ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

ในกระเพาะของคุณนั้นเต็มไปด้วยกรดที่สร้างขึ้นมาตามธรรมชาติที่จะช่วยย่อยอาหารและปกป้องระบบทางเดินอาหารจากการติดเชื้อ แต่กรดกระเพาะที่มากเกินไปก็สามารถเป็นสาเหตุของอาการเจ็บปวดที่ไม่ดีนัก และยังทำให้เกิดปัญหาด้านสุขภาพอย่างรุนแรงอีกเช่นกัน อาการที่เป็นกันบ่อยที่สุดก็คืออาการแสบร้อนที่หน้าอกหรือลิ้นปี่ (อีกชื่อคือ กรดไหลย้อน) ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อกรดในกระเพาะรั่วไหลเข้าไปในหลอดอาหาร อาการแสบร้อนกลางอกที่เกิดขึ้นบ่อยนั้นเป็นสัญญาณของโรคกรดไหลย้อน ซึ่งจะสร้างความเสียหายให้กับหลอดอาหารและลำคอได้ การลดกรดในกระเพาะส่วนเกินถือเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการจัดการกับปัญหานี้

วิธีการ 1
วิธีการ 1 ของ 3:

ไปพบแพทย์สำหรับโรคกรดไหลย้อน

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ถ้าคุณลองเปลี่ยนการใช้ชีวิตตามที่แนะนำแล้วแต่ยังไม่เห็นผลใดๆ ก็ได้เวลาไปพบแพทย์แล้วล่ะ โรคกรดไหลย้อนระยะยาวสามารถทำให้หลอดอาหารเกิดแผลและเกิดปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรงด้านอื่นๆ ได้ การอักเสบที่เรื้อรังและแผลที่เกิดขึ้นซ้ำๆ ยังสามารถเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งหลอดอาหารได้อีกด้วย อย่าลังเลในการไปรักษากับแพทย์ถ้าหากว่าการเปลี่ยนการใช้ชีวิตนั้นไม่ได้ช่วยเรื่องกรดส่วนเกินในกระเพาะอาหารได้เลย
  2. [1] [2] [3] [4] การรักษาสำหรับโรคกรดไหลย้อนนั้นขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการ มียาหลายตัวที่จำหน่ายตามร้านที่สามารถซื้อได้เอง แต่คุณก็ยังควรต้องปรึกษาแพทย์เพื่อให้แน่ใจว่าจะได้รับการรักษาที่เหมาะสม ถ้าแพทย์เขียนใบสั่งยาให้คุณได้ คุณก็อาจได้รับการคุ้มครองในประกันด้วย กินยาตามคำแนะนำในด้านปริมาณและระยะเวลาอย่างระมัดระวังในยาที่แตกต่างกัน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลข้างเคียงรุนแรงได้
    • สำหรับกรดไหลย้อนอ่อนๆ ถึงปานกลาง: รับประทานยาลดกรดตามที่ต้องทาน (เช่น ยี่ห้อกาวิสคอน อัลแมคมิลค์) เพื่อล้างกรดให้กลับมาเป็นกลางถ้าคุณมีอาการทุกสัปดาห์หรือน้อยกว่านั้น ยานี้จะทำให้หายได้ภายในหนึ่งนาที แต่ออกฤทธิ์ได้นานสุดแค่ประมาณหนึ่งชั่วโมง รับประทานยาที่รักษาโรคกระเพาะ (อย่าง ยาซูคราลเฟต) เพื่อปกป้องหลอดอาหารและกระเพาะของคุณและช่วยฟื้นฟูการรักษาได้อีกด้วย รับประทานยากลุ่มยาแก้แพ้ชนิดที่ 2 (H2 receptor antagonists) เพื่อลดการหลั่งของกรดในกระเพาะ (เช่น ยี่ห้อแซนแท็ค)
    • สำหรับกรดไหลย้อนขั้นรุนแรงหรือบ่อยๆ (2 ครั้งหรือมากกว่านั้นในแต่ละสัปดาห์): รับประทานยากลุ่มโปรตอนปั๊มอินฮิบิเตอร์ (ยาลดการสร้างกรด) เพื่อป้องกันการหลั่งของกรดในกระเพาะ (เช่น ยาโอเมพราโซล ยาแลนโซพราโซล ยาอีโซเมปราโซล ยาแพนโทพราโซล ยาเด็กซิแลนท์โซพราโซล ยาราบีพราโซล) [5] ยาบางตัวเหล่านั้นมีขายตามร้านยา และจัดชุดตามมาตรฐาน คือหนึ่งเม็ดต่อวันทั้งหมด 8 สัปดาห์ โดยมีผลข้างเคียงดังนี้: การติดเชื้อจากแบคทีเรียและอาการท้องเสีย โรคโลหิตจาง โรคกระดูกพรุน และการเกิดปฏิสัมพันธ์กับยาตัวอื่น
  3. ในการส่องกล้องตรวจภายใน แพทย์จะใช้กล้องที่เป็นท่อที่มีความยืดหยุ่นเพื่อดูในลำคอ หลอดอาหาร และในกระเพาะ ในระหว่างขั้นตอนนั้น ก็อาจต้องตัดเนื้อเยื่อเพื่อไปตรวจหาอาการอักเสบ และตรวจหาเชื้อเอซไพโลไร (ประเภทของเชื้อแบคทีเรีย) และหามะเร็งอีกด้วย [6] ให้ปรึกษาแพทย์ไม่ว่าอาการของคุณนั้นจำเป็นต้องส่องกล้องตรวจหรือไม่
  4. [7] อาการกรดไหลย้อนที่ไม่ส่งผลต่อยาใดๆ นั้นไม่ค่อยมีเท่าไรนัก แต่ในกรณีนั้นคุณอาจต้องเข้ารับการผ่าตัด วิธีหนึ่งในการผ่าตัด (การผ่าตัดเปิด: การผูกหูรูดกระเพาะอาหาร) เป็นการผ่าตัดเอาส่วนบนของหูรูดกระเพาะอาหารมาหุ้มไว้รอบๆ หลอดอาหาร จากนั้นเย็บไว้ในที่ที่จะเสริมสร้างการเปิดของหลอดอาหาร วิธีผ่าตัดวิธีที่สองคือการผ่าตัดใส่เม็ดที่มีคุณสมบัติของแม่เหล็กไปหุ้มบริเวณรอบๆ ที่หลอดอาหารเจอกับกระเพาะอาหาร มันจะปิดหลอดอาหารลง แต่จะเปิดให้ขยายใหญ่ขึ้นได้เมื่อกลืนอาหารลงไป จะทำให้อาหารสามารถผ่านไปได้
    • คนวัยหนุ่มสาวที่เป็นโรคกรดไหลย้อนระยะยาวก็สามารถรับการผ่าตัดได้เช่นกัน
    โฆษณา
วิธีการ 2
วิธีการ 2 ของ 3:

การใช้การรักษาตามธรรมชาติและทางเลือก

ดาวน์โหลดบทความ
  1. [8] [9] ยังไม่ค่อยมีงานวิจัยเกี่ยวกับการรักษากรดไหลย้อนด้วยวิธีธรรมชาติมากนัก แม้ว่าวิธีเหล่านี้จะยังไม่ได้รับการยอมรับอย่างเต็มที่จากสมาคมการแพทย์หรือวิทยาศาสตร์ แต่มันก็ยังพอช่วยบรรเทาอาการได้ โดยมีดังต่อไปนี้:
    • ผงฟู - ผงฟู ½ ถึง 1 ช้อนชาผสมกับน้ำหนึ่งแก้วจะช่วยสร้างสมดุลให้กรดกระเพาะได้
    • ว่านหางจระเข้ - การดื่มน้ำว่านหางจระเข้จะบรรเทาอาการแสบร้อนได้
    • ชาขิงหรือชาคาโมมายล์ - มันจะช่วยเรื่องการผ่อนคลายความเครียด บรรเทาอาการคลื่นไส้ และช่วยเรื่องการย่อยอาหาร
    • ชะเอมเทศและยี่หร่าต่างเป็นสมุนไพรที่แนะนำว่าอาจช่วยบรรเทาอาการนี้ได้
    • ยาที่ทำจากรากชะเอมเทศสกัดแบบเคี้ยว สามารถหาซื้อได้ในร้านที่ขายอาหารเพื่อสุขภาพส่วนใหญ่
    • มาสติค (หมากฝรั่งอาหรับ): มีขายตามร้านอาหารเพื่อสุขภาพส่วนใหญ่
  2. เลี่ยงการรักษาตามธรรมชาติที่เชื่อกันมาผิดๆ. คุณอาจเคยได้ยินมาว่าเปปเปอร์มินต์สามารถรักษาโรคกรดไหลย้อนได้ แต่งานวิจัยกลับแสดงให้เห็นว่าจริงๆ แล้วน้ำมันเปปเปอร์มินต์ทำให้อาการแย่ลงด้วยซ้ำ [10] ยังมีอีกความเชื่อที่ว่านมสามารถบรรเทาอาการได้ ขณะที่ความจริงคือนมจะสร้างสมดุลของกรดในกระเพาะได้แค่เพียงในระยะสั้น แต่จะไปกระตุ้นให้เกิดการหลั่งกรดในระยะยาวแทน [11]
  3. งานวิจัยกล่าวไว้ว่าการเพิ่มการหลั่งน้ำลายจะสร้างสมดุลให้กรดในกระเพาะได้ [12] คุณสามารถเพิ่มการหลั่งน้ำลายได้โดยการเคี้ยวหมากฝรั่งหรืออมยาอม แค่ให้แน่ใจว่ามันเป็นสูตรไม่มีน้ำตาล เพื่อป้องกันไม่ให้ได้รับแคลอรี่มากเกินไป
  4. มันอาจดูน่ากลัว แต่งานวิจัยได้แสดงให้เห็นว่าการฝังเข็มนั้นสามารถช่วยในเรื่องอาการคลื่นไส้และแสบร้อนกลางอกได้ [13] อย่างไรก็ตาม กลไกการรักษานี้ยังไม่เป็นที่เข้าใจกันในทางวิทยาศาสตร์สักเท่าไร
    โฆษณา
วิธีการ 3
วิธีการ 3 ของ 3:

เปลี่ยนการใช้ชีวิต

ดาวน์โหลดบทความ
  1. โดยปกติแล้วอาหารที่สมดุลก็คือผลไม้ ผัก ธัญพืช และผลิตภัณฑ์จากนมพร่องมันเนยหรือไร้มันเนย รวมไปถึงโปรตีนไขมันต่ำ อย่างเช่น เนื้อสัตว์ปีก เนื้อปลา และถั่ว อาหารที่เลือกรับประทานควรมีไขมันอิ่มตัวและไขมันทรานส์ต่ำ มีคอเลสเตอรอลต่ำ โซเดียม (เกลือ) ต่ำ และน้ำตาลที่เสริมเข้ามาต่ำ กระทรวงเกษตรอินทรีย์ของสหรัฐอเมริกามีทรัพยากรมากมายให้เรียนรู้ถึงการสร้างอาหารที่สมดุลได้ [14] [15] [16]
  2. ในคำศัพท์ทางการแพทย์ น้ำหนักที่จะบ่งบอกถึงสุขภาพที่ดีนั้นจะต้องหาจากค่าดัชนีมวลกาย (BMI) ซึ่งค่า BMI จะประมาณน้ำหนักที่เหมาะสมของคุณตามความสูงและเพศ ค่า BMI ในระดับปกติจะอยู่ที่ 18.5-24.9. ถ้าค่า BMI ต่ำกว่า 18.5 คือน้ำหนักน้อยเกินไป ส่วนค่า BMI ตั้งแต่ 25.0-29.9 คือน้ำหนักเกิน และค่าที่สูงกว่า 30.0 คืออ้วนมาก
  3. การตรวจสอบฉลากโภชนาการเพื่ออ่านแคลอรี่เป็นวิธีหนึ่งที่มีประสิทธิภาพในการควบคุมน้ำหนัก โดยให้แน่ใจว่าได้รับประทานอาหารตามแคลอรี่ที่แนะนำในหนึ่งวัน คุณสามารถประมาณความต้องการแคลอรี่แต่ละวันได้ด้วยการคูณ 22 เข้าไปในน้ำหนักตัว เช่น ถ้าคุณมีน้ำหนัก 80 กิโลกรัม ก็ควรรับแคลอรี่ประมาณ 1800 แคลอรี่ตามน้ำหนักของคุณ
    • จำไว้ว่าตัวเลขนี้เปลี่ยนไปได้ตามเพศ อายุ กิจกรรมที่ทำประจำวัน เพื่อตัวเลขที่แม่นยำยิ่งขึ้น ให้ใช้เครื่องคิดเลขสำหรับคำนวณแคลอรี่จะดีกว่า
    • การลดน้ำหนักที่ดีต่อสุขภาพที่สุดคือ ครึ่งกิโลกรัมต่อสัปดาห์ ไขมันครึ่งกิโลกรัมจะอยู่ที่ประมาณ 3500 แคลอรี่ ฉะนั้นให้ลดการรับแคลอรี่ไปวันละ 500 แคลอรี่ (500 แคลอรี่ x 7 วัน/สัปดาห์ = 3500 แคลอรี่/7 วัน = 1/2 กิโลกรัม/สัปดาห์)
    • ใช้เว็บไซต์หรือแอพพลิเคชั่นนับแคลอรี่ในโทรศัพท์เพื่อนับสิ่งที่คุณรับประทานเข้าไป [18] [19]
  4. รับประทานให้ช้าลง และคำเล็กๆ เคี้ยวให้ละเอียดเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการย่อย อาหารคำใหญ่ๆ และผ่านการเคี้ยวไม่มากจะทำให้กระเพาะคุณต้องใช้เวลาในการย่อยที่นานขึ้น นั่นก็จะเป็นการกินมากเกินไปนั่นเอง การรับประทานอาหารอย่างเร็วจะทำให้คุณกลืนลมเข้ามากเกินไป ซึ่งจะทำให้ท้องอืดได้
    • มันอาจต้องใช้เวลาถึง 20 นาทีสำหรับที่กระเพาะของคุณจะส่งสัญญาณไปยังสมองว่าคุณอิ่มแล้ว เพราะอย่างนั้น ผู้ที่รับประทานอาหารเร็วก็มักจะรับประทานมากเกินไปนั่นเอง
  5. หลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้อาการกรดไหลย้อนแย่ลง. น่าเสียดายที่ไม่มีอาหารอย่างเจาะจงที่ได้ผ่านการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์แล้วว่าจะช่วยรักษากรดไหลย้อนได้ อย่างไรก็ตาม คุณก็ยังสามารถหลีกเลี่ยงอาหารที่รู้ว่าจะทำให้อาการแย่ลงได้ ดังต่อไปนี้ :
    • เครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของคาเฟอีน (กาแฟ ชา น้ำอัดลม)
    • อาหารที่มีสารคล้ายคาเฟอีน (ช็อคโกแลต เปปเปอร์มินต์)
    • เครื่องดื่มแอลกอฮอล์
    • อาหารรสเผ็ด (พริกเผ็ด, แกงกะหรี่, มัสตาร์ดรสเผ็ด)
    • อาหารที่มีกรด (ผลไม้รสเปรี้ยว มะเขือเทศ ซอสและเครื่องปรุงที่มีน้ำส้มสายชูเป็นส่วนผสม)
    • เหล่าอาหารที่ทำให้ท้องอืดและเกิดแก๊สได้ (กะหล่ำปลี บร็อคโคลี่ ดอกกะหล่ำ พืชตระกูลถั่ว ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนม และอาหารที่มีไขมันสูง)
    • น้ำตาลหรืออาหารที่มีน้ำตาลผสมจำนวนมาก
  6. สมาคมหัวใจอเมริกันแนะนำให้ออกกำลังกายในระดับปานกลางอย่างน้อย 30 นาที และอย่างน้อยสัปดาห์ละ 5 วัน หรือจะออกกำลังกายด้วยการแอโรบิคอย่างหนัก 25 นาที 3 วันต่อสัปดาห์ไปพร้อมกับการเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อระดับปานกลางถึงระดับสูง 2 ครั้งต่อสัปดาห์ด้วยก็ได้ [20]
    • ถ้าคุณรู้สึกว่ามันหนักเกินไป แต่การทำอะไรบางอย่างย่อมดีกว่าไม่ทำอะไรเลยนะ! ให้ออกกำลังกายให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ขนาดการออกไปเดินเล่นไม่นานยังดีกว่านั่งเฉยๆ บนโซฟาเลย! [21]
    • ยิ่งออกกำลังกายสลายแคลอรี่ไปได้มากเท่าไร ก็ยิ่งกินกลับเข้าไปได้มากเท่านั้น! ตารางนับแคลอรี่ส่วนใหญ่จะช่วยนับดูจากการออกกำลังกายว่าคุณจะสามารถรับประทานอาหารได้เท่าไนในวันต่อวัน
  7. เลี่ยงการทำงานหรือออกกำลังกายอย่างหนัก โดยเฉพาะหลังจากที่รับประทานอาหารได้ไม่นาน. กระเพาะอาหารของคุณจะใช้เวลาประมาณ 3-5 ชั่วโมงในการย่อยและทำให้กระเพาะว่าง ขึ้นอยู่กับความใหญ่ของมื้ออาหาร [22] [23] เพื่อเลี่ยงกรดไหลย้อน ให้ทิ้งเวลาไปสักพักใหญ่ หรือรับประทานอาหารในปริมาณน้อยก่อนที่จะเริ่มเข้าสู่การออกกำลังกาย
  8. การนอนหลังรับประทานอาหารจะยิ่งกระตุ้นอาการกรดไหลย้อน ให้รอ 2 ชั่วโมงหลังมื้ออาหารก่อนจะล้มนอนหรือเข้านอน การยกศีรษะหนุนสูงก็ช่วยลดอาการกรดไหลย้อนในตอนกลางคืน
  9. ถ้าคุณสูบบุหรี่หรือใช้ผลิตภัณฑ์อื่นๆ เกี่ยวกับยาสูบ ก็ควรเลิกให้เร็วที่สุด แอลกอฮอล์ก็สามารถทำให้อาการกรดไหลย้อนแย่ลงได้เช่นกัน ฉะนั้นให้ลดหรือเลิกดื่มไปด้วย และสุดท้ายนี้ เลิกนอนลงทันทีหลังจากที่รับประทานอาหารเสร็จ ถ้าทำไม่ได้ ก็ให้ลองนอนโดยหนุนหมอนหลายๆ ใบไว้ใต้ศีรษะ
    โฆษณา

เคล็ดลับ

  • ถ้าคุณมีอาการแสบร้อนกลางอก แนะนำให้เลี่ยงการนอนหงาย เพราะกรดอาจมีโอกาสย้อนออกมาได้ง่ายกว่า
  • บันทึกรายการอาหารที่รับประทานประจำวัน เมื่อรับประทานอาหารเรียบร้อย แล้วมีอาการเกี่ยวกับกรดที่คุณรู้สึกภายในหนึ่งชั่วโมงหลังจากรับประทานอาหารมื้อสุดท้าย บันทึกนั้นจะช่วยให้คุณหาสาเหตุที่ทำให้กรดถูกสะสมขึ้นมาได้
โฆษณา

คำเตือน

  • ขณะที่กรดเกินในกระเพาะอาจมีสาเหตุมาจากอาหารที่รับประทานเข้าไป อารมณ์ที่เปลี่ยนไปหรือระดับความเครียด หรือแอลกอฮอล์ที่ดื่มมากเกินไป อย่างใดอย่างหนึ่งก็อาจทำให้เกิดปัญหากรดในกระเพาะมากเกินไปได้ กรดในกระเพาะในระดับที่สูงอยู่ตลอดสามารถทำให้เกิดปัญหาร้ายแรงอย่างหลอดอาหารเสื่อมสภาพ หรือทำให้เกิดร้อนในขึ้นได้ ถ้าคุณพบอาการเกี่ยวกับกรดในกระเพาะอาหารที่เรื้อรัง ให้ทำการปรึกษาแพทย์เสีย
  • ระดับของกรดในกระเพาะที่ต่ำเกินไปก็เป็นอันตรายพอๆ กับการที่มีกรดในกระเพาะมากเกินไป ถ้าคุณกินยาลดกรดหรือทำการรักษาเพื่อลดกรดมากเกินไป กระเพาะของคุณอาจได้รับผล และคุณอาจได้รับสารอาหารได้ไม่ดีนัก การทำตามคำแนะนำที่เคร่งครัดในการรักษาทั้งที่ซื้อยากินเองหรือไปพบแพทย์เพื่อรักษากรดเกินในกระเพาะถือเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ
  • การใช้ยาลดกรดตามใบสั่งแพทย์ที่สามารถลดกรดในกระเพาะจะสามารถนำไปสู่การขาดวิตามินบี 12 ได้ ซึ่งจะเป็นสาเหตุของโรคโลหิตจางได้ ถือเป็นโรคที่รุนแรงซึ่งอาจทำให้เสียชีวิตได้หากไม่ทำการรักษา กระเพาะของคนเราถูกสร้างขึ้นมาเพื่อทำงานกับกรดที่มีปริมาณที่เหมาะสม การย่อยอาหารที่เหมาะสม และการดูดซึมสารอาหารที่สำคัญ ซึ่งจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้เมื่อกรดถูก"ปิด"ด้วยยาลดกรด
โฆษณา

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 10,662 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา