ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

ร่างกายของคนเราประกอบไปด้วยระบบเส้นเลือดแดง และเส้นเลือดดำที่ซับซ้อน เส้นเลือดแดงจะทำหน้าที่ส่งเลือดไปที่ส่วนต่างๆ ของร่างกาย ขณะที่เส้นเลือดดำจะนำเลือดส่งกลับไปยังหัวใจ บางครั้งเส้นเลือดดำบริเวณไส้ตรงและทวารหนักก็อาจเกิดการบวมและพองจากเลือดได้ ทำให้เกิดเป็นริดสีดวงทวาร ซึ่งจะทำให้รู้สึกเจ็บปวดและหากริดสีดวงแตกก็จะมีเลือดไหลด้วย บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจถึงสาเหตุของการเกิดริดสีดวงทวาร และการรักษาด้วยตัวเองเมื่อเกิดเลือดออก รวมไปถึงรู้ว่า หากยังมีเลือดไหลและอาการไม่ดีขึ้น คุณควรไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาอย่างจริงจังเมื่อไร

วิธีการ 1
วิธีการ 1 ของ 3:

รักษาอาการเลือดออกที่ริดสีดวงทวารด้วยตัวเอง

ดาวน์โหลดบทความ
  1. แช่ริดสีดวงทวารในน้ำอุ่นที่ไม่ร้อน ครั้งละ 15-20 นาที วันละ 3 ครั้ง เพื่อลดอาการระคายเคือง บรรเทาอาการปวด และช่วยให้เส้นเลือดดำหดตัว [1] ถ้าคุณไม่อยากแช่น้ำทั้งตัว ให้ใช้ที่แช่ก้น ซึ่งเป็นถังน้ำพลาสติกวางบนชักโครก จะทำให้คุณสามารถแช่เฉพาะส่วนก้นและสะโพกในท่านั่งได้ น้ำอุ่นจะช่วยลดการระคายเคือง ลดการกระตุกของกล้ามเนื้อบริเวณทวารหนัก และลดอาการคัน [2]
    • คุณสามารถผสมเกลือทะเล ¼ ถ้วย ลงในที่แช่ก้น และแช่ครั้งละ 30 นาที เกลือเป็นสารกำจัดแบคทีเรียที่ดีมาก ถูกใช้เพื่อช่วยการสมานแผล และป้องกันการติดเชื้อ [3]
    • คุณอาจผสมวิชฮาเซลลงไปด้วย ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าวิชฮาเซลมีคุณสมบัติในการช่วยบรรเทาและทำให้ริดสีดวงทวารเย็นลงได้ ควรทำอย่างน้อยวันละครั้ง และแช่ริดสีดวงอย่างน้อย 15-20 นาที [4]
  2. แช่ถุงประคบเย็นในช่องแช่แข็งจนกระทั่งแข็งตัวดี ระวังอย่าใช้ถุงประคบเย็บโดยตรงกับริดสีดวง แต่ให้ใช้ผ้าสะอาดห่อก่อนที่จะค่อยๆ กดถุงประคบอย่างเบามือบนริดสีดวง ห้ามประคบค้างไว้เป็นเวลานานเพราะจะทำให้ผิวบริเวณรอบๆ ได้รับความเสียหาย วิธีที่ดีที่สุดคือ ประคบทิ้งไว้สองสามนาที แล้วนำถุงประคบออก รอจนผิวหนังกลับสู่อุณหภูมิห้องก่อนที่จะเริ่มทำการประคบอีกครั้ง
  3. [6] ใช้ครีมทาเฉพาะที่ที่มีส่วนผสมของ ฟีนิลเอฟริน (phenylephrine) เพื่อทำให้เส้นเลือดหดตัว ซึ่งจะช่วยลดอาการเลือดออก หรือจะใช้ครีมเพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวด อาการระคายเคือง อาการคัน (ซึ่งทำให้เลือดออก) แต่ครีมนี้ไม่สามารถห้ามเลือดได้ ครีมเพื่อบรรเทานี้จะมีส่วนผสมของ ไฮโดรคอร์ติโซน (hydrocortisone) ว่านหางจระเข้ วิชเฮเซล (สารสกัดจากพืชสมุนไพร) และวิตามินอี
    • ถ้าคุณใช้ไฮโดรคอร์ติโซน ให้ใช้ช่วงเช้าและกลางวัน แต่ห้ามใช้ต่อเนื่องเกิน 1 สัปดาห์ [7] การใช้ยามากเกินไปจะส่งผลให้ฮอร์โมนจากต่อมพิทูอิตารี่ และไฮโปทาลามัส ขาดความสมดุล หรืออาจทำให้ผิวหนังในบริเวณนั้นบางลง
  4. กระดาษชำระที่หยาบจะเสียดสีและทำให้ผิวหนังยิ่งระคายเคือง ดั้งนั้นควรชุบน้ำหรือใช้กระดาษชำระแบบเปียกเพื่อบรรเทาอาการเจ็บและอาการระคายเคือง คุณสามารถใช้แผ่นทำความสะอาดที่ผสมวิชฮาเซล ไฮโดรคอร์ติโซน ว่านหางจระเข้ หรือวิตามินอี ก็ได้ อย่าเช็ดแรง เพราะจะทำให้ระคายเคืองหรือเลือดออกเพิ่มขึ้น ควรใช้วิธีการซับหรือแตะเบาๆ แทน
    • การเสียดสีมีแต่จะทำให้เลือดออกและระคายเคืองมากยิ่งขึ้น ทำให้เกิดความตึงเครียดที่ริดสีดวงทวารของคุณซึ่งเปราะบางอยู่แล้ว อาจจะทำให้เกิดการติดเชื้อได้
  5. อาหารเสริมหลายตัวอาจหาซื้อได้ยากตามร้านขายยา ให้คุณลองหาจากร้านค้าออนไลน์ หรือร้านขายสมุนไพรแทน คุณควรรับคำแนะนำจากแพทย์ก่อนที่จะใช้อาหารเสริมเหล่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณอยู่ระหว่างการรักษาอาการอื่นๆ ถ้าคุณกำลังท้องหรือต้องให้นมทารก ควรปรึกษาแพทย์ก่อนที่จะทานอาหารเสริม เพราะอาหารเสริมส่วนมากยังไม่ได้ผ่านการทดสอบการใช้ในหญิงตั้งครรภ์หรือหญิงให้นมบุตร อาหารเสริมหรือยาพื้นบ้านเหล่านี้ ได้แก่ :
    • หัวสิดลิงหวาน (Fargelin extra): เป็นยาสมุนไพรจีนแบบเม็ด ทานวันละ 3-4 ครั้ง จะช่วยให้เส้นเลือดดำแข็งแรงขึ้น ลดอาการเลือดออก [8]
    • ฟลาโวนอยด์แบบที่ใช้กิน : มีสรรพคุณในการลดการไหลของเลือด ช่วยลดอาการปวด อาการคัน และลดอาการกำเริบ ช่วยฟื้นฟูสภาพของหลอดเลือด ทำให้ลดการรั่วของหลอดเลือดขนาดเล็ก(หลอดเลือดฝอย) [9]
    • ยาเม็ด Calcium dobesilate หรือ doxium: ทานยานี้ตามที่ฉลากระบุเป็นเวลา 2 สัปดาห์ ยานี้มีสรรพคุณช่วยลดการรั่วซึมของหลอดเลือดฝอย ป้องกันการอุดตัน เพิ่มความเหนียวของหลอดเลือด ซึ่งสรรพคุณเหล่านี้ช่วยลดอาการบวมของเนื้อเยื่อที่ทำให้เกิดริดสีดวงทวาร [10]
  6. วิธีนี้จะช่วยป้องกันหรือลดความเครียดที่อาจเกิดขึ้นกับริดสีดวงได้ ทานอาหารที่มีใยอาหารสูง เพื่อทำให้อุจจาระนุ่มและไม่ท้องผูก พยายามทานผลไม้ ผัก หรือพืชโฮลเกรน หรืออาหารเสริม (เพื่อให้ได้รับใยอาหารวันละ 25 กรัม สำหรับผู้หญิง และ 38 กรัม สำหรับผู้ชาย) ดื่มน้ำมากๆ และสร้างนิสัยการถ่ายอุจจาระให้เป็นเวลา และอย่ากลั้นอุจจาระเมื่อรู้สึกปวดถ่าย ควรหลีกเลี่ยงการนั่งเป็นเวลานาน เพราะจะเป็นการเพิ่มแรงกดบนเส้นเลือดดำที่เป็นริดสีดวง จนอาจทำให้เลือดออก ควรออกกำลังกายและเดิมเพื่อลดแรงกด [11]
    • ใช้หมอนรองนั่งรูปโดนัท เพื่อช่วยลดแรงกดจากน้ำหนักตัวสู่บริเวณที่เป็นริดสีดวง วิธีใช้คือ ให้นั่งลงตรงกลางของหมอน โดยให้รูทวารอยู่เหนือส่วนที่เป็นช่องว่าง แต่หากมีอาการแย่ลง มีเลือดออก อาจเป็นได้ว่าวิธีนี้ไปเพิ่มแรงกดให้กับช่องทวาร ให้หยุดใช้วิธีนี้ทันที [12]
    โฆษณา
วิธีการ 2
วิธีการ 2 ของ 3:

รับการรักษาจากแพทย์

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ผ่าตัดเอาริดสีดวงทวารภายนอกและริดสีดวงทวารภายในออก. การผ่าตัดเอาริดสีดวงออกเป็นวิธีการรักษาปกติที่ใช้รักษาริดสีดวงทวารแบบภายนอก โดยเฉพาะเมื่อก้อนริดสีดวงมีขนาดใหญ่ และไม่สามารถดันกลับเข้าไปด้านในทวารได้ ศัลยแพทย์จะเอาริดสีดวงออกไปโดยใช้อุปกรณ์หลายชนิด เช่น กรรไกร มีดผ่าตัด เครื่องจี้และปิดหลอดเลือด (เครื่องมือที่ส่งกระแสไฟฟ้าเข้าไปเพื่อปิดหลอดเลือดที่เกิดริดสีดวง) คุณจะถูกทำให้รู้สึกสงบด้วยการใช้ยาชาเฉพาะที่ร่วมกับยาระงับประสาท โดยการฉีดยาชาเข้าทางไขสันหลัง หรือการวางยาสลบ [13] [14]
    • การผ่าตัดริดสีดวงทวารออกเป็นวิธีการรักษาที่ได้ผลและสมบูรณ์ที่สุดในการรักษาอาการริดสีดวงทวารขั้นร้ายแรงและสามารถป้องกันการเกิดซ้ำได้ด้วย อาจจะทำให้เกิดอาการเจ็บปวดหลังผ่าตัด แต่การใช้ยา การแช่น้ำอุ่น หรือครีมสำหรับทาตามใบสั่งแพทย์สามารถช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดเหล่านี้ได้
    • หากเปรียบเทียบการรักษาด้วยการผ่าตัดเอาริดสีดวงออกแบบธรรมดากับการการผ่าตัดโดยใช้เครื่องมือเย็บอัตโนมัติ วิธีหลังมีโอกาสเสี่ยงที่จะกลับมาเป็นซ้ำได้มากกว่าแบบธรรมดา และมีความเสี่ยงที่ไส้ตรงจะเกิดการหย่อนคล้อย ในบริเวณที่ไส้ตรงโผล่พ้นออกมาจากทวารหนัก [15]
  2. แพทย์จะทำการสอดกล้องเข้าไปภายในทวารหนักเพื่อตรวจดูลำไส้ และใช้เครื่องมือที่เหมือนยางรัดไว้ที่ฐานของริดสีดวง ซึ่งจะทำให้เลือดไม่สามารถไปเลี้ยงริดสีดวงได้ ทำให้ริดสีดวงมีขนาดเล็กลงและหลุดออกไปในที่สุด [16]
    • หลังการรักษาด้วยวิธีนี้คุณอาจรู้สึกไม่สบายตัวนัก ให้ใช้วิธีการแช่น้ำอุ่น หรือใช้ครีมเฉพาะที่เพื่อบรรเทาอาการ
  3. แพทย์จะทำการสอดกล้องเข้าไปในทวารหนัก และใช้เข็มฉีดสารละลายยาฟีนอล (5% phenol in oil) น้ำมันพืช ยาควินีน และยูเรียไฮโดรคลอไรด์ หรือน้ำเกลือเข้มข้นที่ฐานของริดสีดวง สารละลายเหล่านี้จะทำให้เส้นเลือดดำหดตัวลง
  4. การรักษาริดสีดวงทวารภายในด้วยเลเซอร์หรือคลื่นวิทยุ (การจี้ด้วยแสงอินฟราเรด). แพทย์อาจใช้แสงอินฟราเรดหรือความถี่วิทยุเพื่อทำให้เลือดในเส้นเลือดดำที่ใกล้กับริดสีดวงจับตัวกันเป็นก้อน ถ้าใช้การรักษาด้วยแสงอินฟราเรดจะใช้เครื่องมือที่ส่วนฐานของริดสีดวง แต่หากใช้คลื่นความถี่วิทยุ จะวางขั้วไฟฟ้าทรงกลมที่ต่อกับเครื่องสร้างคลื่นความถี่วิทยุไว้ที่เนื้อเยื่อของริดสีดวง ซึ่งจะทำให้เลือดแข็งตัวและริดสีดวงจะหดหายไป
  5. แพทย์จะใช้เครื่องมือสอดที่สามารถสร้างความเย็นได้ที่ฐานของริดสีดวง ซึ่งจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงระดับเนื้อเยื่อ แต่วิธีนี้มักไม่ค่อยใช้กันบ่อย เพราะมีโอกาสกลับมาเป็นริดสีดวงซ้ำได้ง่าย [19]
  6. ศัลยแพทย์จะใช้เครื่องมือเพื่อเย็บริดสีดวงส่วนที่หย่อนหรือหลุดออกจากที่กลับเข้าไปที่ภายในช่องทวารหนัก ซึ่งวิธีนี้จะตัดเลือดที่ไปเลี้ยงริดสีดวง ทำให้เนื้อเยื่อตายและเลือดหยุดไหล [20]
    โฆษณา
วิธีการ 3
วิธีการ 3 ของ 3:

ทำความเข้าใจและสำรวจริดสีดวงทวาร

ดาวน์โหลดบทความ
  1. อาการท้องผูกเรื้อรัง ความเครียด การนั่งถ่ายเป็นเวลานาน ล้วนเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดริดสีดวงทวาร สิ่งเหล่านี้จะสร้างความเครียดและอุดตันเส้นเลือดดำ ขัดขวางการไหลเวียนของเลือด การตั้งครรภ์ก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดแรงกดบนเส้นเลือดดำ โดยเฉพาะระหว่างการคลอดที่มีความเครียดเกิดขึ้นมาก จะทำให้เกิดริดสีดวงได้เช่นกัน
    • ริดสีดวงทวารเกิดขึ้นได้ง่ายขึ้นเมื่อคนเราอายุมากขึ้น รวมถึงในผู้ที่มีน้ำหนักเกินมาตรฐาน
    • ริดสีดวงสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งภายในและภายนอกทวารหนัก ริดสีดวงที่เกิดขึ้นภายในจะไม่ทำให้รู้สึกเจ็บปวด ขณะที่ริดสีดวงภายนอกจะทำให้คุณเจ็บปวดมาก แต่ริดสีดวงทั้งสองประเภทสามารถมีเลือดออกได้หากแตกออก [22]
  2. ถ้าคุณมีริดสีดวงที่เกิดขึ้นภายในอาจจะสังเกตอาการได้ยาก จนกว่าริดสีดวงนั้นจะมีเลือดออก และมันจะไม่ทำให้คุณรู้สึกเจ็บปวด แต่ถ้าเป็นริดสีดวงภายนอก คุณจะเห็นอาการหลายๆ อย่างได้อย่างชัดเจน เช่น: [23]
    • มีเลือดสีแดงสดออกเล็กน้อยระหว่างถ่ายอุจจาระ โดยไม่มีความเจ็บปวดร่วมด้วย
    • คัน หรือ ระคายเคืองบริเวณทวารหนัก
    • มีอาการเจ็บปวดและไม่สบายตัว
    • มีอาการบวมบริเวณทวารหนัก
    • มีก้อนเนื้อที่ไวต่อความรู้สึกหรือทำให้ปวดบริเวณทวารหนัก
    • อุจจาระรั่ว หรือ กลั้นอุจจาระไม่ได้
  3. ส่องกระจกโดยหันหลังให้กระจก สังเกตว่ามีก้อนเนื้อยื่นออกมาบริเวณรอบทวารหนักหรือไม่ สีของก้อนเนื้ออาจเป็นได้ตั้งแต่สีผิวปกติไปจนถึงสีแดงเข้ม ถ้าคุณกดลงที่ก้อนเนื้อนั้นอาจจะรู้สึกเจ็บ ถ้าคุณมีอาการดังกล่าว คุณอาจจะกำลังเป็นโรคริดสีดวงทวารชนิดภายนอก ให้สังเกตว่ามีคราบเลือดที่กระดาษชำระที่คุณใช้หลังจากถ่ายอุจจาระหรือไม่ เลือดที่เกิดจากริดสีดวงมักจะเป็นสีแดงสดมากกว่าสีคล้ำ (ซึ่งบ่งชี้ว่าคุณอาจมีเลือดออกในระบบย่อยอาหารส่วนที่อยู่เหนือบริเวณทวารหนักขึ้นไป)
    • การตรวจหาริดสีดวงภายในเป็นเรื่องที่ทำเองได้ยากหากปราศจากเครื่องมือที่ถูกต้อง คุณควรไปพบแพทย์ และอาจถูกถามประวัติการรักษาเพื่อหาสาเหตุที่อาจทำให้มีเลือดออก เช่น มะเร็งลำไส้ใหญ่ และติ่งเนื้อ เพราะก้อนเนื้อทั้งสองอย่างนี้ก็สามารถมีเลือดออกได้
  4. ถ้าคุณยังคงมีอาการหรือยังเจ็บหลังจากพยายามรักษาด้วยตัวเองเป็นเวลา 1 สัปดาห์แล้ว คุณควรไปพบแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัย การมีเลือดออกเป็นเรื่องที่น่ากังวล คุณอาจมีความเสี่ยงที่จะมีอาการป่วยอื่นๆ เช่น โรคลำไส้อักเสบ หรือมะเร็งลำไส้ใหญ่ และหากเลือดออกเป็นสีคล้ำ หรือถ่ายอุจจาระมีสีเข้มคุณก็ควรไปพบแพทย์เช่นกัน เพราะมันหมายถึงคุณอาจมีเลือดออกในลำไส้ส่วนบนหรือเลือดออกจากก้อนเนื้อ [24]
    • ลองกะประมาณว่าคุณเสียเลือดไปเท่าไรแล้ว ถ้าคุณเริ่มรู้สึกอ่อนล้า หรือกังวล ดูซีด มือเท้าเย็น อัตราการเต้นของหัวใจสูง หรือมึนงงเนื่องจากเสียเลือดมาก คุณควรไปพบแพทย์ทันที คุณควรสังเกตเสมอว่าปริมาณเลือดที่ออกเพิ่มขึ้นหรือไม่ [25]
  5. เข้าใจว่าควรคาดหวังอะไรจากการตรวจวินิจฉัยทางการแพทย์. แพทย์จะวินิจฉัยว่าคุณเป็นริดสีดวงหรือไม่ โดยการดูที่ภายนอกของทวารหนัก และตรวจไส้ตรง แพทย์จะใช้นิ้วชี้ที่เคลือบด้วยสารหล่อลื่นสอดเข้าไปในรูทวารหนัก เพื่อตรวจดูผนังไส้ตรงของคุณว่ามีก้อนเนื้อหรือไม่ มีเลือดหรือไม่ ถ้าแพทย์สงสัยว่าคุณอาจมีริดสีดวงภายใน จะทำการตรวจโดยการสอดกล้อง (ท่อพลาสติก) เข้าไปในทวารหนักส่วนที่เป็นไส้ตรง ซึ่งจะช่วยให้หมอสามารถตรวจหาเส้นเลือดดำที่พอง บวม หรือมีเลือดออก
    • แพทย์ของคุณอาจทำการตรวจหาเลือดในอุจจาระ (guaiac test) ซึ่งจะต้องป้ายอุจจาระลงบนกระดาษ วิธีนี้เป็นการตรวจหาเซลล์เลือดขนาดเล็กมากที่ปนอยู่ในอุจจาระ ซึ่งบ่งบอกอาการของหลายโรค ไม่ว่าจะเป็นริดสีดวง มะเร็งลำไส้ใหญ่ หรือติ่งเนื้อ
    • ถ้าคุณต้องได้รับการตรวจหาเลือดในอุจจาระด้วยวิธี Guaiac คุณจะต้องงดกินเนื้อแดง หัวผักกาด หัวไชเท้า วาซาบิ แคนตาลูป หรือบร็อคโคลีดิบ เป็นเวลา 3 วัน ก่อนเข้ารับการตรวจ เพราะจะทำให้เกิดความผิดพลาดในการตรวจได้ [26]
    โฆษณา

ข้อมูลอ้างอิง

  1. Hemorrhoids. Lifestyle and Home remedies. Mayo Clinic. June 19, 2013 http://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/hemorrhoids/basics/lifestyle-home-remedies/con-20029852
  2. Hemorrhoids and what to do about them. Harvard Health publications. http://www.health.harvard.edu/diseases-and-conditions/hemorrhoids_and_what_to_do_about_them
  3. Jacoby C. Sitz Bath Recipe. Health Guidance. http://www.healthguidance.org/entry/14749/1/Sitz-Bath-Recipe.html
  4. Jacoby C. Sitz Bath Recipe. Health Guidance. http://www.healthguidance.org/entry/14749/1/Sitz-Bath-Recipe.html
  5. http://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/hemorrhoids/basics/lifestyle-home-remedies/con-20029852
  6. Lohsiriwat V. Hemorrhoids: From basic pathophysiology to clinical management. World Journal of gastroenterology. 2012 May 7; 18(17): 2009–2017.
  7. Bleday R. Patient information: Hemorrhoids (Beyond the Basics). UptoDate. Jan 8, 2015. http://www.uptodate.com/contents/hemorrhoids-beyond-the-basics
  8. Kecskes A. Soothing, Natural cures for hemorrhoids. Pacific College of Oriental Medicine. 2014.
  9. Lohsiriwat V. Hemorrhoids: From basic pathophysiology to clinical management. World Journal of gastroenterology. 2012 May 7; 18(17): 2009–2017.
  1. Mentes BB. et al. Efficacy of calcium dobesilate in treating acute attacks of hemorrhoidal disease. Diseases of the colon and rectum. 2001 Oct;44(10):1489-95.
  2. Prevention. Hemorrhoids. Mayo Clinic. June 19, 2013. http://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/hemorrhoids/basics/prevention/con-20029852
  3. Health Education. Hemorrhoids. Hartford Healthcare Medical Group. http://www.hartfordmedicalgroup.com/ed_colorectal_hemorrhoids.php
  4. Lohsiriwat V. Hemorrhoids: From basic pathophysiology to clinical management. World Journal of gastroenterology. 2012 May 7; 18(17): 2009–2017.
  5. Treatments and Drugs. Hemorrhoids. Mayo Clinic. June 19, 2013. http://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/hemorrhoids/basics/treatment/con-20029852
  6. Treatments and Drugs. Hemorrhoids. Mayo Clinic. June 19, 2013. http://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/hemorrhoids/basics/treatment/con-20029852
  7. http://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/hemorrhoids/basics/treatment/con-20029852
  8. http://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/hemorrhoids/basics/treatment/con-20029852
  9. http://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/hemorrhoids/basics/treatment/con-20029852
  10. http://www.surgery.ucsf.edu/conditions--procedures/hemorrhoids.aspx
  11. Lohsiriwat V. Hemorrhoids: From basic pathophysiology to clinical management. World Journal of gastroenterology. 2012 May 7; 18(17): 2009–2017.
  12. http://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/hemorrhoids/basics/treatment/con-20029852
  13. Hemorrhoids and what to do about them. Harvard Health publications. http://www.health.harvard.edu/diseases-and-conditions/hemorrhoids_and_what_to_do_about_them
  14. http://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/hemorrhoids/basics/symptoms/con-20029852
  15. http://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/hemorrhoids/basics/symptoms/con-20029852
  16. http://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/hemorrhoids/basics/symptoms/con-20029852
  17. Stool Guaiac test. MedlinePlus. October 14, 2013. http://www.nlm.nih.gov/medlineplus/ency/article/003393.htm

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 53,367 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา