ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

ปกติไวรัสในกระเพาะจะไม่ทำให้เกิดอันตรายร้ายแรงแต่อย่างใด แต่อาจจะทำให้คุณต้องนอนซมไป 2 - 3 วันได้ สุดท้ายแล้วร่างกายจะกำจัดไวรัสออกไปได้ด้วยตัวเอง แต่ก็พอมี 2 - 3 วิธีที่คุณทำได้ เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายสู้กับไวรัสจนคุณรู้สึกดีขึ้นได้ในเวลาไม่นาน บทความวิกิฮาวนี้จะแนะนำให้คุณเอง

ส่วน 1
ส่วน 1 ของ 3:

ดูแลตัวเองหลักๆ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ให้ร่างกายได้น้ำจากน้ำแข็งก้อนและของเหลวใสๆ. พอมีไวรัสในกระเพาะแล้วร่างกายจะเสี่ยงขาดน้ำได้ง่ายมาก เพราะงั้นสิ่งสำคัญที่ควรช่วยร่างกายต้านไวรัสอีกแรง คืออย่าให้ร่างกายขาดน้ำเด็ดขาด
  2. พอกระเพาะแข็งแรงขึ้นพร้อมกินอาหารตามปกติอีกครั้ง ถึงไม่อยากกินก็ต้องกิน เพื่อให้ร่างกายได้สารอาหารที่สูญเสียไปกลับคืนมา ถึงจะไม่ได้มีหลักฐานงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์รับรองมากนัก ว่าอาหารรสอ่อนๆ จืดๆ นั้นย่อยง่ายสบายท้องกว่า แต่ร่างกายของคนส่วนใหญ่ที่ยังคลื่นไส้ค่อนข้างมาก ก็รับอาหารรสอ่อนได้ดีกว่า
    • อาหารรสอ่อนยอดนิยมของบ้านเราก็คือข้าวต้มหรือโจ๊ก ส่วนของฝรั่งเขามี BRAT คือกล้วย (banana), ข้าว (rice), แอปเปิ้ลบดละเอียด (applesauce) และขนมปังปิ้ง (toast) ส่วนเมนูอื่นที่แทนกันได้ก็คือ มันฝรั่งอบไม่ใส่เนย ขนมปังเบเกิล เพรทเซล และแครกเกอร์
    • แนะนำให้กินอาหารรสอ่อน 1 - 2 วันก็พอ เพราะถึงอาหารรสอ่อนจะกินง่ายย่อยง่ายกว่าอาหารอื่นๆ แต่ถ้ากินแต่อาหารรสอ่อนอย่างเดียวช่วงร่างกายฟื้นตัว ก็อาจจะขาดสารอาหารที่จำเป็นในการต่อสู้กับไวรัสได้
  3. พอประทังชีวิตด้วยอาหารรสอ่อนไปได้ไม่กี่วัน ควรกลับมากินอาหารปกติให้ได้เร็วที่สุด ถึงอาหารรสอ่อนจะอยู่ท้อง แต่ถ้ากินแต่อาหารรสอ่อนอย่างเดียว ระวังร่างกายจะไม่ได้รับสารอาหารที่จำเป็นเพียงพอจะต้านไวรัส
  4. ไวรัสในกระเพาะนั้นอึดถึกทนมาก ถึงจะไม่นานนัก แต่ก็อยู่รอดได้นอกร่างกายมนุษย์ ที่แย่ไปกว่านั้นคือคุณติดไวรัสตัวเดิมจากคนอื่นได้ ทั้งๆ ที่เพิ่งรักษาตัวจนหายดีจากไวรัสตัวนั้น เพราะงั้นเพื่อป้องกันไม่ให้คุณป่วยด้วยไวรัสลงกระเพาะซ้ำซาก ก็ต้องแน่ใจว่าทั้งตัวคุณและบริเวณที่คุณอยู่อาศัย จะสะอาดเอี่ยมอ่องที่สุด
  5. ก็เหมือนอาการป่วยอื่นๆ การพักผ่อนให้เพียงพอจะช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวได้รวดเร็ว เพราะตอนคุณนอน ร่างกายจะมุ่งกำจัดไวรัสในกระเพาะได้อย่างเต็มที่นั่นเอง
  6. สุดท้ายแล้วที่คุณทำได้ในการเอาชนะไวรัสลงกระเพาะ ก็คือปล่อยให้ตัวเองป่วยไปจนครบขั้นของอาการ ขอแค่คุณไม่อาการหนักจนเป็นอันตรายต่อระบบภูมิคุ้มกัน รับรองร่างกายจะรักษาตัว สู้ไวรัสได้เองตามธรรมชาติ
    • แต่ระหว่างนั้นก็ต้องดูแลตัวเองไปตามวิธีการที่เราแนะนำด้วย ถึงจะหายดี ขั้นตอนต่างๆ ในบทความนี้ต่างก็มีเพื่อสนับสนุนกระตุ้นร่างกายให้แข็งแรงพร้อมสู้ไวรัสทั้งนั้น ถ้าไม่ดูแลตัวเองดีๆ จะทำให้ร่างกายสู้ไวรัสและฟื้นตัวได้ยาก
    • แต่ถ้ารู้ตัวว่าภูมิคุ้มกันบกพร่องในด้านใดด้านหนึ่ง ก็ควรหาหมอทันทีที่มีอาการแรกเริ่ม
    โฆษณา
ส่วน 2
ส่วน 2 ของ 3:

วิธีทางเลือก

ดาวน์โหลดบทความ
  1. [4] ปกติคนก็นิยมใช้ขิงแก้คลื่นไส้และตะคริวท้องอยู่แล้ว ส่วนน้ำขิงและจินเจอร์เอลก็ต้านไวรัสลงกระเพาะได้ดีมากเช่นกัน
    • วิธีทำน้ำขิงเองสดๆ ก็คือต้มขิงสดฝาน 2 - 4 ชิ้น (ชิ้นละประมาณ 1/2 นิ้ว (1 ซม. กว่าๆ)) ในน้ำ 8 ออนซ์ (250 มล.) นาน 5 - 7 นาที จากนั้นพักไว้ให้เย็นจนดื่มได้ แล้วค่อยๆ จิบไป
    • จินเจอร์เอล (Ginger ale) กับน้ำขิงซอง ปกติก็หาซื้อได้ตามซูเปอร์มาร์เก็ตทั่วไป
    • นอกจากน้ำขิงไว้ดื่มแล้ว จะใช้ขิงแบบแคปซูลหรือน้ำมันก็ได้ ปกติจะหาซื้อได้ตามมุมอาหารเสริมของร้านขายยาหรือร้านขายผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ
  2. เปปเปอร์มินต์มีสรรพคุณลดอาการเจ็บปวด คนเลยนิยมใช้แก้คลื่นไส้หรือตะคริวท้อง เปปเปอร์มินต์ใช้ได้ทั้งกินและทาภายนอกเลย
    • จะกินเปปเปอร์มินต์โดยจิบเป็นชา เคี้ยวใบเปปเปอร์มินต์ที่แน่ใจว่าสะอาด หรือกินเป็นอาหารเสริมแบบแคปซูลก็ได้ ชาสมุนไพรเปปเปอร์มินต์ก็หาซื้อได้ทั่วไปเหมือนกัน แต่ถ้าจะชงเองสดๆ ให้ต้มเปปเปอร์มินต์ 2 - 3 ใบในน้ำ 8 ออนซ์ (250 มล.) นาน 5 - 7 นาที
    • ใครอยากใช้เปปเปอร์มินต์ภายนอก ก็เอาผ้าขนหนูชุบชาเปปเปอร์มินต์เย็นๆ ให้ชุ่ม หรือหยดน้ำมันเปปเปอร์มินต์สัก 2 - 3 หยดที่ชุบน้ำเย็นแล้ว
  3. [5] นอกจากร้านขายยาแล้ว ร้านขายผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพบางทีก็มีถ่านกัมมันต์ หรือ activated charcoal ขายเป็นแผงในส่วนของอาหารเสริม เขาเชื่อกันว่าถ่านกัมมันต์จะไปดูดสารพิษในกระเพาะ ให้คุณหายปวดท้อง ท้องเสียได้
    • ให้กินถ่านกัมมันต์ตามคำแนะนำที่บรรจุภัณฑ์อย่างเคร่งครัด จะได้ไม่เผลอกินยาเกินขนาด แต่ปกติก็กินทีละหลายแคปซูลได้ แถมกินได้หลายครั้งในวันเดียว ยังไงปรึกษาคุณหมอหรือเภสัชกรดู
  4. [6] อาจจะฟังดูแปลกๆ แต่น้ำอุ่นผสมผงมัสตาร์ดนิดหน่อยทำให้สบายตัวขึ้นได้บ้างจริงๆ อันนี้เป็นความเชื่อของคนเฒ่าคนแก่ ว่ามัสตาร์ดช่วยขับไล่สิ่งชั่วร้ายไปจากตัวเรา และกระตุ้นให้เลือดลมไหลเวียนดี
    • ถ้าไม่มีไข้ก็ใช้น้ำอุ่นได้ แต่ถ้ามีไข้ด้วย พยายามอาบน้ำธรรมดาไม่ร้อนไม่เย็น ไข้จะได้ไม่พุ่งสูงไปกว่านี้
    • ผสมผงมัสตาร์ด 2 ช้อนโต๊ะ (30 มล.) กับเบคกิ้งโซดา 1/4 ถ้วยตวง (60 มล.) ในอ่างที่เติมน้ำไว้แล้ว เอามือคนผสมจนมัสตาร์ดและเบคกิ้งโซดาละลายหมด แล้วค่อยลงไปแช่ในอ่างอาบน้ำประมาณ 10 - 20 นาที
  5. ถ้ากล้ามเนื้อท้องทำงานหนักจนกระตุกเกร็ง ให้บรรเทาอาการโดยใช้ผ้าอุ่นๆ หรือแผ่นประคบร้อน มาประคบที่หน้าท้อง
    • แต่ถ้าไข้สูง วิธีนี้อาจทำให้ยิ่งแย่ แนะนำให้เลือกใช้วิธีอื่นๆ ในบทความจะดีกว่า
    • คลายกล้ามเนื้อท้องที่กระตุกเกร็ง จะช่วยบรรเทาอาการไวรัสลงกระเพาะได้ พอความเจ็บปวดลดลง ก็รู้สึกดีขึ้น สบายไปทั้งตัว เท่ากับไปเพิ่มพลังให้ระบบภูมิคุ้มกันต่อสู้กับไวรัสได้ดียิ่งขึ้น หายเร็วขึ้น
  6. ตามทฤษฎีการกดจุดและฝังเข็ม (acupuncture) จะมีจุด pressure points ในมือและเท้า ที่กดแล้วช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวด ไม่สบายกระเพาะและลำไส้ได้
    • เทคนิคหนึ่งที่ลองเองได้ง่ายๆ คือนวดเท้า การกดนวดที่ฝ่าเท้าเบาๆ ช่วยแก้อาการคลื่นไส้และท้องเสียได้ด้วย
    • ถ้าไวรัสลงกระเพาะแล้วปวดหัวร่วมด้วย ให้กดจุดที่มือดู โดยใช้นิ้วชี้กับนิ้วโป้งนวดบริเวณพังผืดระหว่างนิ้วโป้งกับนิ้วชี้ของอีกมือ เป็นเทคนิคที่ช่วยแก้ปวดหัวได้เป็นอย่างดี
    โฆษณา
ส่วน 3
ส่วน 3 ของ 3:

กินยาหาหมอ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. เพราะยาปฏิชีวนะใช้ต้านแบคทีเรียต่างหาก ไม่มีผลหรือมีผลน้อยมากต่อไวรัสอย่างที่คุณเป็นอยู่ เพราะงั้นถ้าปวดท้อง ท้องเสีย เพราะไวรัสลงกระเพาะ กินยาปฏิชีวนะแล้วช่วยไม่ได้แน่นอน
    • และนี่ก็เป็นสาเหตุเดียวกันกับที่ไม่แนะนำให้กินยาต้านเชื้อราแก้อาการ
  2. ถ้ายังคลื่นไส้หนักหลังผ่านไป 12 - 24 ชั่วโมง คุณหมอมักจะสั่งยาแก้คลื่นไส้อาเจียนให้ท้องคุณสบายขึ้น จะได้ไม่ขาดน้ำและอาหารจนเป็นอันตราย
    • แต่ยาแก้คลื่นไส้อาเจียนก็ช่วยบรรเทาอาการได้ชั่วคราวเท่านั้น ฆ่าไวรัสไม่ได้ พอกินยาแก้คลื่นไส้แล้ว ร่างกายจะกักเก็บน้ำและอาหารไว้ได้มากขึ้น อย่างน้อยก็มีสารอาหารที่จำเป็นเพียงพอที่จะสู้ไวรัสด้วยตัวเอง
  3. เว้นแต่คุณหมอบอกซื้อได้ไม่เป็นไร เพราะยาแก้ท้องเสียที่ขายตามร้านขายยานั้นเห็นผลดีก็จริง แต่ปัญหาก็คือดีเกินไป อย่างน้อยใน 24 ชั่วโมงแรก คุณควรปล่อยให้ร่างกายจัดการขับไวรัสจากระบบด้วยตัวเองก่อน ซึ่งทั้งอาการท้องเสียและอาเจียนนี่แหละ คิดกระบวนการขับพิษและไวรัสตามธรรมชาติของร่างกาย
    • พอร่างกายขับไวรัสออกจากสารบบแล้ว คุณหมอถึงจะให้กินยาแก้ท้องเสียได้ เพื่อรักษาอาการอื่นๆ ที่ยังหลงเหลือต่อไป
    โฆษณา

เคล็ดลับ

  • ถ้ารู้ว่าช่วงนี้โรคไวรัสลงกระเพาะกำลังระบาด ก็ต้องดูแลตัวเองป้องกันไว้แต่เนิ่นๆ โดยล้างมือให้สะอาดเรื่อยๆ และใช้เจลล้างมือเวลาไม่สะดวกจะฟอกสบู่และล้างมือด้วยน้ำร้อน หมั่นทำความสะอาดบ้าน โดยเฉพาะห้องน้ำ ยิ่งถ้าคนในบ้านติดไวรัสไปแล้วเรียบร้อยยิ่งต้องระวัง
  • ถ้าที่บ้านมีเด็ก ให้ปรึกษาคุณหมอเรื่องฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสชนิดต่างๆ ที่กำลังระบาดในช่วงนั้นไว้ก่อน
  • ถ้ารู้สึกคลื่นไส้ กำลังจะอาเจียน ก็อย่าไปกลั้น รีบหาถุงหรือห้องน้ำแล้วปล่อยออกมาเลย เพราะเป็นวิธีที่ร่างกายขับไวรัสในกระเพาะออกมาตามธรรมชาติ
โฆษณา

คำเตือน

  • อาการแทรกซ้อนที่พบบ่อยที่สุดหลังไวรัสลงกระเพาะ คืออาการขาดน้ำ ถ้าร่างกายขาดน้ำรุนแรง ก็ควรรีบไปโรงพยาบาล เพราะจะได้ทำการรักษาโดยให้น้ำเกลือทางเส้นเลือดต่อไป
  • ถึงจะทำให้ไม่สบายตัวไม่สบายใจไปบ้าง แต่ก็อย่าพยายามกลั้นหรือแก้อาการที่แสดงออกมา เช่น ท้องเสีย หรืออาเจียน เพราะจะไม่เป็นผลดีต่อร่างกาย ปล่อยให้อาการเป็นไปตามขั้นตอน และดูแลตัวเองให้ดีที่สุด พอร่างกายจัดการไวรัสตามธรรมชาติแล้ว เดี๋ยวจะรู้สึกดีขึ้นเอง
  • ถ้ามีไข้สูงหรือถ่ายแล้วมีเลือดหรือหนองผสม ต้องรีบไปหาหมอทันที
  • ให้รีบไปหาหมอ ถ้าเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 3 เดือนเป็นโรคไวรัสลงกระเพาะ หรือเด็กโตกว่า 3 เดือนแต่อาเจียนไม่หยุดมา 12 ชั่วโมง หรือท้องเสียนานเกิน 2 วัน
  • ถ้าคุณท้องเสียและอาเจียน แล้วไม่ดีขึ้นหลังผ่านไปได้ 48 ชั่วโมง ให้รีบไปหาหมอทันที [7]
โฆษณา

สิ่งของที่ใช้

  • น้ำใสๆ ที่มีเกลือแร่ (electrolytes)
  • น้ำแข็งก้อน
  • อาหารรสอ่อน
  • อาหารปกติ
  • โยเกิร์ต
  • สบู่
  • เจลล้างมือ
  • ขิง
  • เปปเปอร์มินต์
  • ถ่านกัมมันต์ (Activated charcoal)
  • ผงมัสตาร์ดกับเบคกิ้งโซดา
  • ผ้าขนหนูอุ่นๆ
  • ยาแก้คลื่นไส้อาเจียน (ตามหมอสั่ง)
  • ยาแก้ท้องเสียที่หาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป (แต่ก็ควรปรึกษาคุณหมอก่อน)

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 1,700 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา