ดาวน์โหลดบทความ
ดาวน์โหลดบทความ
กรดไหลย้อน (Acid reflux) เกิดเมื่อกรดในกระเพาะย้อนกลับขึ้นมาในหลอดอาหาร (esophagus) ทำให้ระคายคอ แสบร้อน และยิ่งอาการหนักเวลาก้มตัวหรือนอนลง รวมถึงมีรสเปรี้ยวหรือขมในปาก [1] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ Mayo Clinic ไปที่แหล่งข้อมูล เวลาเป็นกรดไหลย้อนจะทรมานน่าดู คนส่วนใหญ่เลยอยากหาวิธีรักษาตัวให้หายไวๆ ซึ่งก็โชคดีว่าคุณรักษาตัวได้ด้วยวิธีธรรมชาติ แต่ให้ปรึกษาคุณหมอก่อนว่าสภาพอาการคุณเหมาะจะใช้สมุนไพรหรือเปล่า นอกจากนี้ต้องหาหมอเช็คร่างกาย ถ้าเป็นกรดไหลย้อนอาทิตย์ละ 2 ครั้งขึ้นไป อาการไม่ดีขึ้น หรืออาการรุนแรงกว่าเดิม
ขั้นตอน
-
กินอาหารมื้อเล็กลง และห้ามกินอะไร 2 ชั่วโมงก่อนเข้านอน. ค่อยๆ ลดปริมาณอาหารแต่ละมื้อลง เพื่อลดความเครียดและลดภาระการทำงานให้กระเพาะ อย่ากินอาหาร 2 - 3 ชั่วโมงก่อนเข้านอน เพื่อลดความเสี่ยงที่อาหารจะไปกดทับกล้ามเนื้อหูรูดบริเวณส่วนปลายของหลอดอาหาร (LES) ระหว่างนอนหลับ
- ให้กินอาหารช้าลง จะได้ย่อยง่ายและเร็วขึ้น เหลืออาหารในกระเพาะน้อยลง ไม่กดทับ LES [2] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ Mayo Clinic ไปที่แหล่งข้อมูล
-
หลีกเลี่ยงอาหารและเครื่องดื่มที่กระตุ้นให้เกิดกรดไหลย้อน. ต้องหาให้เจอ ว่าอาหารประเภทไหนกระตุ้นให้เกิดกรดไหลย้อน ลองบันทึกอาหารและเครื่องดื่มที่กินเข้าไปในแต่ละวันดู ว่าอะไรกินแล้วเกิดกรดไหลย้อน เริ่มจากรายชื่ออาหารที่มักกระตุ้นให้เกิดกรดไหลย้อน แล้วค่อยเพิ่มอาหารและเครื่องดื่มที่ทำคุณกรดไหลย้อนเข้าไปเรื่อยๆ ถ้ากินอะไรเข้าไป 1 ชั่วโมงแล้วกรดไหลย้อน ให้งดอาหารชนิดนั้นไปเลย
- ตัวอย่างอาหารที่มักทำให้กรดไหลย้อนก็เช่น อาหารเผ็ดๆ อาหารไขมันสูง มะเขือเทศ และอาหารอื่นๆ ที่ทำจากมะเขือเทศ (เช่น ซอสมะเขือเทศ ซอสสปาเก็ตตี้) ผลไม้รสเปรี้ยวและน้ำผลไม้รสเปรี้ยว แอลกอฮอล์ (โดยเฉพาะไวน์แดง) ช็อคโกแลต และมิ้นท์
- เช่น ถ้ากินสปาเก็ตตี้กับมีทบอล ราดซอสมะเขือเทศ (tomato sauce) เป็นอาหารเย็น แล้วเกิดกรดไหลย้อนภายใน 1 ชั่วโมง แสดงว่าตัวกระตุ้นอาจเป็นสปาเก็ตตี้ มีทบอล หรือซอสมะเขือเทศก็ได้ คราวหน้าลองเริ่มจากไม่ราดซอสดู ถ้ากรดน้อยลง เป็นไปได้มากว่าคุณกรดไหลย้อนเพราะซอสมะเขือเทศนี่เอง แต่ถ้ายังมีอาการ แสดงว่าอาจเป็นที่พาสต้าหรือมีทบอล วันถัดมาให้กินพาสต้าที่เหลือเดี่ยวๆ ไม่ใส่มีทบอลและซอส ถ้ายังกรดไหลย้อน แสดงว่าคุณต้องงดพาสต้าไปเลย [3] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ Mayo Clinic ไปที่แหล่งข้อมูล
-
3งดบุหรี่และยาสูบอื่นๆ. การสูบบุหรี่นอกจากทำให้สุขภาพร่างกายโดยรวมแย่ลงแล้ว ยังทำให้เกิดกรดไหลย้อนได้ด้วย [4] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ PubMed Central ไปที่แหล่งข้อมูล ถ้าตอนนี้คุณสูบบุหรี่อยู่ ให้ปรึกษาคุณหมอว่าจะ เลิกบุหรี่ ยังไงให้เห็นผลที่สุด บางทีคุณหมอจะจ่ายยาช่วยเลิกบุหรี่ให้ด้วย โดยจะช่วยทำให้คุณไม่ลงแดงรุนแรง
- การสูบบุหรี่ทำให้กล้ามเนื้อส่วนที่แบ่งกระเพาะออกจากหลอดอาหารอ่อนแอลง ทำให้กรดในกระเพาะไหลย้อนขึ้นมาที่หลอดอาหารง่ายขึ้น จนเกิดอาการแสบร้อนกลางอก (heartburn) [5] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ National Institute of Diabetes and Digestive and Kidney Diseases ไปที่แหล่งข้อมูล
-
อย่าใส่ชุดคับ รัดกระเพาะ. มีหลายอย่างในชีวิตประจำวัน ที่ถ้าเปลี่ยนแปลงแล้วจะช่วยเรื่องกรดไหลย้อนได้ อย่างเรื่องเสื้อผ้า แนะนำให้ใส่เสื้อผ้าสบายๆ ไม่คับแน่นจนรัดหน้าท้อง เพราะจะไปกดทับที่กระเพาะ จนแน่นท้อง กรดไหลย้อนได้
- การแบกรับน้ำหนักตัวมากๆ ก็เกิดแรงกดทับที่กระเพาะได้ เพราะงั้นถ้ารู้ตัวว่าน้ำหนักเกินพิกัด ให้ ลดน้ำหนัก จะช่วยลดแรงกดทับที่ LES ได้ เลยทำให้กรดไหลย้อนน้อยลง [6] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ Mayo Clinic ไปที่แหล่งข้อมูล
-
กึ่งนั่งกึ่งนอน กรดจะได้ไม่ไหลย้อน. บางคนก็กรดไหลย้อนเป็นพิเศษตอนกลางคืน ถ้าคุณเป็นหนึ่งในนั้น ให้หนุนช่วงตัวสูงแบบกึ่งนั่งกึ่งนอน แรงโน้มถ่วงจะช่วยให้กรดในกระเพาะไม่ไหลย้อนขึ้นมา พอกรดไม่ไหลย้อนขึ้นมาที่หลอดอาหาร ตอนกลางคืนก็หลับสบาย
- อย่าหนุนหมอนให้คอตั้งบ่า เพราะไม่ค่อยช่วยเรื่องกรดไหลย้อน คอกับตัวจะโค้ง ทำให้ยิ่งกดทับที่กระเพาะ เกิดกรดในกระเพาะเยอะกว่าเดิม [7] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ Mayo Clinic ไปที่แหล่งข้อมูล
-
เคี้ยวหมากฝรั่ง sugar-free ช่วยลดกรดเกินในกระเพาะ. หลังกินอาหารเสร็จ ลองแกะหมากฝรั่งแบบไม่แต่งรสหวาน (sugar-free) มาเคี้ยวดู ที่ช่วยได้เพราะการเคี้ยวหมากฝรั่งไปกระตุ้นให้ต่อมน้ำลายทำงาน ปล่อยไบคาร์บอเนตในน้ำตาล ตัวไบคาร์บอเนตนี่แหละที่ไปลดกรดเกินในกระเพาะได้ [8] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ PubMed Central ไปที่แหล่งข้อมูล
- อย่าเคี้ยวหมากฝรั่งที่แต่งรสหวาน เพราะยิ่งทำให้กรดในกระเพาะเยอะกว่าเดิม
- ลองเคี้ยวหมากฝรั่ง mastic gum ดู ทำจากเรซิ่นของต้นมาสติก ชื่อว่า Pistacia lentiscus มีสรรพคุณต้านแบคทีเรีย ใช้กำจัดเชื้อ H. pylori ที่มักเกี่ยวข้องกับแผลในกระเพาะ (peptic ulcers) หรือกรดเกินในกระเพาะได้ด้วย [9] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ New England Journal of Medicine ไปที่แหล่งข้อมูล
-
เพิ่มโปรไบโอติกส์ให้กระเพาะแข็งแรง. โปรไบโอติกส์คือแบคทีเรียหลายๆ ชนิดผสมกัน ซึ่งปกติแบคทีเรียเหล่านี้พบได้ในกระเพาะ เช่น ยีสต์ saccharomyces boulardii, culture ของ lactobacillus และ bifidobacterium แบคทีเรียดีพวกนี้ปกติอยู่ในลำไส้ จะช่วยให้สุขภาพโดยรวมดีขึ้น และกระเพาะแข็งแรงขึ้นได้ [10] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ Harvard Medical School ไปที่แหล่งข้อมูล
- แหล่งอาหารที่มีโปรไบโอติกส์ก็ เช่น โยเกิร์ต ที่มี active cultures (แบคทีเรียมีชีวิต) หรือจะกินอาหารเสริมก็ได้ แต่ต้องอ่านคำแนะนำและคำเตือนที่ฉลากให้ดี ให้เลือกโปรไบโอติกส์เสริมในโซนตู้แช่ของร้านขายผลิตภัณฑ์สุขภาพ หรือซูเปอร์มาร์เก็ตใหญ่ๆ
-
เขย่ง 10 ครั้งทุกเช้า ช่วยเรื่องกรดไหลย้อนได้. ปกตินักจัดกระดูก (chiropractor) แนะนำท่านี้สำหรับรักษาไส้เลื่อนกระบังลม (hiatal hernias) แต่ก็ใช้แก้ปัญหากรดไหลย้อนได้ด้วย ให้ดื่มน้ำอุ่น 1 แก้ว ประมาณ 6 - 8 ออนซ์ (180 - 240 มล.) หลังตื่นนอน จากนั้นยืนตรง กางแขนออก งอข้อศอกเข้ามา จากนั้นประสานมือตรงหน้าอก เขย่งปลายเท้า สุดท้ายวางส้นเท้ากลับลงมา ทำซ้ำ 10 ครั้งด้วยกัน
- พอทำครบ 10 ครั้ง อย่าเพิ่งเอาแขนลง แต่ให้หายใจตื้นๆ เร็วรัวสัก 15 วินาที ทำซ้ำทุกเช้าจนอาการกรดไหลย้อนดีขึ้น
- ขั้นตอนนี้เหมือนจะช่วยจัดกระเพาะและกระบังลม ทำให้ไส้เลื่อนไม่มารบกวนหลอดอาหาร [11] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง Jackson, SB. Gastroesophageal Reflux Disease. Top Clin Chiro (1995) 2(1): 24-29.
โฆษณา
-
กินแอปเปิ้ลเพราะเปลือกเป็นช่วยลดกรดตามธรรมชาติ. ฝรั่งมีคำกล่าวที่ว่า "กินแอปเปิ้ลวันละ 1 ลูก แล้วจะห่างไกลหมอ" ซึ่งก็ถูกของเขา เพราะแอปเปิ้ลดีต่อสุขภาพมาก แถมช่วยลดกรดไหลย้อนได้ด้วย โดยเพคติน (pectin) ในเปลือกแอปเปิ้ลมีสรรพคุณลดกรดตามธรรมชาติ และดีต่อสุขภาพเรื่องอื่นๆ ด้วย เช่น ลดความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจ ช่วยให้ถุงน้ำดีทำงานได้ดียิ่งขึ้น [12] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- ถ้าไม่ชอบกินแอปเปิ้ลเปล่าๆ ลองทำเป็นสลัดหรือปั่นเป็นสมูธตี้ดู
- เน้นกินแอปเปิ้ลแดงหวานๆ จะดีกว่ากินแอปเปิ้ลเขียวเปรี้ยวๆ เพราะทำให้กรดไหลย้อนหนักกว่าเดิม
- หรือกินกล้วยแทนแอปเปิ้ลก็ได้ เพราะกรดน้อย เพคตินสูงเหมือนกัน [13] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
-
ดื่มน้ำขิงให้สบายท้อง. ขิงมีสรรพคุณต้านการอักเสบ บรรเทาอาการปวดท้อง อาหารไม่ย่อยตามธรรมชาติ [14] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ Harvard Medical School ไปที่แหล่งข้อมูล แถมช่วยเรื่องคลื่นไส้อาเจียนด้วย คุณชงน้ำขิงได้โดยหั่นขิงสด 1 ช้อนชา (2 กรัม) ใส่ในน้ำเดือด ชงทิ้งไว้ประมาณ 5 นาที แล้วรินใส่ถ้วย ดื่มได้เลย
- จะดื่มวันละกี่ครั้งก็ได้ แต่เน้นประมาณ 20 - 30 นาทีก่อนอาหาร
- หรือซื้อน้ำขิงแบบซอง/ถุงมาชงก็ได้ ถ้าไม่มีขิงสด
-
ลองดื่มชาแบบอื่นให้สบายท้อง. มีชาและน้ำสมุนไพรอีกหลายชนิด ที่ดื่มแล้วแก้กรดไหลย้อนได้ อย่างผักชีล้อม (Fennel) ก็ช่วยให้ท้องไส้ไม่ปั่นป่วน ลดกรดเกินในกระเพาะได้ คุณชงน้ำผักชีล้อมได้โดยบดเมล็ดผักชีล้อม 1 ช้อนชา (2 กรัม) แล้วเติมน้ำเดือด 1 ถ้วยตวง (240 มล.) จากนั้นแต่งรสหวานด้วยน้ำผึ้งหรือหญ้าหวาน ใช้ดื่มวันละ 2 - 3 ถ้วยตวง (470 - 710 มล.) 20 นาทีก่อนอาหาร
- หรือใช้ผง/เมล็ดมัสตาร์ดชงชาแทน มัสตาร์ดมีสรรพคุณต้านการอักเสบ และช่วยลดกรดเกิน ให้ละลายผงมัสตาร์ดในน้ำเพื่อชงชา แต่ถ้าไหว จะกินมัสตาร์ด 1 ช้อนชา (5 มล.) เพียวๆ เลยก็ได้
- หรือชงชาคาโมไมล์ดื่มให้สบายท้องแทน เพราะมีสรรพคุณต้านการอักเสบ [15] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ PubMed Central ไปที่แหล่งข้อมูล ใช้ได้ทั้งชาคาโมไมล์แบบถุงและใบชา
-
กิน DGL หรือ slippery elm เพื่อลดกรดเกินในกระเพาะ. มีสมุนไพรอีกบางชนิดที่ใช้แก้กรดไหลย้อนได้ อย่างรากชะเอมเทศสกัด (Deglycyrrhizinated licorice root (DGL)) ก็ช่วยให้สบายท้อง ลดกรดเกินในกระเพาะได้ [16] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง มีแบบเม็ดเคี้ยวด้วย แต่รสชาติยากจะบรรยาย ใครไหวก็ตามสะดวก ปกติปริมาณ DGL ที่แนะนำคือ 2 - 3 เม็ด ทุก 4 - 6 ชั่วโมง
- แนะนำให้เลือกแบบ DGL ไม่ใช่รากชะเอมเทศทั่วไป เพราะอย่างหลังยังไม่ผ่านการสกัด (deglycyrrhizinated) กินแล้วความดันสูงขึ้นได้
- ลองใช้พืชชนิดหนึ่งชื่อ slippery elm มีทั้งแบบดื่ม 3 - 4 ออนซ์ (90 - 120 มล.) และแบบเม็ด จะช่วยไปเคลือบกระเพาะ บรรเทาอาการระคายเคือง [17] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง Slippery elm ถือว่าปลอดภัย ใช้กับหญิงมีครรภ์ได้ แต่ต้องเลือกที่เป็นแบบกินแก่นข้างใน และในปริมาณที่เหมาะสมเท่านั้น [18] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- ไม่ว่าจะใช้อะไร ในปริมาณเท่าไหร่ ต้องอ่านคำแนะนำและคำเตือนก่อนเสมอ
-
จิบน้ำว่านหางจระเข้ก็ช่วยลดการระคายเคืองได้. ว่านหางจระเข้ไม่ได้ลดอาการระคายเคืองแค่ภายนอกเท่านั้น แต่น้ำว่านหางจระเข้ยังมีสรรพคุณช่วยเยียวยาอีกหลายประการ ให้ซื้อน้ำว่านหางจระเข้แท้ๆ ไม่เสริมเติมแต่ง แล้วดื่ม 1/2 ถ้วยตวง (120 มล.) จะจิบไปเรื่อยๆ ตลอดวันก็ได้ แต่ระวังว่ามีสรรพคุณเป็นยาระบาย แนะนำให้ดื่มไม่เกินวันละ 1 - 2 ถ้วยตวง (240 - 470 มล.)
- มีบางงานวิจัยที่ชี้ว่าน้ำว่านหางจระเข้นั้นช่วยแก้กรดไหลย้อนได้อย่างปลอดภัยและเห็นผล [19] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ PubMed Central ไปที่แหล่งข้อมูล
-
ใช้น้ำส้มสายชูกลั่นจากแอปเปิ้ลแบบเจือจาง. ถึงจะฟังดูไม่น่าเชื่อ แต่บอกเลยว่าน้ำส้มสายชูกลั่นจากแอปเปิ้ลช่วยลดกรดไหลย้อนได้ ลองผสมน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ล 1 ช้อนโต๊ะ (15 มล.) กับน้ำ 6 ออนซ์ (180 มล.) คนให้เข้ากัน ใช้ดื่มได้เลย น้ำส้มสายชูที่ว่าไม่จำเป็นต้องออร์แกนิก แต่ขอให้เป็นน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ล
- ถึงอย่างนั้นก็ยังมีหลักฐานงานวิจัยมารองรับไม่มากนัก ว่าน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ลช่วยเรื่องกรดไหลย้อนได้ แถมถ้าดื่มมากไป อาจทำให้กรดไหลย้อนหนักกว่าเดิม [20] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง ถ้าจะใช้วิธีนี้ ต้องใช้อย่างระวัง และหยุดใช้ทันทีถ้าไม่ได้ผล หรืออาการหนักกว่าเดิม
-
ผสมน้ำเบคกิ้งโซดา ใช้ดื่มลดกรดเกิน. เบคกิ้งโซดาเป็นเบส เลยช่วยต้านฤทธิ์ของกรดได้ [21] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง เลยมีผลต่อกรดในกระเพาะด้วย คุณผสมน้ำดื่มได้โดยละลายเบคกิ้งโซดา 1 ช้อนชา (ประมาณ 5 กรัม) ในน้ำประมาณ 6 ออนซ์ (180 มล.) คนให้เข้ากันแล้วดื่มได้เลย ช่วยลดกรดเกินในกระเพาะได้เห็นผลมาก
- ย้ำว่าให้ใช้เบคกิ้งโซดา (baking soda) ไม่ใช่ผงฟู (baking powder) เพราะผงฟูแทบไม่ช่วยอะไร
โฆษณา
-
ฝึกหายใจคลายเครียด. ความเครียด โดยเฉพาะความเครียดเรื้อรัง มีผลต่อการเกิดกรดไหลย้อน [22] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ PubMed Central ไปที่แหล่งข้อมูล ถ้าอยากบรรเทาอาการ ต้องลดความเครียดในแต่ละวันให้ได้ คุณคลายเครียดได้โดยเข้าไปในห้องเงียบๆ หรือที่เงียบๆ ด้านนอก แล้ว หายใจเข้าออกลึกๆ สัก 2 - 3 นาที โดยหายใจเข้าทางจมูก และหายใจออกทางปาก เวลาหายใจออก ให้นานกว่าตอนหายใจเข้า 2 เท่า แล้วทำซ้ำตามขั้นตอนบ่อยเท่าที่ต้องการ
- ถ้าไม่แน่ใจว่าต้องหายใจยังไง ให้นับเลขช่วย เช่น หายใจเข้านับถึง 6 - 8 และหายใจเข้า นับถึง 12 - 16
-
ลองเทคนิคการเกร็งแล้วคลายกล้ามเนื้อ (progressive muscle relaxation). ใครๆ ก็เครียดกัน สมาคมจิตวิทยาอเมริกัน (American Psychological Association (APA)) เลยแนะนำหลากหลายวิธีคลายเครียด เช่น เทคนิคการเกร็งแล้วคลายกล้ามเนื้อ (progressive muscle relaxation) [23] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ American Psychological Association ไปที่แหล่งข้อมูล ขั้นตอนคือยืนตัวตรง เกร็งกล้ามเนื้อจากเท้า น่อง ไล่มาทีละจุด ให้เกร็งค้างไว้เยอะที่สุดใน 30 วินาที จากนั้นค่อยๆ คลายกล้ามเนื้อ แล้วไล่ขึ้นไปที่ขา และทำซ้ำ
- ฝึกแบบเดียวกันกับมือ ท่อนแขน ต้นแขน ไหล่ ไปจนถึงกล้ามเนื้อหน้าท้องและกระเพาะด้วย ทำแบบนี้ซ้ำทุกวัน [24] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
-
พักสมอง. ไม่ว่าจะกำลังทำอะไร อยู่ที่ไหน ถึงจะเดินทางไปท่องเที่ยวพักผ่อนจริงๆ ไม่ได้ก็ตาม แต่คุณก็พักสมอง ใช้จินตนาการคลายเครียดได้ [25] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง เริ่มจากหายใจลึกๆ 2 - 3 ครั้ง ผ่อนคลาย แล้วหลับตาลง จินตนาการถึงสถานที่สวยงามที่สุดที่เคยไป หรือจะเป็นสถานที่ในฝันก็ได้
- พยายามจับความรู้สึก รับรู้ถึงสถานที่นั้นให้ละเอียดที่สุด ดมกลิ่นบรรยากาศ รู้สึกถึงสายลมที่พัดมา ฟังเสียงต่างๆ รอบตัว ให้ทำซ้ำแบบนี้ทุกวัน [26] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
-
คลายเครียดเฉพาะหน้า. สมาคมโรคหัวใจแห่งอเมริกา (American Heart Association (AHA)) ได้แนะนำเทคนิค “คลายเครียดเฉพาะหน้า” ให้ได้ใช้กันในสถานการณ์ตึงเครียด [27] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ American Heart Association ไปที่แหล่งข้อมูล เช่น ถ้าพบว่าตัวเองกำลังเครียดจัด ให้นับ 1 ถึง 10 ก่อนจะอ้าปากพูด แล้วหายใจลึกๆ 3 - 5 ครั้ง ถ้าไม่ไหวจริงๆ ให้พาตัวเองออกไปจากสถานการณ์ตึงเครียด แล้วบอกว่าไว้ค่อยเคลียร์กันทีหลัง หรือจะไปเดินเล่นไกลๆ ให้หัวโล่งก็ได้
- จะช่วยคลายความตึงเครียดได้ ถ้าทำผิดแล้วกล้าพูดออกไปว่า "ขอโทษ"
- ตั้งปลุกเร็วขึ้น 5 - 10 นาที จะได้ไม่ต้องเครียดเพราะไปสาย ถ้าตื่นเช้าก็ขับรถช้าๆ ได้ แถมไม่ต้องเครียดกับรถติด ใจเย็นไปตลอดทาง
- แตกปัญหาใหญ่ให้แยกย่อยเป็นเรื่องเล็กๆ เช่น ตอบจดหมายหรือโทรติดต่อวันละครั้ง วันละเรื่อง อย่าเหมาทุกเรื่องในวันเดียวให้ปวดหัว
-
ฝึกนิสัยการนอน. นิสัยการนอนที่ว่า ก็คือทุกกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการนอนและรูปแบบการนอนในแต่ละวัน [28] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง มูลนิธิการนอนแห่งชาติ (The National Sleep Foundation (NSF)) แนะนำว่าอย่านอนกลางวัน เพราะจะไปรบกวนวงจรการนอนและตื่นนอนตามปกติ รวมถึงงดใช้สารกระตุ้นต่างๆ เช่น คาเฟอีน นิโคติน และแอลกอฮอล์ ใกล้เวลานอน ถึงดื่มแอลกอฮอล์แล้วทำให้ง่วงได้ก็จริง แต่ก็จะไปรบกวนการนอนทีหลัง ตอนที่ร่างกายเริ่มเผาผลาญแอลกอฮอล์
- ให้ออกกำลังกายหนักๆ เฉพาะช่วงเช้าและเย็น ถ้าตอนดึก ทำได้แค่ออกกำลังกายเบาๆ เพื่อการผ่อนคลายเท่านั้น เช่น ยืดเหยียด หรือโยคะ แบบนี้จะได้หลับเต็มอิ่ม
- ตอนกลางคืน ก่อนนอน อย่ากินอาหารมื้อใหญ่ รวมถึงช็อคโกแลต และของเผ็ด
- ร่างกายต้องได้รับแสงแดดตามธรรมชาติ เพื่อให้นอนหลับและตื่นนอนได้ตามปกติ
-
สร้างบรรยากาศให้ผ่อนคลายก่อนนอน. อย่าให้มีอะไรมารบกวนสมอง จิตใจ และร่างกายก่อนเข้านอน อย่านอนทั้งๆ ที่ยังเครียดหรือมีเรื่องกังวล ถ้าพบว่าตัวเองย้อนคิดเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างวัน หรือทบทวนปัญหาที่มี ให้ลุกขึ้นจากเตียงก่อนสัก 10 - 15 นาที [29] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- ระหว่างนี้ให้หาอะไรทำคลายเครียด เช่น อ่านหนังสือ หายใจเข้าออกลึกๆ หรือ นั่งสมาธิ แล้วค่อยกลับไปนอน
- เชื่อมโยงเตียงกับการนอนหลับพักผ่อน อย่านอนดูทีวีบนเตียง ฟังวิทยุ หรืออ่านหนังสือ เพราะจะไปเชื่อมโยงการทำกิจกรรมต่างๆ กับเตียงนอน พอจะนอนจริงๆ ร่างกายจะไม่ยอมหลับ
โฆษณา
-
กินยาลดกรดเพื่อลดกรดเกินในกระเพาะ. จริงๆ แล้วมียาหลายตัวที่คุณซื้อมากินแก้กรดไหลย้อนเองได้ ซึ่งยาหลายยี่ห้อนี้มักจะออกฤทธิ์แบบเดียวกัน ยาลดกรดช่วยปรับกรดในกระเพาะให้สมดุล ปกติจะกินต่อเนื่องเพื่อบรรเทาอาการ ประมาณ 2 อาทิตย์ด้วยกัน [30] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ Mayo Clinic ไปที่แหล่งข้อมูล [31] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- ถ้าหลังจากครบตามเวลาที่กำหนดแล้วยังต้องกินยาลดกรด แนะนำให้ปรึกษาคุณหมอจะปลอดภัยกว่า เพราะถ้าใช้ยาลดกรดในระยะยาว จะทำให้แร่ธาตุเสียสมดุล มีผลต่อไต และทำให้ท้องเสียได้ด้วย
- พอเม็ดยาละลายในกระเพาะ จะเกิดชั้นโฟมป้องกัน จากยาลดกรดกับสารก่อให้เกิดโฟม ช่วยป้องกันไม่ให้กรดไหลย้อนขึ้นไปที่หลอดอาหาร ตอนนี้ยาลดกรดที่มีชั้นโฟมป้องกันแบบนี้มียี่ห้อเดียวในท้องตลาด คือ Gaviscon นั่นเอง
- ทำตามคำแนะนำและคำเตือนอย่างเคร่งครัด อย่ากินยาเกินขนาด เพราะถ้ากินยาลดกรดมากไป จะทำให้เกิดปัญหาสุขภาพอื่นๆ แทน
-
ใช้ H2 blockers หรือยาลดการผลิตกรดในกระเพาะ. H2 blockers ก็เป็นหนึ่งในยาที่ซื้อกินเองได้ตามร้านขายยาทั่วไป มีให้เลือกหลายยี่ห้อด้วยกัน โดยจะไปลดการผลิตกรดในกระเพาะ แทนการปรับสภาพกรดอย่างยาลดกรด H2 blockers ที่หาซื้อได้ก็เช่น cimetidine (Tagamet), famotidine (Pepcid) และ ranitidine (Zantac) ยาที่ขายกันจะมาในปริมาณน้อยๆ ถ้าปริมาณเยอะ คุณหมอจะเป็นคนจ่ายให้ [32] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- ระวังเรื่องผลข้างเคียง เช่น ท้องผูก ท้องเสีย วิงเวียน ปวดหัว ผื่นแพ้ คลื่นไส้ อาเจียน และปัญหาเรื่องปัสสาวะ ส่วนผลข้างเคียงอันตรายก็เช่น หายใจลำบาก หรือหน้า ปาก คอ และลิ้นบวม
- ถ้าจะใช้ H2 blockers ต้องทำตามคำแนะนำและคำเตือนอย่างเคร่งครัด
-
ศึกษาเรื่องการใช้ proton pump inhibitors (PPIs) หรือยายับยั้งการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร. ยา PPIs จะไปยับยั้งการผลิตกรดในกระเพาะ แบบเดียวกับ H2 blockers ปกติยี่ห้อที่ขายกันตามร้านขายยาก็มี esomeprazole (Nexium), lansoprazole (Prevacid), omeprazole (Prilosec), pantoprazole (Protonix), rabeprazole (Aciphex), dexlansoprazole (Dexilant) และ omeprazole sodium bicarbonate (Zegerid) [33] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- ผลข้างเคียงของ PPIs คือปวดหัว ท้องผูก ท้องเสีย ปวดท้อง ผื่นแพ้ และคลื่นไส้ ถ้าใช้ PPIs ในระยะยาว ก็เพิ่มความเสี่ยงเป็นกระดูกสะโพก ข้อมือ หรือสันหลังหักได้เพราะกระดูกพรุน
- ถ้าจะใช้ยา PPIs ต้องทำตามคำแนะนำและคำเตือนอย่างเคร่งครัด
- ถ้าใช้ยาแล้วไม่ดีขึ้นใน 2 - 3 อาทิตย์ ย้ำว่าต้องไปหาหมอเพื่อตรวจรักษาทันที เพราะอาจต้องได้รับยาแรงกว่าเดิม หรือมีโรคอื่นนอกจากกรดไหลย้อน ซึ่งอาจเป็นโรคที่อันตรายร้ายแรง [34] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ Mayo Clinic ไปที่แหล่งข้อมูล
โฆษณา
-
ใช้สมุนไพรแก้กรดไหลย้อนในผู้ใหญ่. การรักษากรดไหลย้อนด้วยวิธีธรรมชาติ ส่วนใหญ่จะปลอดภัยกับผู้ใหญ่ แต่ถ้าการใช้สมุนไพรบางตัว ไม่ปลอดภัยพอจะใช้กับเด็กและวัยรุ่น แนะนำให้ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตเบื้องต้นก่อน ว่าเด็กหายกรดไหลย้อนไหม ถ้ายังไม่ได้ผล ก็ค่อยปรึกษาแพทย์ต่อไป หรือศึกษาข้อมูลให้แน่ใจก่อนใช้สมุนไพรกับเด็กโต
- เช่น ห้ามให้เด็กต่ำว่า 12 ดื่มน้ำว่านหางจระเข้ เพราะจะทำให้ปวดท้อง ท้องเสีย ปวดเกร็งได้ [35] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ Mayo Clinic ไปที่แหล่งข้อมูล
-
ใช้วิธีธรรมชาติแต่พอประมาณ. การใช้สมุนไพรและวิธีธรรมชาติอื่นๆ จะปลอดภัยก็ต่อเมื่อใช้แต่พอควร ถ้าเยอะไป จากดีจะกลายเป็นร้ายได้ เวลาใช้สมุนไพรรักษาโรคกรดไหลย้อน ให้อ่านปริมาณที่แนะนำในฉลากก่อน แต่ถ้าสมุนไพรนั้นไม่มีคำแนะนำหรือปริมาณที่กำหนดบอกไว้ ให้ศึกษาข้อมูลให้ละเอียดก่อน ว่าแค่ไหนถึงปลอดภัยต่อสุขภาพ
- เช่น น้ำว่านหางจระเข้ทำให้ปวดท้อง และมีปัญหาการย่อยอื่นๆ โดยเฉพาะถ้าเป็นมีน้ำยางผสมด้วย ถ้ากินเยอะๆ ติดต่อกันนานๆ อาจทำให้มีปัญหาที่ไตได้ [36] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ Mayo Clinic ไปที่แหล่งข้อมูล
- การดื่มน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ลถือว่าปลอดภัยในระยะสั้นๆ แต่ถ้าดื่มเยอะไป จะทำให้ระดับโพแทสเซียมต่ำได้ [37] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ Harvard Medical School ไปที่แหล่งข้อมูล
- ถ้าใช้รากชะเอมเทศในปริมาณมากหรือต่อเนื่องนานๆ จะทำให้ปวดหัว อ่อนเพลีย ความดันสูง หัวใจวาย หรือบวมน้ำได้ ย้ำว่าห้ามใช้ติดต่อกันนานเกิน 4 - 6 อาทิตย์
-
ถ้าไม่ได้ตั้งครรภ์หรือให้นมอยู่ ก็ใช้วิธีธรรมชาติได้. ถ้าตอนนี้ไม่ได้ตั้งครรภ์หรือแน่ใจว่าไม่ได้ตั้งครรภ์ จะใช้วิธีธรรมชาติส่วนใหญ่ได้ปลอดภัยดี แต่ถ้ากรดไหลย้อนเพราะตั้งครรภ์ ต้องปรึกษาคุณหมอก่อนในทุกกรณี เพื่อให้แน่ใจว่าไม่เป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์ ย้ำว่าต้องปรึกษาคุณหมอก่อนใช้สมุนไพร ปรับเปลี่ยนอาหาร หรือปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต [38] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- เช่นเดียวกัน ถ้าตอนนี้อยู่ระหว่างให้นม ก็ต้องหลีกเลี่ยงการกินยาหรือสมุนไพรเอง เพราะมีผลต่อน้ำนม อาจเป็นอันตรายต่อเด็กได้ ส่วนการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต ส่วนใหญ่ทำได้เลย ไม่น่าเป็นห่วง
- ตัวอย่างบางส่วนของสมุนไพรที่อาจเป็นอันตรายต่อหญิงมีครรภ์และอยู่ในระหว่างให้นมก็เช่น น้ำว่านหางจระเข้ น้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ล ขิง ผักชีล้อม ชะเอมเทศ และ slippery elm
-
ระวังเป็นพิเศษ ถ้ามีโรคประจำตัว. นอกจากการตั้งครรภ์แล้ว โรคประจำตัวบางอย่างก็ไม่เอื้อต่อการใช้สมุนไพรหรือวิธีธรรมชาติต่างๆ ถ้าปกติมีโรคประจำตัวอื่นๆ นอกจากกรดไหลย้อน แนะนำให้ปรึกษาคุณหมอ หรือศึกษาข้อมูลให้ดี ก่อนลองรักษาตัวเองด้วยวิธีธรรมชาติ
- ห้ามดื่มน้ำว่านหางจระเข้ ถ้าเป็นโรคเบาหวาน โรคลำไส้ ริดสีดวง หรือโรคไต [39] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ Mayo Clinic ไปที่แหล่งข้อมูล
- ปรึกษาคุณหมอก่อนใช้น้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ล ถ้าเป็นเบาหวาน เพราะถึงน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ลจะเป็นประโยชน์ต่อคนที่เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 แต่ก็อันตรายต่อคนเป็นเบาหวานชนิดที่ 1 [40] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- ขิงอาจให้ผลร้ายมากกว่าดี ถ้าคุณเป็นโรคเลือดไหลง่าย โรคหัวใจ หรือเบาหวาน [41] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- ถ้าปกติคุณแพ้ขึ้นฉ่ายฝรั่ง แครอท หรือจิงจูฉ่าย ก็เป็นไปได้ว่าจะแพ้ผักชีล้อมด้วย ให้หลีกเลี่ยงการใช้ผักชีล้อม ถ้าเป็นโรคเลือดไหลง่าย โรคที่ตอบสนองต่อฮอร์โมน อย่างมะเร็งที่ตอบสนองต่อฮอร์โมนเอสโตรเจน [42] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- รากชะเอมเทศมักอันตรายต่อคนเป็นโรคหัวใจ หัวใจล้มเหลว มะเร็งที่ตอบสนองต่อฮอร์โมน บวมน้ำ ความดันสูง เบาหวาน โรคไต โรคตับ หรือโพแทสเซียมต่ำ
- ถ้ามีปัญหาระบบภูมิคุ้มกัน แนะนำให้หลีกเลี่ยงการกินอาหารเสริมโปรไบโอติกส์ [43] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
โฆษณา
-
ปรึกษาคุณหมอก่อนใช้สมุนไพร. ถึงปกติสมุนไพรจะใช้ได้ ปลอดภัยดี แต่ก็ใช่ว่าจะเหมาะกับทุกเพศทุกวัย เพราะจะไปกระทบต่อยาที่ใช้อยู่ประจำ จนอาการแย่กว่าเดิมได้ นอกจากนี้อาจเกิดอาการแพ้สมุนไพรบางตัว ให้ปรึกษาคุณหมอเพื่อให้แน่ใจว่าสมุนไพรที่ใช้ปลอดภัยและเหมาะกับสุขภาพคุณ [44] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ Johns Hopkins Medicine ไปที่แหล่งข้อมูล
- แจ้งคุณหมอด้วยว่าคุณใช้ยาและอาหารเสริมอะไรอยู่
- ปรึกษาคุณหมอว่ากำลังรักษาอาการกรดไหลย้อนอยู่ จะได้ไม่จ่ายยาหรือสมุนไพรที่อาจทำให้อาการหนักขึ้นได้
- ถ้ากำลังตั้งครรภ์ ให้ปรึกษาคุณหมอเรื่องสมุนไพรก่อนใช้ จะได้ไม่เป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์ [45] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
-
ถ้ามีอาการแสบร้อนกลางอกมากกว่าอาทิตย์ละ 2 ครั้ง ให้หาหมอ. นานๆ ทีแสบร้อนกลางอกบ้าง ถือว่าปกติ แต่ถ้าเกิดบ่อยๆ แปลว่าสุขภาพมีปัญหาแล้ว ถ้าคุณมีอาการแสบร้อนกลางอกอาทิตย์ละ 2 ครั้งขึ้นไป ให้รีบหาหมอตรวจเช็คร่างกายหาสาเหตุ แล้ววางแผนการรักษาร่วมกับคุณหมอ เพื่อให้เหมาะสมกับสุขภาพร่างกายคุณที่สุด [46] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ Mayo Clinic ไปที่แหล่งข้อมูล
- คุณหมอจะตรวจร่างกายและวินิจฉัยให้เอง ว่าคุณมีกรดไหลย้อนหรือเปล่า
- ถ้าคิดว่าเป็นโรคร้ายแรงอื่นๆ เช่น GERD (กรดไหลย้อนรุนแรง) ก็อาจจะต้องส่องกล้อง โดยสอดกล้องเล็กๆ บางๆ ลงไปตามลำคอ ซึ่งไม่เจ็บตัวแต่อย่างใด รวมถึงอาจจะมีการเช็คภาพภายใน เช่น เอกซเรย์ หรือตรวจการเคลื่อนไหวของหลอดอาหาร (esophageal motility test) ด้วย [47] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ Mayo Clinic ไปที่แหล่งข้อมูล
-
รีบหาหมอถ้าแสบร้อนกลางอกไม่หายใน 2 - 3 อาทิตย์. ปกติอาการแสบร้อนกลางอกจะหายเองตามธรรมชาติ แต่ก็ใช่ว่าจะได้ผลกับทุกคน และบางทีอาจมีโรคร้ายแรงเป็นต้นเหตุ ถ้ารักษาตัวเองด้วยวิธีธรรมชาติแล้วไม่หาย ให้ไปหาหมอเพื่อตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติมต่อไป [48] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ Mayo Clinic ไปที่แหล่งข้อมูล
- แจ้งคุณหมอว่าคุณทดลองรักษาอาการแสบร้อนกลางอกด้วยตัวเองมาแล้ว โดยอธิบายรายละเอียดของวิธีการให้ชัดเจน
- คุณหมออาจแนะนำให้ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตเพิ่มเติม แต่ก็อาจจะจ่ายยาร่วมด้วยในบางเคส
-
ต้องไปหาหมอทันที ถ้ามีปัญหาเรื่องการกลืน คลื่นไส้ หรือน้ำหนักลด. บางทีก็กรดไหลย้อนหนักมาก จนกลืนอาหารหรือน้ำได้ลำบาก ท้องไส้ปั่นป่วน หรือน้ำหนักตัวลดโดยไม่ตั้งใจ แบบนี้ให้รีบไปหาหมอทันที เพื่อตรวจร่างกายเพิ่มเติม จะได้เช็คว่าทำไมถึงกรดไหลย้อนหนักขึ้น และหาวิธีรักษาต่อไป [49] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ Mayo Clinic ไปที่แหล่งข้อมูล
- อาการทั้งหลายที่ว่ามาอาจเป็นสัญญาณบอกโรคอื่นที่ร้ายแรงกว่า เพราะงั้นต้องรีบปรึกษาคุณหมอ
-
5ไปโรงพยาบาลทันทีถ้าเจ็บแน่นหน้าอกและหายใจลำบาก. ถึงปกติจะไม่ร้ายแรงถึงชีวิต แต่ก็อาจเป็นสัญญาณของโรคอื่นที่รุนแรงได้ ให้ไปหาหมอหรือแผนกฉุกเฉิน เพื่อให้แน่ใจว่าจะปลอดภัยดี ไม่มีอะไรน่าห่วง ถ้ามีอะไรเพิ่มเติม คุณหมอจะดูแลเอง [50] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ Mayo Clinic ไปที่แหล่งข้อมูล
- จะยิ่งอันตรายและต้องได้รับการรักษาทันที ถ้าคุณปวดแขนหรือขากรรไกรร่วมด้วย เพราะเป็นสัญญาณว่าคุณกำลังจะหัวใจวาย
- ถึงสุดท้ายแล้วจะเป็นแค่อาการของกรดไหลย้อน แต่ปลอดภัยไว้ก่อนดีที่สุด
โฆษณา
ข้อมูลอ้างอิง
- ↑ https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/heartburn/symptoms-causes/syc-20373223
- ↑ http://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/gerd/basics/lifestyle-home-remedies/con-20025201
- ↑ http://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/gerd/basics/lifestyle-home-remedies/con-20025201
- ↑ https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC1378332/
- ↑ https://www.niddk.nih.gov/health-information/digestive-diseases/smoking-digestive-system
- ↑ http://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/gerd/basics/lifestyle-home-remedies/con-20025201
- ↑ http://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/gerd/basics/lifestyle-home-remedies/con-20025201
- ↑ https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/16246942
- ↑ http://www.nejm.org/doi/full/10.1056/NEJM199812243392618
- ↑ https://www.health.harvard.edu/vitamins-and-supplements/health-benefits-of-taking-probiotics
- ↑ Jackson, SB. Gastroesophageal Reflux Disease. Top Clin Chiro (1995) 2(1): 24-29.
- ↑ https://www.healthline.com/health/digestive-health/apples-and-acid-reflux
- ↑ https://www.aarp.org/health/conditions-treatments/info-2017/foods-help-acid-reflux-fd.html
- ↑ https://www.health.harvard.edu/diseases-and-conditions/gastroesophageal-reflux-disease
- ↑ https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC2995283/
- ↑ https://www.healthline.com/health/digestive-health/dgl-for-acid-reflux
- ↑ https://www.uofmhealth.org/health-library/hn-2167004
- ↑ https://americanpregnancy.org/pregnancy-health/herbs-and-pregnancy/
- ↑ https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/26742306
- ↑ https://www.healthline.com/health/digestive-health/apple-cider-vinegar-for-acid-reflux
- ↑ https://www.medicalnewstoday.com/articles/314932.php
- ↑ https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC3576549/
- ↑ https://www.apa.org/monitor/2013/04/ce-corner
- ↑ http://childdevelopmentinfo.com/family-living/stress/
- ↑ https://www.everydayhealth.com/healthy-living/take-a-mental-vacation.aspx
- ↑ http://childdevelopmentinfo.com/family-living/stress/
- ↑ https://www.heart.org/en/healthy-living/healthy-lifestyle/stress-management/3-tips-to-manage-stress
- ↑ http://sleepfoundation.org/ask-the-expert/sleep-hygiene
- ↑ http://sleepfoundation.org/ask-the-expert/sleep-hygiene
- ↑ http://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/gerd/basics/treatment/con-20025201
- ↑ http://www.medicinenet.com/gastroesophageal_reflux_disease_gerd/page9.htm
- ↑ http://www.nlm.nih.gov/medlineplus/ency/patientinstructions/000382.htm
- ↑ http://www.medscape.com/viewarticle/804146
- ↑ http://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/gerd/basics/treatment/con-20025201
- ↑ https://www.mayoclinic.org/drugs-supplements-aloe/art-20362267
- ↑ https://www.mayoclinic.org/drugs-supplements-aloe/art-20362267
- ↑ https://www.health.harvard.edu/blog/apple-cider-vinegar-diet-does-it-really-work-2018042513703
- ↑ https://americanpregnancy.org/pregnancy-health/herbs-and-pregnancy/
- ↑ https://www.mayoclinic.org/drugs-supplements-aloe/art-20362267
- ↑ https://www.medicalnewstoday.com/articles/317218.php
- ↑ http://www.herbalsafety.utep.edu/herbal-fact-sheets/ginger/
- ↑ https://www.medicalnewstoday.com/articles/284096.php
- ↑ https://nccih.nih.gov/health/probiotics/introduction.htm
- ↑ https://www.hopkinsmedicine.org/health/wellness-and-prevention/herbal-medicine
- ↑ https://americanpregnancy.org/pregnancy-health/herbs-and-pregnancy/
- ↑ https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/heartburn/symptoms-causes/syc-20373223
- ↑ http://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/heartburn/basics/tests-diagnosis/con-20019545
- ↑ https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/heartburn/symptoms-causes/syc-20373223
- ↑ https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/heartburn/symptoms-causes/syc-20373223
- ↑ https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/heartburn/symptoms-causes/syc-20373223
เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้
มีการเข้าถึงหน้านี้ 32,116 ครั้ง
โฆษณา