ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

ปัญหาผมร่วงเกิดจากสาเหตุสำคัญหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นอาหาร การขาดแร่ธาตุ การใช้ยา ความเครียดอย่างรุนแรงหรืออาการป่วย มลพิษ หรือกรรมพันธุ์ของคุณเอง มีผู้คนจำนวนถึง 1 ใน 3 ต้องประสบกับปัญหาผมร่วง และในจำนวนนี้มีหลายคนที่เป็นผู้หญิง [1] แม้ว่าจะไม่มีอะไรรับประกันได้ว่าคุณจะสามารถป้องกันปัญหาผมร่วงทั้งจากกรรมพันธุ์หรือจากปัจจัยอื่นๆ แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีหลายวิธีที่จะช่วยให้ผมของคุณอยู่ในสภาพที่ดีและชะลอการเกิดปัญหาผมร่วงได้

วิธีการ 1
วิธีการ 1 ของ 4:

หลีกเลี่ยงการทำร้ายเส้นผม

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ความร้อนส่งผลให้โปรตีนในเส้นผมสูญเสียสภาพ การทำให้ผมแห้งด้วยความร้อนเป็นประจำจะทำให้เส้นผมเปราะบางและขาดง่าย ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เกิดปัญหาผมขาดร่วงได้ [2] วิธีทำให้ผมแห้งที่ดีกับเส้นผมที่สุดคือการปล่อยให้แห้งตามธรรมชาติ ดังนั้นคุณจึงควรปล่อยให้ผมแห้งเองตามธรรมชาติแทนการใช้ความร้อน
    • อุปกรณ์ทำผมที่ใช้ความร้อนอื่นๆ อย่างโรลม้วนผมไฟฟ้า แปรงผมไฟฟ้า หรือเครื่องหนีบผม ก็ส่งผลดังกล่าวเช่นเดียวกัน
    • ควรใช้อุปกรณ์ทำผมที่ใช้ความร้อนอย่างระมัดระวัง เนื่องจากการใช้ความร้อนกับหนังศีรษะอย่างต่อเนื่องจะทำให้เซลล์รากผมถูกทำลายอย่างถาวร [3]
  2. ทั้งการยืดผมและการดัดผมนั้นเป็นการทำลายเส้นผม การดัดหรือยืดผมนี้จะทำลายเส้นใยของผมเพื่อจะทำให้ผมตรงหรือหยิก ส่งผลให้เส้นผมอ่อนแอลง ทำให้ผมแข็งทื่อ แห้ง และเปราะบาง [4] ซึ่งผมที่แห้งและเปราะบางนี้มีส่วนทำให้เกิดปัญหาผมร่วง
  3. การใช้ยาย้อมผมบ่อยๆ นั้นจะทำให้เส้นผมถูกทำร้ายมากยิ่งขึ้น ดังนั้นจึงไม่ควรทำสีผมมากกว่าทุกๆ 4-6 สัปดาห์ [5] และเมื่อมีผมขาว การปล่อยให้ผมขาวขึ้นมาตามธรรมชาตินั้นจะดีต่อเส้นผมมากกว่าการย้อมปิดผมขาว
  4. ในการฟอกสีผมนั้น สารเคมีจะแทรกซึมเข้าสู่ชั้นเกล็ดผมเพื่อกัดเม็ดสีผมตามธรรมชาติ ซึ่งเป็นการทำลายโครงสร้างผมและทำให้เส้นผมอ่อนแอลง ยิ่งกว่านั้นการฟอกสีผมร่วมกับการใช้ความร้อนในการเป่าหรือจัดแต่งทรงผมจะยิ่งเป็นการทำร้ายผมมากขึ้น [6]
  5. ทรงผมบางแบบจะต้องมัดผมให้ตึง ซึ่งการทำให้ผมตึงด้วยยางมัดผมหรือกิ๊บติดผมเป็นประจำทุกวันนั้นเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาผมร่วงได้ อย่างเช่น การมัดผมหางม้าจนตึง การถักเปียจนตึง การถักเปียติดหนังศีรษะ และการถักเปียตะขาบ หากทำเป็นประจำจะทำให้ผมขาดร่วงได้ [7] และการม้วนผมจนตึงด้วยโรลม้วนผม โดยเฉพาะโรลม้วนผมไฟฟ้า ก็เป็นสาเหตุทำให้ผมร่วงเช่นกัน [8]
    • ชื่อเรียกทางการแพทย์ของอาการผมร่วงจากการมัดผมตึงเกินไปเรียกว่า “ผมร่วงจากการดึงรั้ง” (Traction Alopecia) ซึ่งสามารถป้องกันได้ด้วยการไม่มัดผมให้ตึงจนเกินไปนั่นเอง [9]
    โฆษณา
วิธีการ 2
วิธีการ 2 ของ 4:

ดูแลเส้นผมอย่างจริงจัง

ดาวน์โหลดบทความ
  1. การสระผมเพื่อรักษาความสะอาดของเส้นผมและหนังศีรษะจะช่วยป้องกันปัญหาผมร่วงได้ (เพราะช่วยป้องกันการติดเชื้อที่อาจเป็นสาเหตุของผมร่วง) ทั้งนี้คุณควรหลีกเลี่ยงการสระผมทุกวัน เนื่องจากเป็นการทำลายน้ำมันธรรมชาติในเส้นผม ดังนั้นจึงควรสระผมวันเว้นวันจะดีที่สุด ให้เลือกใช้แชมพูสูตรอ่อนโยนในการทำความสะอาดเส้นผม ผมที่สะอาดจะช่วยให้คุณดูมีผมที่หนา เพราะผมที่ขาดการทำความสะอาดจะลีบแบนและเปราะบาง [10]
  2. การใช้แชมพูที่เหมาะสมจะช่วยให้ผมของคุณมีสุขภาพที่แข็งแรง ดังนั้นจึงควรใช้เวลาสักนิดในการเลือกแชมพูที่เข้ากับสภาพผมของคุณได้ดีที่สุด [11] หากคุณมีผมเส้นเล็ก ผมแห้ง ผมมัน หรือผมธรรมดา ให้ลองใช้แชมพูหลายแบบแตกต่างกันไปเพื่อหาแชมพูที่เหมาะสมกับผมของคุณ แต่สำหรับผมที่มีรังแคหรือผมทำสี ให้ใช้แชมพูสำหรับขจัดรังแคหรือสำหรับผมทำสีโดยเฉพาะ [12]
    • แชมพูและครีมนวดผมสูตรโปรตีนจะช่วยเคลือบเส้นผม ทำให้ผมดูนุ่มและหนาขึ้น แต่แชมพูและครีมนวดผมชนิดนี้ไม่สามารถซ่อมแซมผมแห้งเสียได้ [13]
  3. การใช้แชมพูสูตรอ่อนโยนทำให้หนังศีรษะและเส้นผมมีสุขภาพดี ควรตรวจสอบส่วนประกอบเพื่อดูว่าแชมพูชนิดนั้นอ่อนโยนหรือไม่ หลีกเลี่ยงแชมพูที่มีส่วนประกอบของซัลเฟต พาราเบน และ/หรือซัลโฟเนต และเลือกใช้แชมพูที่ระบุส่วนประกอบของไอซีทิโอเนตหรือกลูโคไซด์ไว้ที่ด้านหลังส่วนประกอบน้ำ [14]
    • ส่วนประกอบหลักของแชมพูสูตรอ่อนโยนประกอบไปด้วยซัลโฟซักซิเนต ซัลเทอีน และแอมโฟไดอะซิเตท
    • ครีมนวดผมควรมีส่วนประกอบของซิลิโคน โพลีควอเทอร์เนียม และกัวร์กัม [15]
  4. การแปรงผมของคุณมีผลต่อสุขภาพของผม ควรเลือกใช้แปรงหวีผมที่ทำจากเส้นใยธรรมชาติ และอย่าแปรงผมจากบนลงล่าง แต่ให้แปรงผมจากล่างขึ้นบนแทน [16] แปรงผมอย่างนุ่มนวลที่สุดและอย่าดึงแรงจนเกินไป
    • ควรหลีกเลี่ยงการแปรงผมในขณะที่ผมเปียก ให้ใช้หวีแทน [17]
  5. การนวดหนังศีรษะด้วยน้ำมันบำรุง (เช่น น้ำมันมะพร้าว น้ำมันโรสแมรี่ น้ำมันลาเวนเดอร์ หรือน้ำมันอัลมอนด์) [18] จะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตไปยังบริเวณหนังศีรษะและรากผม ใช้มือบีบนวดบริเวณหนังศีรษะจนรู้สึกอุ่น จากนั้นจึงนวดเป็นวงกลมเพื่อให้เซลล์ในรากผมได้รับสารอาหารในปริมาณมาก ทำให้เส้นผมเจริญเติบโตได้ดี [19]
    • การนวดหนังศีรษะยังช่วยให้คุณรู้สึกผ่อนคลายได้อีกด้วย [20]
  6. แม้ว่าจะไม่มีปัญหาผมร่วง คุณก็อาจลองทดสอบดูได้เช่นกัน ซึ่งคุณสามารถพิสูจน์ดูได้ด้วยวิธีการดึงเส้นผม โดยการใช้นิ้วโป้งและนิ้วชี้จับเส้นผมออกมาช่อหนึ่งประมาณ 20-30 เส้น แล้วดึงช้าๆ ด้วยแรงที่สม่ำเสมอ หากมีเส้นผมติดมือมามากกว่า 6 เส้น แสดงว่าคุณอาจประสบปัญหาผมร่วงแล้ว [21] .
    • การทดสอบนี้อาจให้ผลได้ไม่แน่นอน เพื่อความแน่ใจ หากคิดว่าเริ่มมีผมร่วงมากกว่าปกติในแต่ละวัน ให้ลองปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านเส้นผมและหนังศีรษะโดยเฉพาะ
    โฆษณา
วิธีการ 3
วิธีการ 3 ของ 4:

ทานอาหารที่เหมาะสมเพื่อผมสุขภาพดี

ดาวน์โหลดบทความ
  1. อาหารที่ดีจะช่วยให้ร่างกายของคุณ รวมถึงเส้นผมและหนังศีรษะมีสุขภาพที่แข็งแรง ซึ่งร่างกายที่แข็งแรงจะส่งผลให้สุขภาพผมดีตามไปด้วย อาหารที่ดีต่อสุขภาพอย่างผักและผลไม้จะช่วยให้ชะลอการเกิดปัญหาผมร่วงได้อย่างดี [22] เนื่องจากวิตามินและแร่ธาตุบางชนิด (ซึ่งระบุในขั้นตอนด้านล่าง) นั้นมีประโยชน์ต่อเส้นผม ทำให้ผมแข็งแรงและป้องกันผมร่วงได้
  2. ธาตุเหล็กเป็นแร่ธาตุสำคัญชนิดหนึ่ง หรือที่เรียกว่า ธาตุเหล็กประกอบฮีม ซึ่งพบได้ในเนื้อสัตว์ และเรียกว่า ธาตุเหล็กที่ไม่ได้อยู่ในรูปของฮีม ซึ่งพบได้ในพืชผัก การได้รับธาตุเหล็กน้อยเกินไปจะทำให้เกิดอาการโลหิตจาง ซึ่งส่งผลให้รากผมขาดสารอาหาร และเกิดปัญหาผมร่วงได้ [23] เพื่อหลีกเลี่ยงอาการผมร่วง ควรรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยธาตุเหล็กและแร่ธาตุอื่นๆ ที่จำเป็น
    • เนื้อแดง เนื้อไก่ และเนื้อปลา เป็นแหล่งสำคัญของธาตุเหล็ก
    • ผักใบเขียวก็เป็นแหล่งสำคัญของธาตุเหล็กเช่นกัน เช่น บร็อคโคลี ผักโขม และผักเคล
  3. โปรตีนเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ผมแข็งแรง หากได้รับโปรตีนไม่เพียงพอ จะทำให้ผมแห้งและอ่อนแอลง และสุดท้ายอาจก่อให้เกิดอาการผมร่วงได้ [24] การได้รับโปรตีนอย่างเพียงพอจะช่วยสร้างกรดอะมิโนที่ทำให้เส้นผมแข็งแรง ซึ่งกรดอะมิโนนี้สามารถพบได้ในแชมพูเช่นกัน แต่แหล่งที่พบได้โดยมากคือในอาหารที่คุณรับประทาน หากคุณรับประทานโปรตีนในปริมาณมาก ก็จะทำให้สภาพผมของคุณดียิ่งขึ้น ทั้งยังช่วยป้องกันไม่ให้ผมร่วงอีกด้วย
    • อาหารที่เป็นแหล่งโปรตีน ได้แก่ อาหารทะเล สัตว์ปีก นม ชีส โยเกิร์ต ไข่ เมล็ดถั่ว เนื้อสันในหมู ถั่วเหลือง เนื้อวัวไม่มีมัน และโปรตีนบาร์ [25]
    • ผู้ที่ทานมังสวิรัติหรือผู้ที่ไม่ทานผลิตภัณฑ์จากนม ก็สามารถรับโปรตีนจากแหล่งอาหารอื่นๆ ได้เช่นกัน ได้แก่ เทมเป้ เต้าหู้ ขนมปังโฮลวีต เนยถั่ว ข้าวกล้อง ถั่วเลนทิล ควินัว ถั่วเปลือกแข็ง เซตัน เมล็ดถั่ว และบร็อคโคลี [26]
  4. อาหารที่มีวิตามินซีสูงจะช่วยในการดูดซึมธาตุเหล็ก ดังนั้นจึงควรรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยธาตุเหล็กควบคู่ไปกับอาหารที่มีวิตามินซีสูง นอกจากนี้ วิตามินซียังช่วยในการสร้างคอลลาเจนของร่างกาย ทำให้เส้นเลือดฝอยที่ไปหล่อเลี้ยงเส้นผมแข็งแรงขึ้น [27] อาหารที่เป็นแหล่งสำคัญของวิตามินซี ได้แก่
    • ผลไม้รสเปรี้ยว ผักเคล บร็อคโคลี กะหล่ำดาว มันฝรั่งอบ และมะเขือเทศ [28]
    • บลูเบอร์รี่ แบล็คเบอร์รี่ และสตรอเบอร์รี่ ก็เป็นอีกแหล่งสำคัญของวิตามินซี
  5. ไขมันเหล่านี้ช่วยให้เส้นผมมีสุขภาพดี และยังช่วยป้องกันไม่ให้ผมแห้งเสียและเปราะบาง [29] โดยพบได้ในเซลล์หนังศีรษะ ทำให้เส้นผมและหนังศีรษะมีความชุ่มชื่น กรดไขมันชนิดนี้เป็นกรดไขมันที่ร่างกายสร้างขึ้นมาเองไม่ได้ จึงจำเป็นต้องได้รับจากอาหารที่ทานเข้าไปเท่านั้น [30]
    • ปลาทะเลน้ำลึกหลายชนิดอุดมไปด้วยโอเมกา-3 เช่น ปลาทูน่า ปลาแซลมอน และปลาแมคเคอเรล
    • คุณยังได้รับกรดไขมันโอเมกา-3 จากการทานเมล็ดพืชและถั่วเปลือกแข็ง โดยเฉพาะเมล็ดแฟลกซ์ เมล็ดฟักทอง และวอลนัท
  6. ไบโอตินเป็นวิตามินบีที่ละลายได้ในน้ำ เป็นสารอาหารที่มีความสำคัญต่อเส้นผมอย่างมาก เพราะการขาดไบโอตินจะทำให้ผมเปราะบางและหลุดร่วงมากขึ้น [31] อาหารที่เป็นแหล่งของไบโอติน ได้แก่ โฮลเกรน ตับ ไข่ขาว แป้งถั่วเหลือง วอลนัท และยีสต์
    • โฮลเกรนยังเป็นแหล่งสำคัญของซิงค์อีกด้วย หากได้รับซิงค์ในปริมาณไม่เพียงพอ จะทำให้ผมแห้ง มีอาการคันศีรษะ และเกิดปัญหาผมร่วงได้ [32]
  7. หากต้องการรับประทานอาหารเสริมเพื่อป้องกันปัญหาผมร่วง ควรปรึกษาแพทย์ให้ดีเสียก่อน อาหารเสริมที่ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทาน ได้แก่ ไบโอติน ไอโนซิทอล ธาตุเหล็ก วิตามินซี และซอว์ พาลเมตโต [33] อาหารเสริมเหล่านี้ไม่ได้รับการยืนยันว่าสามารถช่วยป้องกันผมร่วงได้หรือไม่ แต่มีหลักฐานจากบางแหล่งกล่าวว่าอาหารเสริมเหล่านี้สามารถช่วยได้
  8. เมื่อรู้ว่าควรทานอาหารชนิดใดบ้างแล้ว ก็ควรรู้ว่าอาหารชนิดใดที่ควรหลีกเลี่ยงด้วย เนื่องจากอาหารบางชนิดส่งผลให้เกิดปัญหาผมร่วงได้ เช่น สารให้ความหวานแทนน้ำตาล แอสปาแตม ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้ผมบางและขาดร่วง รวมถึงวัตถุเจือปนในอาหารที่ส่งผลเสียต่อร่างกายเช่นเดียวกัน [34]
    • ควรหลีกเลี่ยงการทานไข่ขาวดิบ เนื่องจากในไข่ขาวดิบมีสารประกอบซึ่งเป็นตัวขัดขวางการดูดซึมของไบโอติน [35]
  9. ควรมั่นใจว่าได้รับแคลอรีในปริมาณที่เพียงพอ. การได้รับแคลอรีในปริมาณน้อยเกินไปอาจก่อให้เกิดอาการผมร่วงได้ ร่างกายของคนเราต้องการเกลือแร่และวิตามิน (ที่กล่าวถึงในข้างต้น) เพื่อสร้างและรักษาเส้นผมไว้ การลดปริมาณอาหารที่ทานอาจทำให้ได้รับสารอาหารที่จำเป็นเหล่านี้ไม่เพียงพอ นอกจากนี้ การลดปริมาณแคลอรีมากเกินไปจะส่งผลให้เกิดอาการเครียด ซึ่งจะยับยั้งการเจริญเติบโตของเส้นผม รวมถึงหยุดการเจริญเติบโตลง [36] [37] หลีกเลี่ยงการอดอาหาร ไม่เช่นนั้นเส้นผมของคุณอาจลดน้อยลงพร้อมๆ กับน้ำหนักตัวได้
    โฆษณา
วิธีการ 4
วิธีการ 4 ของ 4:

เข้ารับการรักษาอาการผมร่วง

ดาวน์โหลดบทความ
  1. หากพบว่าปัญหาผมร่วงของคุณเริ่มมีอาการรุนแรงขึ้น ให้รีบไปพบแพทย์โดยทันที ปรึกษาแพทย์หากปัญหาผมร่วงเกิดขึ้นอย่างผิดปกติ หรือมีปัญหาผมร่วงก่อนวัย เช่นในวัยรุ่นหรือวัย 20 กว่าๆ [38] ควรระมัดระวังหากมีอาการเหล่านี้
    • มีอาการเจ็บและคันพร้อมกับผมขาดร่วง อาการแดง หรือหนังศีรษะตกสะเก็ด
    • ขนบริเวณเคราและคิ้วร่วงเป็นหย่อมๆ
    • ผู้หญิงที่มีอาการศีรษะล้านรูปแบบผู้ชายหรือประจำเดือนมาไม่ปกติ
    • มีน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น มีอาการเหนื่อยล้า กล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือไม่สามารถทนต่ออากาศหนาวได้ [39]
  2. ก่อนพบแพทย์ ให้ตรวจสอบอาการที่มีเพื่อสามารถบอกให้แพทย์รู้ได้อย่างชัดเจน โดยสังเกตดูว่าอาการเริ่มแรกที่บ่งบอกถึงอาการผมร่วงว่ามีอะไรบ้าง และมีอาการดังกล่าวเป็นครั้งคราวหรือต่อเนื่อง [40] ลองตรวจดูอาการด้วยตนเองจากคำถามต่อไปนี้
  3. ผมร่วงที่เกิดจากพันธุกรรมเป็นสาเหตุของอาการผมร่วงที่พบได้มากที่สุด ลักษณะศีรษะล้านในผู้ชายที่มักพบได้บ่อยคือ แนวผมด้านหน้าเว้าเข้าไปเป็นรูปตัว M แม้ว่าศีรษะล้านลักษณะนี้จะไม่ได้เกิดจากโรคแต่เกิดจากยีนของคุณ แต่คุณสามารถเข้ารับการรักษาจากแพทย์ได้เช่นกัน [42] ยาที่ใช้ในการรักษาผมร่วงที่เป็นที่นิยมใช้กัน 2 ชนิด ได้แก่
    • ไมน็อกซิดิล (โรเกน) เป็นยาที่ใช้สำหรับกระตุ้นให้เกิดการงอกของเส้นผม
    • ฟิแนสเทอไรด์ (โพรพีเซีย, โปรสการ์) เป็นยาที่ช่วยยับยั้งการสร้างฮอร์โมนเทสโทสเทอโรนซึ่งส่งผลให้ศีรษะล้าน [43]
  4. ผู้หญิงจำนวนประมาณ 1 ใน 3 ต้องประสบปัญหาผมร่วง และจำนวน 2 ใน 3 ของผู้หญิงในวัยหมดประจำเดือนมักจะมีปัญหาผมบางหรือศีรษะล้านเป็นหย่อมๆ ผู้หญิงมักไม่ค่อยเจอปัญหาศีรษะล้านบริเวณแนวผมด้านหน้าเหมือนผู้ชาย แต่จะมีปัญหาผมบางจนเกิดเป็นปัญหาผมร่วงแบบกระจายบริเวณศีรษะด้านบน [44] ยาที่ใช้ในการรักษาผมร่วงในผู้หญิงมีดังนี้
    • ไมน็อกซิดิล (โรเกน) เป็นยาใช้เฉพาะที่โดยนวดบริเวณศีรษะ
    • ยาที่มีฤทธิ์ต้านแอนโดรเจน เป็นยาที่มีฤทธิ์ปิดกั้นการทำงานของรีเซปเตอร์ ไม่นิยมใช้เท่าไหร่นัก
    • อาหารเสริมธาตุเหล็กโดยมากมักใช้กันในกลุ่มผู้ที่ทานมังสวิรัติ ผู้ที่มีภาวะโลหิตจาง และผู้ที่ประจำเดือนมามาก [45]
    โฆษณา

เคล็ดลับ

  • หลีกเลี่ยงไม่ให้ผมโดนแดดมากเกินไป
  • หลีกเลี่ยงการใช้อุปกรณ์ทำผมที่ใช้ความร้อน เพราะอาจทำให้ผมแตกปลาย และนำไปสู่ปัญหาผมเปราะบางได้
  • หลีกเลี่ยงการใช้เจลแต่งผมหรือผลิตภัณฑ์อื่นที่คล้ายกัน เพราะเป็นการเร่งให้เกิดผมร่วง เปราะบาง และผมเสียที่เกิดขึ้นจากกิจวัตรประจำวัน
  • ถักเปียก่อนเข้านอนแทนการปล่อยผม การถักเปียจะช่วยลดปริมาณผมที่ขาดร่วงเมื่อคุณพลิกตัวไปมาในขณะหลับ
  • เลือกใช้แชมพูและครีมนวดผมสูตรอ่อนโยน เนื่องจากมีความอ่อนโยนต่อเส้นผมและทำให้สภาพผมดูดีขึ้น และควรหลีกเลี่ยงแชมพูและครีมนวดผมที่มีการใช้สารเคมีที่มีฤทธิ์รุนแรง โดยเฉพาะสารเคมีที่มีฤทธิ์ในการระงับกลิ่น เพราะจะทำให้หนังศีรษะถูกทำร้ายได้
  • โรคเซลิแอคเป็นสาเหตุทำให้เกิดผมร่วงได้ ควรพบแพทย์หากอาการมีความรุนแรง
  • ในแต่ละวันเส้นผมของคนเราจะร่วงประมาณ 100 เส้น [46] โดยมักจะร่วงในขณะอาบน้ำ ถ้าคุณมีผมร่วงมากกว่าปกติ นั่นหมายถึงคุณอาจเริ่มมีอาการผมร่วงแล้ว ถึงแม้ว่าจะยังไม่มีอาการผมล้านเป็นหย่อมๆ ก็ตาม
  • อาการเจ็บป่วย (เช่น ไทรอยด์) หรือการใช้ยาปฏิชีวนะจะส่งผลให้เกิดผมร่วงได้ ดังนั้นจึงควรดูแลตัวเองให้มีสุขภาพที่ดีเพื่อทำลดอาการผมร่วงให้เกิดน้อยลง
  • หากคุณเคยตั้งครรภ์ อย่าตกใจกับภาวะผมร่วงหลังคลอด (Postpartum Alopecia) ผมร่วงที่เกิดหลังการตั้งครรภ์อาจดูน่าตกใจ แต่อาการผมร่วงนี้เป็นภาวะปกติที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนจากการตั้งครรภ์ที่ส่งผลต่อสภาพและความหนาของเส้นผม และการที่ผมร่วงนั้นก็เป็นสัญญาณบอกว่าฮอร์โมนกลับสู่ระดับปกติ [47] ผมร่วงที่เกิดหลังการตั้งครรภ์จะขึ้นมาใหม่หลังจากผ่านไปไม่กี่เดือน [48]
โฆษณา

คำเตือน

  • ผมร่วงอาจเป็นสัญญาณของอาการป่วยหรือสุขภาพที่ไม่ดี ควรปรึกษาแพทย์หากอาการน่ากังวล โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณรับประทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์ ระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือมักป่วยอยู่บ่อยๆ
โฆษณา

ข้อมูลอ้างอิง

  1. Andrew Jose, Love Your Hair , p. 120, (2002), ISBN 0-00-711900-3
  2. Dr Margaret Stearn, Embarrassing medical problems , p. 23, (2001), ISBN 1-57826-067-1
  3. Dr Margaret Stearn, Embarrassing medical problems , p. 23, (2001), ISBN 1-57826-067-1
  4. http://www.webmd.com/beauty/hair-repair/8-ways-youre-damaging-your-hair?page=2
  5. http://www.hairfoundation.org/hair-care/hair-care-color-dye.htm
  6. http://www.webmd.com/beauty/hair-repair/8-ways-youre-damaging-your-hair?page=2
  7. Dr Margaret Stearn, Embarrassing medical problems , p. 23, (2001), ISBN 1-57826-067-1
  8. Dr Margaret Stearn, Embarrassing medical problems , p. 23, (2001), ISBN 1-57826-067-1
  9. Andrew Jose, Love Your Hair , p. 122, (2002), ISBN 0-00-711900-3
  1. Dr Margaret Stearn, Embarrassing medical problems , p. 25, (2001), ISBN 1-57826-067-1
  2. http://www.webmd.com/skin-problems-and-treatments/hair-loss/understanding-hair-loss-prevention
  3. http://www.thehealthsite.com/beauty/revealed-the-art-and-science-of-choosing-the-right-shampoo/
  4. Dr Margaret Stearn, Embarrassing medical problems , p. 23, (2001), ISBN 1-57826-067-1
  5. http://thebeautybrains.com/2014/09/how-to-pick-a-mild-shampoo/
  6. http://thebeautybrains.com/2014/09/how-to-pick-a-mild-shampoo/
  7. http://www.webmd.com/beauty/advances-skin-care-9/thinning-hair-shampoo
  8. http://www.webmd.com/skin-problems-and-treatments/hair-loss/understanding-hair-loss-prevention
  9. http://www.medic8.com/healthguide/hair-loss/treatments/scalp-massage.html
  10. http://www.medic8.com/healthguide/hair-loss/treatments/scalp-massage.html
  11. http://www.pacificcollege.edu/acupuncture-massage-news/articles/1000-the-benefits-of-scalp-massage-for-hair-loss.html
  12. Dr Margaret Stearn, Embarrassing medical problems , p. 22, (2001), ISBN 1-57826-067-1
  13. Winnie Yu, What to eat for what ails you , p. 159, (2007), ISBN 978-1-59233-236-6
  14. http://www.bbcgoodfood.com/howto/guide/what-eat-healthy-hair
  15. http://www.bbcgoodfood.com/howto/guide/what-eat-healthy-hair
  16. http://www.webmd.com/fitness-exercise/guide/good-protein-sources
  17. http://www.vrg.org/nutrition/protein.htm
  18. http://www.bbcgoodfood.com/howto/guide/what-eat-healthy-hair
  19. http://www.wikihow.com/Eat-More-Vitamin-C
  20. Winnie Yu, What to eat for what ails you , p. 159, (2007), ISBN 978-1-59233-236-6
  21. http://www.bbcgoodfood.com/howto/guide/what-eat-healthy-hair
  22. Winnie Yu, What to eat for what ails you , p. 159, (2007), ISBN 978-1-59233-236-6
  23. http://www.bbcgoodfood.com/howto/guide/what-eat-healthy-hair
  24. Winnie Yu, What to eat for what ails you , p. 160, (2007), ISBN 978-1-59233-236-6
  25. http://www.belgraviacentre.com/blog/foods-that-can-lead-to-hair-loss-104/
  26. Winnie Yu, What to eat for what ails you , p. 159, (2007), ISBN 978-1-59233-236-6
  27. https://proteinpower.com/drmike/2007/11/02/hair-loss-and-kimkins/
  28. http://www.aocd.org/?page=TelogenEffluviumHa
  29. http://umm.edu/health/medical/ency/articles/hair-loss
  30. http://umm.edu/health/medical/ency/articles/hair-loss
  31. http://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/hair-loss/basics/preparing-for-your-appointment/con-20027666
  32. http://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/hair-loss/basics/preparing-for-your-appointment/con-20027666
  33. http://www.health.harvard.edu/diseases-and-conditions/hereditary-patterned-baldness
  34. http://www.nlm.nih.gov/medlineplus/ency/article/001177.htm
  35. http://www.health.harvard.edu/staying-healthy/treating-female-pattern-hair-loss
  36. http://www.health.harvard.edu/staying-healthy/treating-female-pattern-hair-loss
  37. http://www.aocd.org/?page=TelogenEffluviumHa
  38. Winnie Yu, What to eat for what ails you , p. 160, (2007), ISBN 978-1-59233-236-6
  39. Andrew Jose, Love Your Hair , p. 122, (2002), ISBN 0-00-711900-3

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 4,715 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา