ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

หวัดเป็นการติดเชื้อไวรัสที่จะมีผลต่อจมูกและลำคอ การเป็นหวัดทำให้ดำเนินชีวิตประจำวันได้ไม่สะดวกสบาย แม้ว่าคุณจะไม่ได้ป่วยหนักจนต้องรับการรักษาก็ตาม หวัดส่วนใหญ่สามารถรักษาให้หายเองได้ที่บ้าน แต่หากคุณเกิดเป็นหวัดนานเกินสองสัปดาห์ คุณควรไปพบแพทย์เพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้เป็นอะไรที่หนักหนาสาหัสกว่านั้น [1]

วิธีการ 1
วิธีการ 1 ของ 3:

ช่วยระบบภูมิคุ้มกันต่อสู้หวัด

ดาวน์โหลดบทความ
  1. การมีน้ำมูกเหลวหรือมีไข้ทำให้ตัวคุณสูญเสียความชุ่มชื้นไป ให้แน่ใจว่าได้ดื่มน้ำเพียงพอเพื่อที่จะได้ไม่ฝืนให้ร่างกายต้องรับมือกับทั้งหวัดและความตึงเครียดจากการขาดน้ำ [2]
    • เวลาเข้านอน ให้เอาน้ำสักแก้ว หรือน้ำผลไม้ ซุปใส หรือน้ำมะนาวอุ่นๆ มาวางไว้ข้างเตียง ถ้าคุณนอนไม่ค่อยจะหลับ มันจะช่วยให้คุณได้ลุกขึ้นมาดื่มสักอึกทุกครั้งที่ตื่นและหลีกเลี่ยงอาการขาดน้ำไปตลอดทั้งคืนได้ แต่พึงเลี่ยงแอลกอฮอล์กับกาแฟ ทั้งคู่มีแต่จะทำให้ขาดน้ำเพิ่มขึ้น
    • ถ้าคุณไม่ค่อยปวดปัสสาวะหรือปัสสาวะออกมาเป็นสีเข้ม นั่นเป็นสัญญาณว่าคุณกำลังขาดน้ำ
  2. ผู้ใหญ่ปกติจะนอนราว 8 ชั่วโมงต่อคืน ถ้าคุณกำลังต่อสู้กับหวัด คุณอาจต้องนอนนานขึ้น [3]
    • อนุญาตให้ตัวเองได้งีบหลับ เวลาที่รู้สึกง่วงนั่นคือร่างกายพยายามบอกว่ามันกำลังต้องการอะไร
    • การได้พักอย่างเต็มที่จะช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายและช่วยให้ร่างกายต่อสู้กับเชื้อหวัดอย่างได้ผลมากขึ้น
  3. หากคุณแน่นจมูกหรือไอ คงเป็นเรื่องยากที่จะหลับในตอนกลางคืน ลองทำให้อากาศภายในห้องนอนมีความชื้นด้วยเครื่องเพิ่มความชื้นหรือพัดลมไอน้ำ ยิ่งคุณหลับได้ดี ก็จะยิ่งมีพลังงานมาสู้กับไวรัส [4]
    • ถ้าหากคุณไม่มีเครื่องเพิ่มความชื้นหรือพัดลมไอน้ำ คุณสามารถทำเองได้อย่างรวดเร็วและราคาไม่แพง หาน้ำอุ่นสักหม้อมาวางบนเครื่องทำความร้อนแล้วทิ้งไว้ให้มันระเหยข้ามคืน
  4. ภาวะมีไข้ต่ำๆ นั้นจะทำให้อุณหภูมิรอบตัวคุณรู้สึกหนาวขึ้น ถ้าคุณหนาวมากจนเริ่มตัวสั่น มันจะทำให้ร่างกายต้องใช้พลังงานที่ควรจะเอาไปใช้สู้กับไวรัส หากคุณจำต้องไปทำงานหรือไปโรงเรียน ให้ใส่เสื้อผ้าเพิ่มเติมอย่างสเว็ตเตอร์ตัวใหญ่ ถ้าได้อยู่บ้าน ก็หาผ้าห่มมาเพิ่มบนที่นอน
    • ลองใช้กระติกน้ำร้อนหรือจิบชาอุ่นๆ สักแก้วถ้าคุณทำให้อากาศอบอุ่นไม่ได้
  5. สารอาหารและเกลือจะเสริมกำลังสภาพเกลือแร่ของคุณ นอกจากนี้ ไออุ่นยังช่วยทำให้จมูกโล่งขึ้นด้วย [5]
    • ถ้าคุณรู้สึกอยากกินอะไรที่เป็นเนื้อเป็นหนังมากกว่านี้ สามารถเติมชิ้นเนื้อไก่ เส้นบะหมี่ ถั่ว แครอทและผักที่ให้คุณค่าสารอาหารอื่นๆ ลงไปในน้ำซุปได้
    โฆษณา
วิธีการ 2
วิธีการ 2 ของ 3:

ควบคุมอาการ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ต้มน้ำในหม้อแล้วเติมน้ำมันหอมระเหยอย่างยูคาลิปตัสหรือโรสแมรี่ลงไปในน้ำ วางหม้อลงบนไม้รองบนโต๊ะแล้วสูดพวยไอเข้าไป มันทั้งหอม ทั้งช่วยให้ผ่อนคลาย แถมยังช่วยทำให้จมูกโล่งขึ้นด้วย [6]
    • ใช้ประโยชน์จากจำนวนไอร้อนที่สูดเข้าไปให้ได้มากที่สุดโดยการใช้ผ้าขนหนูมามุงเป็นเตนท์ครอบระหว่างศีรษะคุณกับหม้อ สูดไอร้อนอย่างน้อย 10 นาทีหรือจนกว่าคุณจะเริ่มหายใจได้โล่งขึ้น
    • เด็กสมควรได้รับคำแนะนำเพื่อที่พวกเขาจะไม่เผลอโดนน้ำร้อนหรือหม้อร้อนๆ ลวกเข้าให้
    • อย่าทานน้ำมันยูคาลิปตัสหรือปล่อยให้เด็กทำอย่างนั้น มันเป็นอันตรายต่อร่างกาย
  2. มันจะช่วยให้จมูกโล่งในขณะนอนราบ ทายาลงบนผิวบริเวณหน้าอกและสูดไอเข้าไป ให้อ่านและทำตามคำแนะนำข้างกล่อง [7]
    • ทายาวาโปรัปที่หน้าอกตอนนอน. มันจะช่วยให้จมูกโล่งในขณะนอนราบ ทายาลงบนผิวบริเวณหน้าอกและสูดไอเข้าไป ให้อ่านและทำตามคำแนะนำข้างกล่อง
  3. ถ้าหยดน้ำมีเพียงแค่น้ำเกลือมันก็ปลอดภัยดี แม้กระทั่งสำหรับเด็กก็ตาม มันจะช่วยให้โพรงจมูกแห้งทำให้หายใจได้สะดวกขึ้น พวกมันมีวางจำหน่ายตามร้านโดยไม่ต้องใช้ใบสั่งแพทย์ [8]
    • สเปรย์หรือหยดน้ำเกลือบางตัวมีส่วนผสมมากกว่าแค่น้ำกับเกลือ ให้อ่านส่วนผสมบนฉลากเพื่อดูว่ามันมีส่วนผสมของสารกันเสียหรือไม่ สารกันเสียเหล่านี้อาจทำอันตรายต่อเซลล์ภายในโพรงจมูก ถ้าคุณใช้สเปรย์ที่มีสารกันเสีย อย่าใช้บ่อยกว่าที่แนะนำในฉลาก นอกจากนี้ โปรดปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ถ้าคุณกำลังตั้งครรภ์ เพิ่งคลอดหรือกำลังดูแลเด็กอ่อน
  4. ยาเหล่านี้สามารถใช้ทั้งแบบรับประทานหรือเป็นสเปรย์ฉีดจมูก มีขายตามร้านขายยาทั่วไป มันสมควรใช้ติดต่อกันนานที่สุดเพียงแค่สัปดาห์เดียว หลังจากนั้นจะเริ่มทำให้เนื้อเยื่อโพรงจมูกอักเสบ ซึ่งจะส่งผลให้อาการยิ่งแย่ลงกว่าเดิม นอกจากนี้ ยาลดอาการคัดจมูกยังไม่ได้ปลอดภัยสำหรับทุกคน ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้มันถ้าคุณ: [9] [10]
    • กำลังตั้งครรภ์หรือไม่แน่ใจว่ากำลังตั้งครรภ์หรือเปล่า
    • อยู่ในช่วงให้นมทารก
    • ดูแลเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี
    • เป็นโรคเบาหวาน
    • มีความดันโลหิตสูง
    • ต่อมไทรอยด์เป็นพิษ
    • ต่อมลูกหมากโต
    • เซลล์ตับถูกทำลาย
    • มีปัญหาเรื่องไตหรือหัวใจ
    • เป็นต้อหิน
    • ใช้ยารักษาโรคซึมเศร้าที่เป็นยาที่มีฤทธิ์ยับยั้งเอ็นไซม์โมโนอามีนออกซิเดส (monoamine oxidase inhibitors)
    • อยู่ในระหว่างการใช้ยารักษา แม้กระทั่งยาที่ใช้คือยาที่หาซื้อได้ทั่วไปหรือเป็นอาหารเสริมสมุนไพร และคุณไม่แน่ใจว่ามันจะเกิดปฏิกิริยาต่อกันอย่างไร
  5. บรรเทาอาการคันระคายลำคอด้วยการใช้น้ำเกลืออุ่นๆ กลั้วคอ. ความอุ่นจะช่วยบรรเทาลำคอที่แสบร้อนจากการไอกระแอม เกลือยังอาจช่วยต้านการติดเชื้อ [11]
    • ผสมเกลืออย่างน้อย ¼ ของช้อนชาในน้ำอุ่นหนึ่งแก้วจนมันละลายหมดจนไม่เห็นเม็ดเกลือ ถ้าคุณไม่กังวลเรื่องรสเค็ม จะเติมเกลือลงไปอีกนิดเพื่อให้มันเข้มข้นขึ้นก็ได้
    • เงยศีรษะไปข้างหลังแล้วกลั้วคอ เด็กๆ ควรได้รับคำแนะนำระหว่างทำเพื่อจะได้ไม่สำลัก
    • พยายามกลั้วคอนานราวหนึ่งนาที อย่ากลืนน้ำเมื่อกลั้วเสร็จเพราะมันมีเชื้อโรคมากมายจากลำคออยู่ในนั้น ให้บ้วนทิ้งลงอ่างล้างหน้าแทน
  6. ลดไข้หรือลดอาการปวดด้วยยาแก้ปวดสูตรสามัญประจำบ้าน. มันมีผลต่ออาการปวดศีรษะหรือปวดเมื่อยตามข้อ ยาที่ใช้ทั่วไปก็เช่นไอบูโพรเฟนหรืออะเซตามิโนเฟน/พาราเซตามอล ปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยาเหล่านี้ถ้าคุณกำลังตั้งครรภ์ ให้นมหรือดูแลเด็กอ่อน [12] [13]
    • ทำตามคำแนะนำของแพทย์หรือตามที่ระบุบนฉลากยาเมื่อจะคำนวณปริมาณการใช้ โดยเฉพาะสำหรับเด็ก ตรวจดูส่วนผสมของยาแก้หวัดทั้งหลายที่จะใช้เพื่อให้แน่ใจว่ามันไม่ได้มีส่วนผสมตัวเดียวกัน ถ้าเป็นเช่นนั้น อย่ารับประทานมันร่วมกันเพราะจะเพิ่มความเสี่ยงรับประทานยาเกินขนาด
    • ไม่ควรให้ยาแอสไพรินแก่เด็กหรือวัยรุ่นเพราะมันมีส่วนสัมพันธ์กับโรคเรย์ซินโดรม (Reye’s syndrome)
  7. การไอเป็นวิธีที่ร่างกายคุณใช้กำจัดเชื้อโรคและสิ่งที่ทำให้เกิดการระคายเคืองออกมาจากหลอดลม การไประงับการไออาจจำเป็นถ้าคุณนอนไม่ได้ แต่มันจะทำให้ร่างกายกำจัดไวรัสออกจากระบบได้ยากขึ้น [14] [15]
    • อย่าให้ยาแก้ไอกับเด็กที่มีอายุต่ำกว่าสองขวบ สำหรับเด็กที่โตกว่านั้น ให้ทำตามคำแนะนำบนขวดยา ถ้าหากไม่มีการระบุอายุของเด็กอย่างชัดเจน ให้ปรึกษาแพทย์
  8. มันมีวิธีการและตัวยามากมายซึ่งคนเรานำมาใช้โดยที่มันใช้ไม่ได้ผลหรือไม่มีหลักฐานยืนยันหนักแน่นพอว่ามันใช้ได้ผลจริง ถ้าคุณจะใช้การรักษาทางเลือก ให้ปรึกษาแพทย์ก่อนเพราะมันอาจทำปฏิกิริยากับยาตัวอื่น วิธีการรักษาเหล่านี้ก็เช่น: [16] [17]
    • ยาปฏิชีวนะ หวัดนั้นเกิดจากเชื้อไวรัส ไม่ใช่เชื้อแบคทีเรีย ดังนั้นยาปฏิชีวนะจึงไม่ช่วยอะไร
    • เอคินาเซีย (Echinacea) หลักฐานยืนยันประสิทธิภาพของเอคินาเซียนั้นยังไม่ชัดเจน การศึกษาบางชิ้นแสดงว่ามันช่วยเมื่อคุณทานมันตั้งแต่ตอนเริ่มต้นเป็นหวัด บางการศึกษาก็บอกว่ามันไม่มีผลอะไรเลย
    • วิตามินซี หลักฐานก็ผสมปนเปทั้งสองด้าน บางการศึกษาบอกว่าทำให้หวัดหายเร็วขึ้น บ้างก็บอกว่าไม่ได้ช่วยอะไร
    • ซิงค์ บางการศึกษาแนะนำว่าซิงค์อาจช่วยได้ถ้าทานตั้งแตต่ตอนเริ่มเป็นหวัด บางการศึกษาบอกว่ามันไม่มีประโยชน์ อย่าใช้ซิงค์ทางจมูกเพราะมันจะทำให้คุณสูญเสียการรับรู้เรื่องกลิ่น
  9. หมอจะตรวจอาการให้แน่ใจว่าอาการติดเชื้อนั้นไม่ได้มีอะไรร้ายแรงน่าวิตกไปกว่าไข้หวัดธรรมดา อาการที่ต้องเฝ้าระวังก็มี: [18]
    • เด็กอายุต่ำกว่าสามขวบที่มีไข้ [19] เด็กที่โตกว่านั้นก็สมควรให้หมอตรวจถ้ามีไข้นานกว่าสามวันและมีไข้สูงเกิน 39 องศาเซลเซียส
    • มีอาการขาดน้ำ เด็กที่มีอาการขาดน้ำจะดูอ่อนเพลีย ไม่ค่อยถ่ายปัสสาวะ หรือปัสสาวะออกมาเป็นสีเข้มจัด
    • อาเจียน
    • ปวดท้อง
    • ง่วงซึมเซาตลอดเวลา
    • ปวดศีรษะอย่างมาก
    • เมื่อยคอ
    • หายใจติดขัด
    • ร้องไห้เป็นเวลานาน โดยเฉพาะในเด็กที่ยังเล็กเกินกว่าจะบอกได้ว่าเกิดอะไรขึ้น
    • ปวดหู
    • ไอไม่ยอมหยุด
  10. ไปหาหมอถ้าคุณมีอาการติดเชื้อรุนแรง อาการที่ต้องเฝ้าระวังสำหรับผู้ใหญ่ก็มี: [20]
    • ไข้สูง 39 องศาเซลเซียสหรือกว่านั้น
    • มีเหงื่อออก หนาว และไอออกมาเป็นเมือกเสมหะมีสี
    • ต่อมน้ำเหลืองบวมโตอย่างรุนแรง
    • ปวดโพรงจมูกอย่างรุนแรง
    โฆษณา
วิธีการ 3
วิธีการ 3 ของ 3:

การป้องกันหวัด

ดาวน์โหลดบทความ
  1. อย่าสัมผัสดวงตา จมูก หรือปากโดยไม่ได้ล้างมือก่อน ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นจุดที่ไวรัสหวัดจะเข้าสู่ร่างกาย โดยการล้างมือบ่อยๆ นั้น คุณได้ลดจำนวนไวรัสที่อยู่บนมือออกไป [21]
    • ถูสบู่กับมือใต้น้ำที่เปิดให้ไหลเป็นเวลาอย่างน้อย 20 วินาที จะใช้น้ำยาทำความสะอาดมือที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ก็ได้ถ้ามี
    • ล้างมือหลังจากไอ จาม สั่งน้ำมูกหรือสัมผัสมือกับผู้อื่น
  2. นี่หมายถึงไม่จับมือ กอด จูบ หรือสัมผัสคนที่มีอาการหวัด ถ้าเป็นไปได้ให้ฆ่าเชื้อบนวัตถุอย่างแป้นพิมพ์คีย์บอร์ด ลูกบิดประตู หรือของเล่นที่คนป่วยหรือเด็กที่ป่วยได้สัมผัส คุณสามารถจำกัดการเข้าใกล้คนป่วยได้โดยการหลีกเลี่ยงฝูงชน โดยเฉพาะฝูงชนในที่แคบๆ ซึ่งมีการไหลเวียนถ่ายเทอากาศต่ำอย่างเช่น: [22]
    • โรงเรียน
    • ที่ทำงาน
    • ในรถสาธารณะ
    • ห้องประชุม
  3. เพิ่มพลังให้แก่ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายด้วยการรับประทานอาหารที่มีสารอาหารที่จำเป็น. หวัดส่วนใหญ่จะไม่ได้ทำให้รู้สึกหมดความอยากอาหาร ถ้าคุณคิดว่ากำลังจะเป็นหวัด ให้แน่ใจว่าได้ป้อนสารอาหารให้ร่างกายได้เก็บตุนไว้สู้กับไวรัสและยังคงมีสุขภาพแข็งแรงได้
    • รับประทานผักผลไม้นานาชนิดเพื่อให้แน่ใจว่าได้วิตามินทั้งหมดที่จำเป็น
    • ขนมปังแบบใช้ธัญพืชไม่ผ่านการขัดสีนับเป็นแหล่งของพลังงานและกากใยอาหารชั้นดี
    • รับโปรตีนผ่านทางแหล่งอาหารที่ดีต่อสุขภาพและมีไขมันต่ำอย่าง เนื้อไก่ ถั่ว เนื้อปลาและไข่
    • ถึงแม้ว่าคุณอาจจะรู้สึกอ่อนเพลีย ให้หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารแปรรูปสำเร็จรูป พวกมันมักจะมีน้ำตาล เกลือ และไขมันเยอะ นี่จะทำให้คุณรู้สึกอิ่มโดยที่ไม่ได้มีสารอาหารอย่างที่คุณกำลังต้องการ
  4. ความเครียดส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งทางฮอร์โมนและทางสรีรวิทยาในร่างกายของคุณ ซึ่งสามารถกดระดับภูมิคุ้มกันและเพิ่มโอกาสในการติดเชื้อ คุณสามารถรับมือกับความเครียดได้โดย: [23]
    • ออกกำลังกายทุกวัน นี่จะช่วยหลั่งสารเอ็นดอร์ฟินซึ่งจะช่วยทำให้อารมณ์ดีขึ้นและช่วยให้คุณผ่อนคลายทั้งทางร่างกายและจิตใจ
    • นอนหลับ 8 ชั่วโมงต่อคืน ผู้ใหญ่บางคนอาจต้องการมากถึง 10 ชั่วโมง พยายามเข้านอนให้เป็นเวลาที่ทำให้คุณได้หลับเพียงพอ เพื่อที่คุณจะตื่นขึ้นมาโดยไม่รู้สึกอ่อนเพลียในตอนเช้า
    • ทำสมาธิ
    • โยคะ
    • นวด
    • มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับกลุ่มคนที่สามารถให้แรงใจสนับสนุนคุณได้
    โฆษณา


คำเตือน

  • ปรึกษาแพทย์ทุกครั้งก่อนใช้ยา อาหารเสริม หรือยาสมุนไพร มันยิ่งจำเป็นถ้าหากคุณกำลังตั้งครรภ์ คิดว่าคุณกำลังตั้งครรภ์ ต้องให้นมเด็กหรือดูแลเด็กอ่อน
  • อย่าให้ยาแอสไพรินแก่เด็กหรือวัยรุ่น
  • อ่านและทำตามเอกสารกำกับยาหรือคำแนะนำข้างกล่อง
  • ยาสามัญประจำบ้าน ยาสมุนไพร และอาหารเสริมสามารถทำปฏิกิริยากับยารักษาได้ ให้แน่ใจว่าแพทย์ที่รักษาคุณทราบสารทั้งหมดที่คุณใช้
  • หลีกเลี่ยงการใช้ยารักษามากตัวที่มีส่วนผสมของยาที่ออกฤทธิ์ในเวลาเดียวกัน มันอาจก่อให้เกิดการใช้ยาเกินขนาดอย่างไม่รู้ตัวได้



โฆษณา

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 1,601 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา