแล้วทั้งผู้หญิงและผู้ชายก็จะไม่รู้สึกถึงวงแหวนนี้ อัตราการล้มเหลวอยู่ที่ 9% เมื่อใช้ตามปกติ และอยู่ที่ 0.3% เมื่อใช้อย่างถูกต้อง คุณสามารถถอดห่วงออกได้ไม่เกิน 3 ชั่วโมง เพราะฉะนั้นถ้าคุณอยากมีเพศสัมพันธ์แบบไม่มีวงแหวนมากกว่า คุณก็สามารถถอดออกชั่วคราวได้
    • การฉีด Depo-Provera จะทำโดยแพทย์ทุก 3 เดือน เพราะฉะนั้นประโยชน์ของมันก็คือ ตราบใดที่คุณฉีดยาทุก 3 เดือน คุณก็ไม่ต้องคอยจำว่าต้องรับประทานยาคุมกำเนิด (หรือคุมกำเนิดด้วยวิธีอื่น) เป็นประจำ [5] อัตราการล้มเหลวนั้นต่ำกว่า 1% ในคนที่ไปฉีดเป็นประจำทุก 3 เดือน [6]
    • แผ่นแปะคุมกำเนิดมีขนาด 5 ซม. x 5 ซม. และแปะอยู่บนผิวหนัง แต่ละแผ่นอยู่ได้ 1 สัปดาห์และต้องแปะแผ่นใหม่ เพราะฉะนั้นคุณจะต้องแปะ 3 แผ่นติดกัน จากนั้นก็เว้น 1 สัปดาห์เพื่อให้เลือดออกหลังหยุดยา แผ่นแปะคุมกำเนิดประกอบด้วยฮอร์โมนแบบเดียวกับที่อยู่ในยาคุมกำเนิด และเมื่อใช้อย่างถูกต้อง (และหมั่นแปะซ้ำทุกสัปดาห์) อัตราการล้มเหลวจะต่ำว่า 1% [7]
    • สอบถามแพทย์เกี่ยวกับยาคุมกำเนิดแบบฝังที่เรียกว่า Implanon โดยยาคุมกำเนิดชนิดนี้จะฝังอยู่ในแขนและอยู่ได้ 4 ปี [8]
  4. ยาฆ่าอสุจิเป็นเจลหรือโฟมที่สอดไว้ในช่องคลอด ซึ่งจะดักจับและฆ่าอสุจิโดยสารเคมีที่เป็นพิษกับอสุจิ คุณสามารถหาซื้อยาฆ่าอสุจิได้ตามร้านขายยาใกล้บ้าน [9] อัตราการล้มเหลวของยาฆ่าเชื้ออสุจิอยู่ที่ 22%
  5. ใช้วิธีคุมกำเนิดแบบใช้สิ่งกีดขวาง เช่น หมวกยางคุมกำเนิดหรือฝาครอบปากมดลูก. ทั้งหมวกยางคุมกำเนิดและฝาครอบปากมดลูกเป็นอุปกรณ์ที่ผู้หญิงสอดเข้าไปในช่องคลอดเพื่อครอบปากมดลูก ซึ่งจะป้องกันไม่ให้อสุจิเข้าสู่มดลูก นอกจากนี้หมวกยางคุมกำเนิดหรือฝาครอบปากมดลูกตามปกติแล้วยังมีสารเคมีที่ฆ่าเชื้ออสุจิ ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงที่จะตั้งครรภ์มากกว่าเดิม อัตราการล้มเหลวในผู้หญิงที่ไม่เคยตั้งครรภ์อยู่ที่ 14% และในผู้หญิงที่เคยตั้งครรภ์มาแล้วจะอยู่ที่ 29%
    • คุณสามารถให้แพทย์ใส่หมวกยางคุมกำเนิดหรือฝาครอบปากมดลูกให้ได้
  6. [10] วิธีป้องกันการตั้งครรภ์ที่แน่นอนที่สุดวิธีหนึ่งก็คือ ให้ผู้ชายหรือผู้หญิง (หรือทั้งคู่) ทำหมัน แต่สิ่งที่คุณต้องรู้ก็คือ วิธีนี้เป็นวิธีคุมกำเนิดแบบถาวร คุณไม่ควรเลือกวิธีทำหมันนอกเสียจากว่าคุณแน่ใจแล้วว่า คุณไม่อยากมีลูกแท้ๆ อีกในอนาคต
    • สำหรับผู้ชาย วิธีนี้เรียกว่า "การทำหมันชาย" ในการทำหมันชายนั้น แพทย์จะตัด "หลอดนำอสุจิ" ซึ่งเป็นท่อที่ลำเลียงอสุจิออก ทำให้ผู้ชายไม่สามารถทำให้ผู้หญิงตั้งครรภ์ได้
    • สำหรับผู้หญิง วิธีนี้เรียกว่า "การผ่าตัดผูกท่อนำไข่" โดยจะไปตัดท่อนำไข่ของผู้หญิง (ที่ลำเลียงไข่ที่ยังไม่ได้ผสมจากรังไข่ไปยังมดลูก) ซึ่งจะป้องกันไม่ให้ไข่ได้รับการผสม จึงไม่สามารถตั้งครรภ์ได้
วิธีการ 2
วิธีการ 2 ของ 3:

ใช้วิธีธรรมชาติเพื่อลดโอกาสเสี่ยงในการตั้งครรภ์

ดาวน์โหลดบทความ
  1. [11] หนึ่งในวิธีลดโอกาสในการตั้งครรภ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัยก็คือการหลั่งนอก ซึ่งก็คือการที่ผู้ชายเอาองคชาตออกมาจากช่องคลอดก่อนหลั่งน้ำอสุจิ เพราะฉะนั้นอสุจิก็จะไม่มีโอกาสเดินทางเข้าไปในช่องคลอดของผู้หญิงที่นำไปสู่การตั้งครรภ์
    • ปัญหาใหญ่ของวิธีนี้ก็คือ อาจจะมีอสุจิบางตัวที่เล็ดลอดออกมาก่อน (ก่อนหลั่งน้ำอสุจิและก่อนที่ผู้ชายจะดึงองคชาตออกมา) จึงทำให้วิธีการนี้มีประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดแค่ 78% เท่านั้น
  2. [12] ตามหลักการแล้วในแต่ละเดือนจะมีแค่ไม่กี่วันเท่านั้นที่ผู้หญิงสามารถตั้งครรภ์ได้ รอบเดือนของผู้หญิงส่วนใหญ่มีระยะ 28 วัน ซึ่งจะนับจากวันที่มีประจำเดือนวันแรก โดยเฉลี่ยแล้วผู้หญิงจะตกไข่ในวันที่ 14 แต่ผู้หญิงสามารถตั้งครรภ์ได้หลายวันทั้งก่อนและหลังตกไข่
    • ถ้าผู้หญิงมีเพศสัมพันธ์ก่อนและหลังวันที่ไข่สุกมากที่สุด โอกาสที่จะตั้งครรภ์ก็จะน้อยลงมาก
    • ข้อเสียของวิธีนับวันก็คือ ไม่ใช่ผู้หญิงทุกที่มีรอบเดือน 28 วันพอดี ผู้หญิงแต่ละคนจะมีช่วงรอบเดือนที่แตกต่างกันไปเล็กน้อย และผู้หญิงบางคนก็ไม่ได้มีรอบเดือนสม่ำเสมอในแต่ละเดือน จึงเป็นสาเหตุว่าทำไมวิธีนี้จึงมีประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดโดยไม่ใช่ถุงยางอนามัยร่วมด้วยเพียง 76% เท่านั้น
    • ถ้ารอบเดือนของคุณอยู่ในช่วงประมาณ 28 วันสม่ำเสมอ ให้นับจากวันสุดท้ายของรอบเดือนย้อนหลังไป 14 วัน และช่วงวันนี้จะเป็นวันเริ่มต้นของช่วงที่ไข่สุกมากที่สุด ครึ่งหลังของรอบเดือน (หลังจากไข่ตก) มักจะสม่ำเสมอกว่าครึ่งแรกของรอบเดือน (ก่อนไข่ตก)
  3. [13] วิธีติดตามภาวะเจริญพันธุ์วิธีหนึ่งก็คือ การสังเกตสัญญาณทางสรีระร่างกาย เช่น การวัดอุณหภูมิร่างกายขณะพักและ/หรือสังเกตมูกช่องคลอด เพื่อให้รู้ว่าวันไหนที่มีโอกาสตั้งครรภ์มากที่สุด แล้วคุณก็จะสามารถหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ในวันที่มีโอกาสตั้งครรภ์สูงได้
    • สำหรับวิธีการ "วัดอุณหภูมิร่างกายขณะพัก" นั้น ผู้หญิงจะวัดอุณหภูมิเป็นอย่างแรกในตอนเช้าและก่อนรับประทานอาหารทุกวัน อุณหภูมิจะสูงขึ้น 0.5-1 องศาเซลเซียสหลังจากไข่ตก เพราะฉะนั้นคุณควรใช้ถุงยางอนามัย ยาฆ่าอสุจิ หรือวิธีการคุมกำเนิดแบบอื่นๆ ที่ไม่ใช้ฮอร์โมนตั้งแต่วันแรกหลังมีประจำเดือน ไปจนถึง 3 วันหลังจากที่อุณหภูมิร่างกายขณะพักสูงขึ้น
    • สำหรับวิธีการ "สังเกตมูกช่องคลอด" นั้น ให้ผู้หญิงสังเกตลักษณะของเหลวที่เป็นมูกไหลออกมาจากช่องคลอด ตามปกติแล้วจะไม่มีมูกช่องคลอดออกมาทันทีหลังจากหมดประจำเดือน แต่ผ่านไปสักพักก็จะเป็นเมือกบางๆ เหนียวๆ หลังจากนั้นปริมาณเมือกก็จะมากขึ้นจนแฉะและใสในช่วงตกไข่ และหลังจากหมดช่วง "ระยะเจริญพันธุ์" ก็จะไม่มีของเหลวไหลออกมาจนสามารถสังเกตได้ ไปจนถึงช่วงเริ่มต้นของรอบเดือนครั้งถัดไป เพราะฉะนั้นในช่วงที่มีมูกช่องคลอดออกมามาก มีลักษณะใสและแฉะ คุณต้องงดเว้นจากการมีเพศสัมพันธ์เนื่องจากเป็นช่วงที่มีโอกาสตั้งครรภ์มากที่สุด [14]
  4. รู้ว่าการป้องกันด้วยวิธีธรรมชาติก็ยังเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์. ทั้งวิธีหลั่งนอกและวิธีนับวันต่างก็เป็นวิธีที่มีประสิทธิภายน้อยกว่าวิธีทางการแพทย์อยู่มาก อย่าใช้เทคนิคเหล่านี้หากคุณไม่อยากตั้งครรภ์จริงๆ ซึ่งเหตุผลก็คือ :
    • ถ้าคุณเป็นผู้ชายและทำผู้หญิงท้องโดยไม่ได้ตั้งใจ ส่วนใหญ่แล้วผู้หญิงมีสิทธิ์ 100% ในการตัดสินใจว่าจะอุ้มท้องต่อไปหรือไม่ (หรือจะยุติการตั้งครรภ์หรือไม่)
    • ซึ่งหมายความว่าถ้าคุณทำผู้หญิงท้องแล้วเธอเลือกที่จะเก็บเด็กไว้ คุณก็ต้องรับผิดชอบในเรื่องค่าใช้จ่าย และอาจจะต้องรับผิดชอบในเรื่องของการมีส่วนร่วมในฐานะพ่อแม่ด้วย
    • ทั้งผู้ชายและผู้หญิงต่างก็ได้รับผลกระทบจากการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ การที่คุณต้องทำหน้าที่ดูแลเด็กทั้งที่ยังไม่พร้อมอาจส่งผลกระทบใหญ่หลวง (และอาจเป็นอุปสรรค) ต่อแผนการอื่นๆ ของคุณ ไม่ว่าจะเป็นอาชีพ ความสัมพันธ์ และชีวิตในด้านอื่นๆ
    • ถ้าคุณเป็นผู้หญิงและคุณตั้งครรภ์โดยไม่ได้ตั้งใจ คุณก็อาจจะต้องเจอกับการตัดสินใจที่ท้าทายว่า คุณจะเก็บเด็กเอาไว้หรือจะยุติการตั้งครรภ์ (แม้ว่ามันจะไม่ถูกกฎหมายในประเทศไทยก็ตาม)
วิธีการ 3
วิธีการ 3 ของ 3:

เข้าใจประโยชน์ของถุงยางอนามัยที่นอกเหนือจากการคุมกำเนิด

ดาวน์โหลดบทความ
  1. มองว่าถุงยางอนามัยคือสิ่งที่ลดความเสี่ยงของการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์. [15] ก่อนที่คุณจะตัดสินใจไม่ใช้ถุงยางอนามัย คุณต้องพิจารณาถึงบทบาทของถุงยางอนามัยทั้งในแง่การลดความเสี่ยงของการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์และการคุมกำเนิด แม้ว่าคุณจะใช้อุปกรณ์คุมกำเนิดอื่นๆ เช่น การคุมกำเนิดด้วยฮอร์โมน แต่การคุมกำเนิดด้วยวิธีอื่นๆ นั้นไม่ได้ปกป้องคุณจากการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ เพราะฉะนั้นเมื่อเป็นเรื่องการของมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัยแล้ว ถุงยางอนามัยถือว่ามีข้อได้เปรียบที่สำคัญ
    • ถุงยางอนามัยป้องกันคุณจากการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์โดยการลดการสัมผัสระหว่างอวัยวะเพศกับอวัยวะเพศ และปิดกั้นไม่ให้ของเหลวที่หลั่งจากองคชาตเข้าสู่ช่องคลอดของผู้หญิงด้วย ซึ่งการสัมผัสทั้งสองประเภทนี้คือทางผ่านที่เชื้อโรคจะแพร่จากคนหนึ่งสู่อีกคนหนึ่ง
  2. ใช้ถุงยางอนามัยถ้าคุณไม่ได้มั่นใจในคู่นอนของคุณอย่างเต็มที่. ถ้าคุณมีความสัมพันธ์แบบคู่ครองคนเดียวที่มั่นคงต่อกันมาเป็นเวลานาน คุณก็จะรู้ว่าคนรักของคุณใช้วิธีคุมกำเนิดแบบไหน เช่น รับประทาน "ยา" หรือใช้ห่วงคุมกำเนิด เพราะคุณได้พัฒนาความสัมพันธ์ที่ไว้ใจกันกับคนๆ นั้น และอาจจะปรึกษากันแล้วว่า วิธีคุมกำเนิดแบบไหนที่ดีกับคุณสองคนมากที่สุด แต่ถ้าคุณเพิ่งมีคู่นอนคนใหม่ที่คุณไม่ได้รู้จักดีพอที่จะเชื่อใจได้อย่างเต็มที่ การใช้ถุงยางอนามัยจะเป็นหนึ่งในวิธีการคุมกำเนิดที่เชื่อถือได้มากกว่า
    • ถ้าคุณเป็นผู้ชาย คุณไม่มีวันรู้ได้เลยว่าคู่นอนคนใหม่ของคุณรับประทาน "ยา" (หรือใช้วิธีคุมกำเนิดแบบอื่น) จริงๆ หรือเปล่า และรับประทานอย่างถูกต้องไหม
    • เป็นไปได้ว่าผู้หญิงอาจจะโกหกเรื่องคุมกำเนิดแล้วตั้งใจทำให้ตัวเองตั้งครรภ์
    • เช่นเดียวกันคือผู้ชายก็อาจจะโกหกผู้หญิงว่า ตัวเองทำหมันแล้วทั้งที่จริงๆ ไม่ได้ทำ หรือไม่เขาก็บอกว่าเขาจะหลั่งนอกแต่จริงๆ แล้วก็พลาด
    • การใช้ถุงยางอนามัยเป็นวิธีคุมกำเนิดที่ชัดเจนและตรงไปตรงมาโดยไม่ต้องอาศัยความเชื่อถือจากฝ่ายไหนเลย
  3. ซื้อยาคุมฉุกเฉินหากถุงยางอนามัยรั่วหรือทำงานล้มเหลว. [16] ถุงยางอนามัยมีประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์ได้ถึง 82% [17] แต่ถ้าหากถุงยางอนามัยรั่วระหว่างมีเพศสัมพันธ์ คุณต้องใช้การคุมกำเนิดแบบฉุกเฉินโดยด่วน
    • คุณสามารถหาซื้อยาคุมฉุกเฉินได้ตามร้านขายยาทั่วไป
    • ทางเลือกของคุณก็คือยาคุมฉุกเฉิน (ยี่ห้อ Plan B) หรือใส่ห่วงคุมกำเนิดชนิดเคลือบทองแดง คุณต้องรับประทานยา Plan B ทันทีหลังจากมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย (ตามหลักการแล้วคือภายใน 1 วัน เพราะประสิทธิภาพของยาจะลดลงเมื่อเวลาผ่านไป) อย่างไรก็ตามคุณสามารถรับประทานยา Plan B ได้ภายใน 72 ชั่วโมงหลังการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย ส่วนห่วงคุมกำเนิดชนิดเคลือบทองแดงนั้นมีประสิทธิภาพเหมือนยาคุมฉุกเฉินหากคุณใส่ห่วงคุมกำเนิดภายใน 5 วันหลังจากมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย
    • ตัวเลือกอื่นๆ ได้แก่ ยูริพริสทอล อะซิเตท และยาที่มีส่วนผสมของเอสโทรเจนและโพรเจสเทอโรน [18] ซึ่งยาคุมกำเนิดฉุกเฉินทั้งสองชนิดนี้ต้องมีใบสั่งแพทย์
  4. ใช้ถุงยางอนามัยป้องกันอีกขั้นหนึ่งหากคุณไม่สามารถยอมรับการตั้งครรภ์ได้จริงๆ. เนื่องจากการคุมกำเนิดทุกวิธีล้วนมีอัตราการล้มเหลว เพราะฉะนั้นคุณจึงควรใช้มากกว่า 1 วิธี เช่น ใช้ทั้งถุงยางอนามัยและรับประทานยาคุมกำเนิด ในสถานการณ์ที่คุณไม่อยากตั้งครรภ์เลยจริงๆ ระมัดระวังไว้ดีกว่าเสี่ยงตั้งครรภ์แล้วต้องมารับผิดชอบสิ่งที่ตามมา

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 1,457 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม