ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

เกาต์บางครั้งก็ถูกคิดว่าเป็นโรคที่ตกยุคหรือไม่ก็ "ไม่ใช่เรื่องใหญ่" แต่ตามความจริงแล้วมันสามารถกระจายตัวและทำให้เกิดความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสหากเพิกเฉยไม่รับการรักษา สาเหตุโดยตรงของการเกิดโรคเกาต์คือการมีระดับกรดยูริคในเลือดสูง ร่างกายเรานั้นสามารถสร้างและจัดการกับกรดยูริคโดยใช้สารประกอบหลากหลายชนิด การควบคุมอาหารที่รับประทานน่าจะเป็นหนทางที่ป้องกันการเกิดเกาต์อย่างได้ผลที่สุด หรือไม่ก็ป้องกันไม่ให้โรคเกาต์นั้นสร้างความเจ็บปวดหรือเกิดขึ้นบ่อย การลดน้ำหนักหรือใช้ยารักษาก็เป็นทางเลือกเพิ่มเติมที่มักจะแนะนำให้ทำควบคู่ไปกับการควบคุมอาหาร

วิธีการ 1
วิธีการ 1 ของ 4:

รับประทานอาหารเพื่อช่วยป้องกันโรคเกาต์

ดาวน์โหลดบทความ
  1. อาการเจ็บปวดที่กำเริบขึ้นมาของโรคเกาต์จะเกิดเมื่อสารประกอบที่ชื่อกรดยูริคก่อให้เกิดตะกอนเกลือขึ้นมาในข้อต่อของคุณ ของเหลวสามารถไหลผ่านกรดยูริคไปทั่วร่างกาย ทำให้มันเป็นวิธีที่จะช่วยลดโอกาสของการปวดเกาต์อย่างได้ผล [1] น้ำเป็นของเหลวที่ใช้เพื่อการนี้อย่างได้ผลที่สุด แต่คุณอาจใช้น้ำผลไม้ 100% สำหรับโควต้าน้ำดื่มประจำวันก็ได้
    • เครื่องดื่มที่ใส่น้ำตาล อย่างเช่น น้ำอัดลมหรือน้ำผลไม้สำเร็จรูปแบบเติมน้ำตาลอาจทำให้อาการเกาต์แย่ลงได้
    • น้ำอย่างน้อยแปดแก้วต่อวันนั้นอ้างอิงตามหน่วยการวัดของสหรัฐ แปดแก้วเท่ากับน้ำ 64 ออนซ์, สองควอร์ต หรือ 1.9 ลิตร
  2. โพแทสเซียมจะช่วยให้กรดยูริคที่เป็นสาเหตุของเกาต์นั้นได้ไหลผ่านระบบภายในร่างกาย อาหารหลายชนิดมีโพแทสเซียมในระดับสูง เช่นถั่วลิม่า พีชอบแห้ง แคนตาลูป ผักโขมที่ปรุงสุก หรือมันฝรั่งอบทั้งเปลือก [2]
    • ถ้าคุณไม่อยากรับประทานอาหารเหล่านี้อย่างน้อยสักสองหน่วยบริโภคในแต่ละวัน (หรืออาจต้องมากถึงเจ็ดหน่วยในกรณีที่มีอาการเกาต์รุนแรง) ให้ลองรับประทานโพแทสเซียมเม็ดเสริมแทน หรือลองปรึกษาแพทย์ดู
  3. ผู้ที่เสี่ยงต่อการเกิดเกาต์นั้นจะได้รับคำแนะนำให้รับประทานพาสต้าแบบธัญพืชเต็มเมล็ด ขนมปังโฮลวีท ผักและผลไม้ รับประทานอาหารเหล่านี้แทนขนมปังขาว เค้กและลูกอม อย่างน้อยก็ในการรับประทานอาหารประจำวัน [3]
  4. รับประทานวิตามินซีเสริมหรือรับประทานอาหารที่มีวิตามินซีสูง. มีการศึกษาอย่างน้อยหนึ่งชิ้นแนะนำว่าการรับประทานวิตามินมากๆ ในแต่ละวัน โดยเฉพาะในปริมาณระหว่าง 1,500 กับ 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน จะมีส่วนลดโอกาสการเกิดเกาต์ได้อย่างมีนัยสำคัญ [4] หลายคนที่เป็นเกาต์จะเติมน้ำมะนาวลงไปในน้ำที่ใช้ดื่มเพื่อเป็นตัวช่วย ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเรื่องยากที่จะรับประทานวิตามินซีให้สูงถึงระดับนี้ถ้าไม่ได้รับประทานวิตามินซีแบบเม็ดเสริม [5]
  5. เชอร์รี่เป็นยารักษาเกาต์ตำรับพื้นบ้านมาเป็นเวลานานและมันอาจลดความเสี่ยงของการเป็นเกาต์ได้จริง การศึกษาในเบื้องต้นแสดงให้เห็นว่าเชอร์รี่ดูจะช่วยลดระดับของกรดยูริคในเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุของเกาต์ [6]
  6. การศึกษาชิ้นหนึ่งชี้ให้เห็นว่ากาแฟอาจช่วยลดระดับกรดยูริค ดังนั้นจึงช่วยลดความเสี่ยงการเป็นเกาต์ [7] ยังไม่เป็นที่ทราบว่าเหตุผลนั้นเป็นเพราะอะไร แต่คาเฟอีนดูแล้วไม่น่าจะช่วยได้และจริงๆ แล้วอาจทำให้อาการเกาต์ยิ่งแย่ลง การดื่มกาแฟแบบไร้คาเฟอีนจึงดูเป็นทางเลือกที่เข้าท่ากว่า [8]
    โฆษณา
วิธีการ 2
วิธีการ 2 ของ 4:

หลีกเลี่ยงอาหารที่เป็นอันตราย

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ฟรุคโตสซึ่งสามารถพบได้ในน้ำเชื่อมจากแป้งข้าวโพดและของให้ความหวานอื่นๆ จะเพิ่มระดับกรดยูริคได้อย่างเห็นได้ชัด [9] [10] เมื่อกรดยูริคก่อตัว มันจะก่อตัวเป็นผลึกรูปทรงคล้ายเข็ม (โมโนโซเดียม ยูเรท) ซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดอาการปวดข้อและบวมอักเสบอย่างที่รู้จักกันในชื่อว่า เกาต์ [11] อาหารที่มีน้ำตาลหรือสารให้ความหวานสูงและอาหารแปรรูปเป็นสาเหตุสำคัญของการเป็นเกาต์
    • ลองแทนที่น้ำอัดลมกับน้ำผลไม้แบบเติมน้ำตาลด้วยน้ำเปล่าและ/หรือน้ำผลไม้ที่ติดฉลากว่าเป็น "น้ำผลไม้แท้ 100%"
    • ให้ดูส่วนผสมในฉลากของสิ่งของที่คุณซื้อจากร้านขายของชำ หลีกเลี่ยงอาหารที่มีส่วนผสมของฟรุคโตสในน้ำเชื่อมจากแป้งข้าวโพดอยู่สูง และเลือกแต่อาหารที่มีน้ำตาลหรือน้ำเชื่อมในรูปแบบอื่นให้อยู่ในระดับน้อยที่สุด
  2. เนื้อทุกชนิดมีพิวรีน (purine) ซึ่งจะแตกตัวเป็นกรดยูริคซึ่งเป็นสาเหตุของเกาต์ คุณไม่จำเป็นต้องเลิกกินเนื้อไปเลย แต่ให้รับประทานไม่เกิน 4-6 ออนซ์ (113-170 กรัม) ในแต่ละวัน [12]
    • ปริมาณของเนื้อที่สามารถรับประทานได้อย่างสบายใจคือประมาณ 3 ออนซ์ หรือหนึ่งหน่วยบริโภค คำแนะนำคือให้รับประทานสองหน่วยบริโภคในแต่ละวัน [13]
    • เนื้อไขมันน้อยปลอดภัยกว่าเนื้อที่มีไขมันแทรก
  3. อาหารบางชนิดจะมีพิวรีนในปริมาณสูงซึ่งทำให้เกิดเกาต์ได้ พยายามกำจัดมันออกไปจากอาหารที่คุณจะรับประทาน หรือไม่ก็นานๆ ครั้งถึงรับประทานทีและทานแต่น้อย: [14]
    • ไต ตับ สมอง และเนื้อเครื่องในต่างๆ
    • ปลาแอนโชวี่ ซาร์ดีน และแม็คเคอเรล
    • น้ำเกรวี่ที่ได้จากเนื้อ
  4. ไขมันในอาหาร โดยเฉพาะไขมันอิ่มตัว สามารถลดความเร็วของร่างกายในกระบวนการกำจัดกรดยูริค ทำให้เกิดอาการปวดของเกาต์รุนแรงขึ้น [15] โชคยังดีที่การเปลี่ยนแปลงมากมายที่ได้กล่าวมาข้างต้นนั้นจะลดปริมาณไขมันในอาหารของคุณไปโดยปริยาย แต่มองหาวิธีการอื่นๆ ที่จะช่วยลดปริมาณไขมันเข้าสู่ร่างกายให้ถึงระดับถูกสุขภาพด้วยถ้าจำเป็น ถ้าปกติคุณดื่มนมไขมันเต็มส่วน ให้ลองเปลี่ยนมาเป็นนมพร่องมันเนยหรือนมไขมัน 1% แทน ถ้าคุณเคยทานอาหารจำพวกทอดเป็นประจำ ก็เปลี่ยนมาเป็นผักนึ่งหรือไก่อบแทน
  5. แอลกอฮอล์นั้นเชื่อมโยงกับเกาต์ แต่สามารถดื่มได้ในปริมาณแต่น้อยโดยมีโอกาสเกิดเกาต์ได้ต่ำ อย่างไรก็ดี เบียร์มีส่วนผสมของยีสต์ที่มีพิวรีนสูง ทำให้อาการเกาต์แย่ลง การดื่มไวน์ในปริมาณ 5 ออนซ์ (150 มิลลิลิตร) สักแก้วสองแก้วในแต่ละวันเป็นวิธีที่ปลอดภัยกว่าถ้าคิดจะดื่มแอลกอฮอล์ [16]
    • การเปลี่ยนมาเป็นไวน์ไม่ได้ทำให้เกาต์ทุเลาลง ที่แนะนำไปก็เพียงเพราะมันเป็นตัวเลือกแทนที่เบียร์ที่ปลอดภัยกว่าเท่านั้น
    โฆษณา
วิธีการ 3
วิธีการ 3 ของ 4:

ลดน้ำหนักให้อยู่ในระดับถูกหลักสุขภาพอย่างปลอดภัย

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ถ้าคุณน้ำหนักเกินเกณฑ์ให้ทำตามวิธีการต่อไปนี้. ถ้าคุณมีน้ำหนักเกินเกณฑ์ปกติหรือมีรูปร่างอ้วน เป็นเรื่องปกติที่อาการเกาต์จะแย่กว่า อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณกำลังรักษาน้ำหนักตัวให้ถูกหลักสุขภาพตามคำแนะนำของแพทย์ อย่าพยายามลดน้ำหนักเอง และอ่านคำแนะนำด้านล่างก่อนจะทำการควบคุมอาหาร
  2. การควบคุมอาหารตามที่แนะนำไปในส่วนอื่นของบทความนี้จะสามารถลดน้ำหนักตัวคุณอย่างช้าๆ แต่สม่ำเสมอได้เพียงพอแล้ว หากคุณเสี่ยงที่จะเป็นเกาต์ การลดน้ำหนักเร็วเกินไปอาจกระตุ้นการปวดเกาต์ได้ เพราะความเครียดในร่างกายจะไปกดดันความสามารถของไตในการขับของเสียให้ทำงานหนักเกินไป [17]
    • การควบคุมอาหารแบบเน้นโปรตีนสูง แบบอดอาหาร และการควบคุมอาหารแบบใช้อาหารเสริมแบบขับปัสสาวะล้วนแล้วแต่เป็นอันตรายต่อคนที่เสี่ยงต่อการเป็นเกาต์ [18]
  3. กิจกรรมการออกกำลังกายชนิดใดก็ตามล้วนมีส่วนช่วยลดน้ำหนักและลดความเสี่ยงทั้งหลายที่เชื่อมโยงกับโรคเกาต์ ไม่ว่าจะเป็นแค่การจูงสุนัขไปเดินเล่นหรือการทำสวน อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ใหญ่นั้น แนะนำให้ทำกิจกรรมที่มีความหนักระดับปานกลางเช่น การปั่นจักรยาน การเดินเร็ว เทนนิส หรือว่ายน้ำ อย่างน้อย 2.5 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ [19]
  4. ขอคำแนะนำจากแพทย์หากคุณประสบปัญหาเรื่องน้ำหนักตัว. ถ้าคุณทำตามการควบคุมอาหารตามที่ได้อธิบายในส่วนอื่นของบทความแล้ว แต่ไม่ได้มีพัฒนาการมีน้ำหนักตัวในระดับที่ถูกสุขภาพขึ้นเลย ให้ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เพราะเกาต์นั้นเกิดได้จากสารประกอบแตกต่างกันหลายประเภท จึงขอแนะนำให้รับคำปรึกษาจากมืออาชีพ
    โฆษณา
วิธีการ 4
วิธีการ 4 ของ 4:

สาเหตุและวิธีการรักษาอื่นๆ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ถ้าการเปลี่ยนวิถีชีวิตไม่เพียงพอต่อการป้องกันโรคเกาต์ แพทย์อาจสั่งยาอัลโลพิวรินอล (allopurinol) หรือยาตัวอื่นๆ ให้ทำตามคำแนะนำการใช้ยาด้วยความระมัดระวัง เนื่องจากการใช้ยามากเกินไปหรือรับประทานยาผิดเวลาจะส่งผลในทางตรงกันข้าม ยิ่งทำให้เกาต์แย่ลงกว่าเดิม
  2. มีหลักฐานที่บ่งบอกว่าพิษจากสารตะกั่วนั้นอาจก่อให้เกิดปัญหาอื่นไ ซึ่งอาจทำให้เกิดเกาต์หรือทำให้อาการเกาต์แย่ลงกว่าเดิม แม้จะได้รับสารตะกั่วในปริมาณน้อยมากก็ตาม [20] ถึงแม้อาจจะต้องการงานวิจัยมากกว่านี้ในการยืนยันสมมติฐานนี้ แต่มันก็เป็นความคิดที่ดีที่จะขอแพทย์ตรวจสอบเส้นผมและเลือดของคุณเพื่อหาพิษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณอาศัยหรือทำงานในอาคารเก่า ใช้สีที่มีส่วนผสมของสารตะกั่วอยู่เป็นประจำ หรือทำงานในโรงงานที่มีการใช้สารตะกั่ว
  3. หลีกเลี่ยงการใช้ยาแบบขับปัสสาวะถ้าเป็นไปได้. ยาเหล่านี้บางครั้งจะถูกนำมาใช้รักษาอาการโรคอย่างอื่น หรืออาจใช้เป็นอาหารเสริมสำหรับการควบคุมน้ำหนัก ในขณะที่ยังมีข้อถกเถียงถึงผลข้างเคียงของมันต่อโรคเกาต์ มีทางเป็นไปได้ว่ามันจะทำให้อาการเกาต์แย่ลง [21] [22] ปรึกษาแพทย์ว่ายาที่คุณใช้มีคุณสมบัติขับปัสสาวะหรือไม่ ถ้ามี จะขอใช้อาหารเสริมโพแทสเซียมเม็ดในการตอบโต้หรือไม่
    โฆษณา


เคล็ดลับ

  • เกาต์เป็นโรคไขข้อประเภทหนึ่ง หรือการที่ไขข้อเกิดอักเสบนั่นเอง บางครั้งจึงถูกเรียกเป็นโรคไขข้อเกาต์ หรือโรคเกาต์ประเภทโพดากรา (podagra) ถ้าหากมันก่อให้เกิดอาการบวมอักเสบบริเวณนิ้วหัวแม่เท้า
  • พยายามตรวจดูสิ่งที่คุณรับประทานหรือดื่ม แล้วดูว่ามีอาหารตัวไหนมีส่วนเกี่ยวข้องกับการปวดเกาต์เป็นพิเศษไหม ร่างกายของแต่ละคนมีความแตกต่างกัน ดังนั้น อาหารบางประเภทอาจมีผลกระทบต่อคุณเป็นพิเศษกว่าคนอื่นๆ ก็เป็นได้
โฆษณา

คำเตือน

  • ถ้าหากเกาต์ทำให้ข้อต่อในร่างกายสร้างตุ่มแข็งที่ไม่รู้สึกปวด มันอาจส่งผลให้เป็นโรคไขข้ออักเสบเรื้อรัง และทำให้เกิดปวดอยู่เป็นประจำได้


โฆษณา

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 5,968 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา