ดาวน์โหลดบทความ
ดาวน์โหลดบทความ
วิตามินเอนั้นเป็นวิตามินชนิดละลายในไขมันซึ่งจำเป็นต่อร่างกาย: เราจะได้รับแคโรทีนอยด์กับเบตาแคโรทีนจากพืช และเรติโนจากเนื้อสัตว์ เนื่องจากมันละลายในไขมัน จึงจำเป็นที่จะต้องไม่บริโภควิตามินเอเข้าไปในปริมาณที่มากเกินไป เพราะวิตามินส่วนเกินจะตกค้างอยู่ในร่างกายและสามารถไปรบกวนวิตามินดีและความแข็งแรงของกระดูกได้ (โดยเฉพาะวิตามินเอในรูปแบบเรตินอล) [1] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง [2] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง การเรียนรู้ว่าอาหารประเภทใดมีวิตามินเอจะช่วยคุณมั่นใจว่าได้รับวิตามินที่จำเป็นนี้ในปริมาณที่เหมาะสม
ขั้นตอน
-
เรียนรู้บทบาทของวิตามินเอ. วิตามินเอมีบทบาทสำคัญในการทำหน้าที่และกระบวนการของร่างกายหลายอย่าง: มันช่วยรักษาผิวให้มีสุขภาพดี ช่วยทำให้สายตามองเห็นในที่มืดได้ดีขึ้น ช่วยทำให้กระดูกและฟันแข็งแรง ช่วยให้เซลเนื้อเยื่อและเยื่อบุผิวทำงานได้ถูกต้อง (เพื่อป้องกันการติดเชื้อ) และยังจำเป็นสำหรับการย่อยอาหาร ระบบการระบายความร้อน ระบบสืบพันธุ์และการให้นมบุตร [3] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง [4] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
-
จดจำอาการของภาวะขาดวิตามินเอ. อาการที่พบเห็นบ่อยที่สุดของภาวะขาดวิตามินเอคือโรคตาบอดกลางคืนหรือ xerophthalmia : มีความยากลำบากหรือไม่สามารถมองเห็นในเวลากลางคืน [5] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง ผู้ป่วยที่ขาดวิตามินเอยังอาจเกิดแผลที่กระจกตา กระจกตาแห้งและกระจกตา “ขุ่นเป็นฝ้า” [6] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- กระจกตาเป็นแผลนั้นคือการมีแผลเปิดเกิดขึ้นในผิวชั้นนอกของเนื้อเยื่อตรงด้านหน้าของดวงตาคุณ [7] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- กระจกตาขุ่นเป็นฝ้าคือการสูญเสียการมองเห็นผ่านทางด้านหน้าของดวงตา ปกติดวงตาส่วนนี้จะใส การที่มันขุ่นมัวทำให้วัตถุที่อยู่เบื้องหน้าต่อสายตานั้นดูเบลอหรือมองเห็นไม่ชัดเจน [8] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- อาการตาบอดกลางคืนหรือโรคตาฟางนั้นในตอนแรกจะปรากฏผ่านทางเซลล์รับรู้การมองเห็นรูปกรวยหรือรูปสามเหลี่ยมที่จะอยู่กระจายในบริเวณขอบๆ ของจอตา นั่นคือ บริเวณที่อยู่ใกล้ด้านนอกของใบหน้ามนุษย์มากที่สุด มันมักจะเกิดทั้งสองข้างและอาจมีอาการเกล็ดกระดี่ (Bitot's spots) ซึ่งจะเป็น “ฟองโฟม” ที่ก่อตัวเป็นแผ่นของเคราติน [9] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ World Health Organization ไปที่แหล่งข้อมูล
- อาการตาบอดกลางคืนยังอาจแสดงออกมาในลักษณะของการ “เห็นดาวระยิบระยับ” ในตอนที่มองไปยังแสงสว่างจ้าในที่มืด [10] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ PubMed Central ไปที่แหล่งข้อมูล
- อาการอื่นๆ ของการขาดระดับไม่รุนแรงหรือในระยะเริ่มต้นก็เช่น อาการตาแห้ง หรือ “ไม่สามารถหลั่งน้ำหล่อเลี้ยง” แบบเรื้อรัง ดวงตามีผิวกระจกตาขรุขระหรือ “เป็นฟอง” ถึงแม้ว่าอาการเหล่านี้เพียงลำพังจะไม่พอต่อการลงความเห็นว่าเป็นภาวะขาดวิตามินเอก็ตาม
- อาจมีการสั่งยาปฏิชีวนะเพื่อรักษาการติดเชื้อ แต่จำเป็นต้องพบแพทย์เพื่อช่วยเปลี่ยนอาหารการกินกับเพิ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหารตามที่ร่างกายต้องการ [11] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
-
เข้ารับการตรวจเลือด. ถ้าคุณเป็นกังวลเรื่องระดับวิตามินเอ คุณสามารถให้แพทย์ตรวจเลือดหาเรตินอลเพื่อดูว่าคุณขาดวิตามินเอหรือไม่ ปริมาณวิตามินปกติในเลือดสำหรับผู้มีสุขภาพแข็งแรงทั่วไปจะอยู่ระหว่าง 50-200 ไมโครกรัมต่อเลือดหนึ่งเดซิลิตร [12] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- คุณจำเป็นต้องงดอาหารและน้ำนานถึง 24 ชั่วโมงการเข้าตรวจ สอบถามแพทย์ถึงสิ่งที่ต้องทำ [13] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- หากคุณถูกตรวจว่าขาดวิตามินเอ แพทย์อาจแนะนำให้คุณทานวิตามินเอเสริม (เว้นแต่คุณกำลังตั้งครรภ์อยู่) หรืออาจแนะนำนักโภชนาการที่จะช่วยจัดตารางอาหารให้คุณได้
-
เพิ่มความระมัดระวังถ้าคุณกำลังตั้งครรภ์. ภาวะขาดวิตามินเอสามารถเกิดขึ้นกับหญิงตั้งครรภ์ในช่วงไตรมาสที่สาม เนื่องจากในช่วงนี้จะมีความต้องการสารอาหารกับวิตามินในทั้งแม่และทารกเป็นจำนวนสูงที่สุด [16] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ World Health Organization ไปที่แหล่งข้อมูล
- ดูคำเตือนด้านล่าง - หญิงมีครรภ์ “ไม่ควร” ทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารวิตามินเอสังเคราะห์ เว้นเสียแต่จะได้รับคำแนะนำจากแพทย์ เพราะวิตามินเอที่มีปริมาณสูงเกินไปจะทำให้ตัวอ่อนในครรภ์เกิดพิการได้
โฆษณา
-
ทานผักหลากหลายชนิด. ผักเป็นแหล่งวิตามินสำคัญโดยการให้สารแคโรทีนอยด์อย่างเบตาแคโรทีน ผักที่มีสีส้ม/เหลือง/แดง เช่น มันหวาน สควอช แครอท และฟักทองล้วนมีวิตามินเอ ผักสีเขียวเข้มอย่างผักเคล ผักโขม และผักกาดหอมก็เป็นแหล่งวิตามินเอเช่นกัน [17] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
-
ทานผลไม้. ผลไม้บางชนิด เช่น มะม่วง แอปริคอท กับแคนตาลูป มีวิตามินเอสูง [18] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- มะม่วงทั้งลูกมีประมาณ 672 ไมโครกรัมต่อหนึ่งหน่วยบริโภค หรือราว 45% ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน [19] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- แอปริคอทแห้งเป็นแหล่งวิตามินเอที่ยอดเยี่ยม: หนึ่งถ้วยจะให้วิตามินเอถึง 764 ไมโครกรัม แอปริคอทกระป๋องจะมีวิตามินน้อยกว่าเล็กน้อย ราว 338 ไมโครกรัมต่อถ้วย [20] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- แคนตาลูปดิบเป็นแหล่งวิตามินเอที่ดีอีกทางหนึ่ง โดยเมลอนหนึ่งถ้วยให้ได้ 286 ไมโครกรัม [21] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- ผู้เชี่ยวชาญบางรายแนะนำให้หญิงมีครรภ์ควรเพิ่มปริมาณวิตามินเอจากพืชโดยรวม 40% ในระหว่างตั้งครรภ์และถึง 90% ในระหว่างให้นมบุตร [22] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ PubMed Central ไปที่แหล่งข้อมูล
-
เพิ่มแหล่งอาหารที่มาจากสัตว์ในอาหาร. อาหารที่มาจากสัตว์จะให้วิตามินเอในรูปแบบของ “เรตินอล” ซึ่งเป็นสิ่งที่ร่างกายจะเปลี่ยนแคโรทีนอยด์ (วิตามินเอจากพืช) ไปเป็นมันในทันทีที่เริ่มย่อย [23] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ PubMed Central ไปที่แหล่งข้อมูล อาหารที่อุดมด้วยเรตินอลได้แก่ ตับ ไข่ และไขมันปลา [24] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- เนื่องจากมันถูกดูดซึมได้รวดเร็วและขับออกมาได้ช้ามาก เรตินอลจึงเป็นวิตามินเอในรูปแบบที่คนเราอาจเกิดอาการมีมันในร่างกายสูงเกินไปได้ ฉะนั้นการจะทานวิตามินเอจากอาหารเหล่านี้จึงต้องทำด้วยความระมัดระวัง ให้สังเกตหาอาการคลื่นเหียนหรืออาเจียน ปวดศีรษะ เบื่ออาหาร วิงเวียน และอ่อนเพลีย เป็นสัญญาณว่าวิตามินเป็นพิษ [25] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ Mayo Clinic ไปที่แหล่งข้อมูล
- ภาวะวิตามินเอเป็นพิษอย่างรุนแรงนั้นเกิดขึ้นได้ยาก ภาวะเป็นพิษเรื้อรังซึ่งจะค่อยๆ สะสมอาการตามระยะเวลานั้นจะพบได้บ่อยมากกว่า แต่กระนั้น ผู้ใหญ่ปกติจะต้องบริโภควิตามินเอมากกว่า 7,500 ไมโครกรัม (7.5 มิลลิกรัม) ทุกวันติดต่อกันมากกว่าหกปีถึงจะเข้าสู่ระดับเป็นพิษ แต่ระดับการเกิดก็แตกต่างกันไปในแต่ละคน ทางที่ดีจึงควรระมัดระวังและไม่ควรบริโภคในรูปแบบเรตินอลมากเกินไป [26] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- ระดับเรตินอลยังอาจมีผลถ้าคุณใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่ผสมวิตามินเอ เช่น ครีมหรือยารักษาสิว
-
ทานผลิตภัณฑ์จากนม. น้ำนม โยเกิร์ต กับชีสให้วิตามินเอเช่นกัน [27] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ National Health Service (UK) ไปที่แหล่งข้อมูล
- น้ำนมหนึ่งถ้วยให้วิตามินเอระหว่าง 10-14% ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน [28] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ Dairy Council of California ไปที่แหล่งข้อมูล ชีสหนึ่งออนซ์มักจะให้วิตามินเอระหว่าง 1-6% ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน [29] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ Dairy Council of California ไปที่แหล่งข้อมูล
-
ปรึกษาแพทย์หรือนักโภชนาการ. มืออาชีพด้านการดูแลรักษาสุขภาพที่ไว้ใจได้สามารถแนะนำได้ว่าอาหารชนิดใดเหมาะกับคุณที่สุด
- แพทย์อาจแนะนำนักโภชนาการแบบระบุตัวตนกับคุณ ถ้าไม่เช่นนั้น คุณสามารถค้นหาได้โดยการติดต่อโรงพยาบาลใกล้บ้านเพื่อขอคำแนะนำหรือหาจากอินเทอร์เน็ต [30] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ National Health Service (UK) ไปที่แหล่งข้อมูล
- ถ้าคุณอาศัยอยู่ในสหรัฐ คุณสามารถหารายชื่อนักโภชนาการที่ลงทะเบียนไว้ได้ที่ Eatright.org เว็บไซต์ของสถาบันโภชนาการและโภชนศาสตร์ [31] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ EatRight.org ไปที่แหล่งข้อมูล
โฆษณา
-
รู้ปริมาณจำกัดที่แนะนำสำหรับเด็ก. ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารมีหลากหลายขนาน จึงจำเป็นที่จะต้องทราบปริมาณสารอาหารที่ควรได้รับในแต่ละวัน (RDA) สำหรับผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทั้งหมดที่คุณใช้
- สำหรับทารกถึงอายุหกเดือน RDA สำหรับวิตามินเอคือ 400 ไมโครกรัม (0.4 มิลลิกรัม)
- สำหรับทารก7-12 เดือน RDA สำหรับวิตามินเอคือ 500 ไมโครกรัม (0.5 มิลลิกรัม)
- สำหรับเด็ก 1-3 ขวบ RDA สำหรับวิตามินเอคือ 300 ไมโครกรัม (0. 3 มิลลิกรัม)
- สำหรับเด็ก 4-8 ขวบ RDA สำหรับวิตามินเอคือ 400 ไมโครกรัม (0. 4 มิลลิกรัม)
- สำหรับเด็ก 9-13 ขวบ RDA สำหรับวิตามินเอคือ 600 ไมโครกรัม (0. 6 มิลลิกรัม)
- สำหรับเด็ก 14-18 ปี RDA สำหรับวิตามินเอคือ 700 ไมโครกรัม (0. 7 มิลลิกรัม) สำหรับเด็กหญิง และ 900 ไมโครกรัม (0. 9 มิลลิกรัม) สำหรับเด็กชาย [32] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
-
รู้ปริมาณจำกัดที่แนะนำสำหรับผู้ใหญ่. ผู้ใหญ่จำเป็นต้องได้รับวิตามินเอมากกว่าเด็ก และจำเป็นที่จะต้องทราบปริมาณสารอาหารที่ควรได้รับในแต่ละวัน (RDA) สำหรับผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทั้งหมดที่คุณใช้
- สำหรับผู้ชาย 19 ปีขึ้นไป RDA สำหรับวิตามินเอคือ 900 ไมโครกรัม (0. 9 มิลลิกรัม)
- สำหรับผู้หญิง 19 ปีขึ้นไป RDA สำหรับวิตามินเอคือ 700 ไมโครกรัม (0. 7 มิลลิกรัม)
- สำหรับผู้หญิงตั้งครรภ์ 18 ปีหรือต่ำกว่านั้น RDA สำหรับวิตามินเอคือ 750 ไมโครกรัม (0. 75 มิลลิกรัม)
- สำหรับผู้หญิงตั้งครรภ์ 19 ปีขึ้นไป RDA สำหรับวิตามินเอคือ 770 ไมโครกรัม (0. 77 มิลลิกรัม)
- สำหรับผู้หญิงที่ให้นมบุตร 18 ปีหรือต่ำกว่านั้น RDA สำหรับวิตามินเอคือ 1,200 ไมโครกรัม (1.2 มิลลิกรัม)
- สำหรับผู้หญิงที่ให้นมบุตร 19 ปีขึ้นไป RDA สำหรับวิตามินเอคือ 1,300 ไมโครกรัม (1.3 มิลลิกรัม) [33] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
-
อย่าบริโภควิตามินเอเกินกว่าปริมาณที่แนะนำต่อวัน. การบริโภควิตามินเอมากเกินไปก่อให้เกิดปัญหาทางสุขภาพหลายด้าน
- เด็กทารกอายุต่ำกว่าหนึ่งขวบไม่ควรได้รับวิตามินเอเกิน 600 ไมโครกรัม (0.6 มิลลิกรัม) ต่อวัน
- เด็กอายุ 1-3 ขวบไม่ควรได้รับวิตามินเอเกิน 600 ไมโครกรัม (0.6 มิลลิกรัม) ต่อวัน
- เด็กอายุ 4-8 ขวบไม่ควรได้รับวิตามินเอเกิน 900 ไมโครกรัม (0. 9 มิลลิกรัม) ต่อวัน
- เด็กอายุ 9-13 ขวบไม่ควรได้รับวิตามินเอเกิน 1,700 ไมโครกรัม (1.7 มิลลิกรัม) ต่อวัน
- เด็กอายุ 14-18 ขวบไม่ควรได้รับวิตามินเอเกิน 2,800 ไมโครกรัม (2.8 มิลลิกรัม) ต่อวัน
- ผู้ใหญ่อายุตั้งแต่ 19 ปีขึ้นไปไม่ควรได้รับวิตามินเอเกิน 3,000 ไมโครกรัม (3 มิลลิกรัม) ต่อวัน [34] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
โฆษณา
เคล็ดลับ
- ถ้าคุณบริโภคเบตาแคโรทีนมากเกินไป ผิวคุณจะมีสีออกส้มๆ มันเป็นปฏิกิริยาที่ไม่มีอันตราย มักพบเห็นบ่อยในเด็กหรือผู้ที่เป็นมังสวิรัติ หากเกิดเช่นนี้ขึ้น ให้เลิกทานผักสักสองสามวันก็กลับมาเป็นปกติ [35] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- ปรึกษาแพทย์หรือนักโภชนาการก่อนจะควบคุมอาหารหรือทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารวิตามินเอ
โฆษณา
คำเตือน
- หากคุณคิดจะใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารวิตามิน โปรดอ่านฉลาก ให้แน่ใจว่ามันไม่ได้เกิน 10,000 IU ซึ่งโชคดีว่าส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นเช่นนั้น แต่ก็ควรจะปลอดภัยไว้ก่อน
- ห้ามเปลี่ยนแผนการควบคุมอาหารโดยไม่ได้ปรึกษาแพทย์ก่อน เขาจะบอกคุณเองว่าคุณยังขาดวิตามินอะไรถ้าเกิดว่ามี
- วิตามินเอมากเกินไปสามารถทำให้เกิดเบื่ออาหาร วิงเวียน ปวดศีรษะ ผิวแห้งและคัน ผมร่วง สายตาพร่ามัว และลดความหนาแน่นของมวลกระดูก ในรายที่รุนแรงนั้นอาจเกิดตับเป็นพิษด้วย ในกรณีของทารกในครรภ์นั้น การได้รับวิตามินเอมากเกินไปสามารถทำให้เกิดการพิการแต่กำเนิดได้ หญิงมีครรภ์จึงไม่ควรทานวิตามินเสริมจนเกิน 5,000 IU ต่อวัน จริงๆ แล้วมีคำแนะนำว่าหญิงมีครรภ์ควรหลีกเลี่ยงการทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารวิตามินเอด้วย [36] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ World Health Organization ไปที่แหล่งข้อมูล
โฆษณา
ข้อมูลอ้างอิง
- ↑ http://www.niams.nih.gov/Health_Info/Bone/Bone_Health/Nutrition/vitamin_a.asp
- ↑ http://www.hsph.harvard.edu/nutritionsource/vitamin-a/
- ↑ http://www.nlm.nih.gov/medlineplus/ency/article/002400.htm
- ↑ http://www.vivo.colostate.edu/hbooks/pathphys/misc_topics/vitamina.html
- ↑ http://jn.nutrition.org/content/138/10/1835.long
- ↑ https://www.merckmanuals.com/home/eye-disorders/corneal-disorders/keratomalacia
- ↑ http://www.nlm.nih.gov/medlineplus/ency/article/001032.htm
- ↑ http://umm.edu/health/medical/ency/articles/cloudy-cornea
- ↑ http://www.who.int/nutrition/publications/vad_consequences.pdf
- ↑ http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/8019121
- ↑ https://www.merckmanuals.com/home/eye-disorders/corneal-disorders/keratomalacia
- ↑ http://www.nlm.nih.gov/medlineplus/ency/article/003570.htm
- ↑ https://www.nlm.nih.gov/medlineplus/ency/article/003570.htm
- ↑ http://www.merckmanuals.com/professional/nutritional-disorders/vitamin-deficiency-dependency-and-toxicity/vitamin-a
- ↑ http://ods.od.nih.gov/factsheets/VitaminA-HealthProfessional/#h5
- ↑ http://www.who.int/nutrition/topics/vad/en/
- ↑ http://www.vivo.colostate.edu/hbooks/pathphys/misc_topics/vitamina.html
- ↑ http://www.dietitians.ca/Your-Health/Nutrition-A-Z/Vitamins/Food-Sources-of-Vitamin-A.aspx
- ↑ https://ods.od.nih.gov/factsheets/VitaminA-HealthProfessional/#h2
- ↑ http://www.dietitians.ca/Your-Health/Nutrition-A-Z/Vitamins/Food-Sources-of-Vitamin-A.aspx
- ↑ http://www.dietitians.ca/Your-Health/Nutrition-A-Z/Vitamins/Food-Sources-of-Vitamin-A.aspx
- ↑ http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/17665093
- ↑ http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/3530430
- ↑ http://www.niams.nih.gov/health_info/bone/bone_health/nutrition/vitamin_a.asp
- ↑ http://www.mayoclinic.org/drugs-supplements/vitamin-a/safety/hrb-20060201
- ↑ http://www.nutri-facts.org/eng/vitamins/vitamin-a-retinol/safety/
- ↑ http://www.nhs.uk/Conditions/vitamins-minerals/Pages/Vitamin-A.aspx
- ↑ http://www.healthyeating.org/Milk-Dairy/Nutrients-in-Milk-Cheese-Yogurt/Nutrients-in-Milk.aspx
- ↑ http://www.healthyeating.org/Milk-Dairy/Nutrients-in-Milk-Cheese-Yogurt/Nutrients-in-Cheese.aspx
- ↑ http://www.nhs.uk/chq/Pages/find-a-registered-dietitian-or-nutritionist.aspx?CategoryID=51&SubCategoryID=168
- ↑ http://www.eatright.org/find-an-expert
- ↑ http://umm.edu/health/medical/altmed/supplement/vitamin-a-retinol
- ↑ http://umm.edu/health/medical/altmed/supplement/vitamin-a-retinol
- ↑ http://ods.od.nih.gov/factsheets/VitaminA-HealthProfessional/
- ↑ http://emedicine.medscape.com/article/1104368-overview
- ↑ http://www.who.int/elena/titles/vitamina_pregnancy/en/
เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้
มีการเข้าถึงหน้านี้ 2,836 ครั้ง
โฆษณา