ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

โรคการกินผิดปกติเป็นปัญหาสำคัญที่ส่งผลกระทบกับผู้คนจำนวนมากกว่าที่คุณคาดคิด โรค อะนอเร็กเซีย เนอร์โวซา (Anorexia nervosa) หรือที่เรียกสั้นๆ ว่าโรค “อะนอเร็กเซีย (Anorexia)” พบในเด็กสาววัยรุ่นและเด็กผู้หญิงที่อายุน้อยได้บ่อยที่สุด แต่ผู้ชายและผู้หญิงชราก็สามารถเป็นโรคนี้ได้ด้วย งานวิจัยที่ผ่านมาชิ้นหนึ่งระบุว่าผู้คนจำนวน 25% ที่ป่วยเป็นโรคอะนอเร็กเซียเป็นผู้ชาย [1] โรคนี้มีลักษณะเฉพาะ กล่าวคือ ผู้ป่วยจะจำกัดการกินอาหารอย่างเข้มงวด มีน้ำหนักตัวน้อย รู้สึกกล้วอย่างมากเกี่ยวกับน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น และมุมมองต่อร่างกายของพวกเขาแบบบิดเบือนไป [2] บ่อยๆ แล้วโรคนี้เป็นปฏิกิริยาโต้กลับของผู้ป่วยต่อปัญหาเรื่องส่วนตัวและเรื่องสังคมที่ซับซ้อน โรคอะนอเร็กเซียเป็นความผิดปกติที่ร้ายแรงและสามารถเป็นอันตรายร้ายแรงกับร่างกายได้ ในบรรดาปัญหาสุขภาพจิตแล้ว โรคอะนอเร็กเซียเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตในอัตราที่มากที่สุด [3] ถ้าคุณคิดว่าเพื่อนหรือคนที่คุณรักป่วยเป็นโรคอะนอเร็กเซีย ให้อ่านและเรียนรู้จากบทความนี้เพื่อช่วยเหลือพวกเขา

วิธีการ 1
วิธีการ 1 ของ 5:

สังเกตพฤติกรรมของบุคคลนั้น

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ผู้ทื่เป็นคนความคลั่งผอมจะมองอาหารเป็นศัตรู สิ่งหนึ่งที่เป็นแรงผลักดันที่ทำให้เป็นคนผอมแห้งคือความกลัวอย่างร้ายแรงที่จะมีน้ำหนักเพิ่มขึ้น และผู้ที่เป็นคนผอมแห้งนี้ก็จะจำกัดการกินอาหารเข้าไปอย่างเข้มงวด เช่น พวกเขาอาจจะอดอาหารเพื่อที่น้ำหนักตัวจะได้ไม่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม การไม่กินอาหารไม่ใช่แค่สัญญาณบ่งบอกผอมแห้งเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ยังมีสัญญาณอันตรายอื่นๆ ได้แก่ [4]
    • ปฏิเสธที่จะทานอาหารบางอย่างหรือหรืออาหารประเภทใดประเภทหนึ่งทั้งหมด (เช่น อาหารที่ “ไม่มีคาร์โบไฮเดรต” และ “ไม่มีน้ำตาล”)
    • มีพฤติกรรมที่เกี่ยวกับการทานอาหาร เช่น เคี้ยวอาหารมากเกินไป เขี่ยอาหารออกไปที่มุมจาน หั่นอาหารให้เป็นชิ้นเล็กๆ ลงไปเรื่อยๆ
    • หมกมุ่นกับการคำนวณอาหารที่ทาน เช่น นับแคลอรี่ตลอดเวลา ชั่งน้ำหนักอาหาร เช็คฉลากโภชนาการสองสามรอบ
    • ปฏิเสธที่จะทานอาหารเพราะว่าคำนวนแคลอรี่ได้ยาก
  2. พิจารณาดูว่าบุคคลนั้นดูหมกมุ่นกับอาหารหรือไม่. แม้ว่าผู้ผอมแห้งจะทานอาหารน้อย แต่บ่อยๆ แล้วพวกเขาจะหมกมุ่นกับอาหาร พวกเขาอาจจะหมกมุ่นกับการอ่านนิตยสารเกี่ยวกับการทำอาหาร สะสมตำราอาหารไว้ ดูรายการทำอาหาร พวกเขาจะพูดคุยบ่อยๆ เกี่ยวกับอาหาร แม้ว่าบทสนทนาของพวกเขาจะกล่าวถึงอาหารในแง่ลบ (เช่น “ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่าใครต่อใครนั้นกินพิซซ่าเมื่อรู้ว่ามันเป็นสิ่งที่แย่") [5]
    • การหมกมุ่นกับอาหารเป็นอาการข้างเคียงของการอดอาหารที่พบได้ทั่วไป งานวิจัยที่สำคัญเกี่ยวกับการอดอาหารได้ทำการทดลองขึ้นในช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่สองได้อธิบายว่าผู้คนที่อดอยากอาหารจะจินตนาการฝันถึงอาหาร พวกเขาจะใช้เวลาอย่างมากมายในการคิดถึงอาหาร พวกเขาจะพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้กับผู้อื่นบ่อยๆ และกับตัวพวกเขาเองด้วย [6]
  3. ถามตัวเองว่าบุคคลนั้นหาข้ออ้างบ่อยๆ ที่จะไม่ทานอาหารหรือไม่. ตัวอย่างเช่น ถ้าเขาได้รับเชิญไปงานเลี้ยงที่มีอาหาร เขาอาจจะบอกว่าเขาทานมาแล้ว [7] เหตุผลอื่นๆ ที่มักจะเป็นข้ออ้างที่หลีกเลี่ยงการทานอาหารได้แก่
    • ฉันก็แค่ไม่หิว
    • ฉันไดเอทอยู่ หรือฉันต้องลดน้ำหนัก
    • ฉันไม่ชอบอาหารอะไรพวกนี้เลย
    • ฉันสุขภาพดี
    • ฉัน “แพ้อาหาร”
  4. สังเกตว่าคนที่คุณรักมีน้ำหนักน้อยกว่ามาตรฐานแต่ก็ยังตั้งเป้าที่จะไดเอท. ถ้าบุคคลนั้นดูผอมมากๆ แต่ก็ยังพูดว่าต้องการลดน้ำหนักลงอีก เขาอาจจะมีมุมมองที่บิดเบือนเกี่ยวกับรูปร่างของตนเอง สิ่งสำคัญที่บ่งบอกว่าเป็นผู้ผอมแห้งก็คือการมอง “รูปร่างของตนเองบิดเบือนจากความเป็นจริง” ซึ่งบุคคลนั้นจะเชื่อเสมอว่าเขานั้นน้ำหนักเกินหรืออ้วนแม้ว่าตนเองเองจะน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์ ผู้ที่เป็นผอมแห้วจะปฏิเสธว่าตนเองนั้นผอมและน้ำหนักน้อย [8]
    • ผู้ที่เป็นแรงบันดาลใจจะสวมชุดขนาดใหญ่หรือหลวมโครกเพื่อปกปิดขนาดร่างกายที่แท้จริงของเขา พวกเขาอาจจะแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าหลายชั้น หรือสวมกางเกงขายาวและแจ็คเก็ตแม้ว่าอากาศจะร้อนสุดๆ ส่วนหนึ่งของการกระทำเช่นนี้เพราะพวกเขาต้องการปกปิดขนาดร่างกายของพวกเขา และอีกเหตุผลหนึ่งก็เป็นเพราะว่าผู้ที่ป่วยโรคอะนอเร็กเซียจะไม่สามารถควบคุมอุณหภูมิร่างกายของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้นพวกเขาจึงรู้สึกหนาวบ่อยๆ
    • อย่ามองข้ามผู้ที่มีน้ำหนักเกินมาตรฐานไปโดยอัตโนมัติ เป็นไปได้ว่าผู้ที่ป่วยโรคอะนอเร็กเซียจะมีร่างกายอ้วนท้วน โรคอะนอเร็กเซีย การจำกัดอาหาร และการลดน้ำหนักอย่างหักโหมเป็นวิธีอัะนตรายทั้งนั้น และไม่ควรรอจนพวกเขามีน้ำหนักต่ำกว่ามาตรฐานถึงจะเข้าไปช่วยเหลือ [9] [10]
  5. ผู้ที่เป็นผอมแห้งจะชดเชยการทานอาหารด้วยการออกกำลังกาย การออกกำลังกายนั้นจะมากเกินไปและจะเข้มงวดมาก [11]
    • ตัวอย่างเช่น บุคคลนั้นอาจจะออกกำลังกายเป็นเวลาหลายชั่วโมงต่ออาทิตย์ และไม่ใช่การฝึกฝนสำหรับกีฬาหรือกิจกรรมบางอย่าง ผู้ที่เป็นผอมแห้งจะยังคงออกกำลังกายต่อไปแม้ว่าพวกเขาจะเหนื่อยหมดแรง ป่วย หรือบาดเจ็บ เพราะพวกเขารู้สึกจำเป็นที่จะต้อง “เผาผลาญ” อาหารที่พวกเขาทานไป
    • การออกกำลังกายเป็นพฤติกรรมชดเชยที่พบได้บ่อยๆ ในผู้ป่วยโรคอะนอเร็กเซียเพศชาย บุคคลนั้นจะเชื่อว่าเขามีน้ำหนักเกินหรืออาจจะไม่พึงพอใจรูปร่างของตนเอง เขาจะหมกมุ่นอยู่กับการสร้างกล้ามเนื้อหรือ “ออกกำลังกายให้เฟิร์ม” มุมมองที่บิดเบือนร่างกายตนเองก็พบได้ในผู้ป่วยชายเช่นกัน พวกเขาจะไม่สามารถรู้ว่าจริงๆ แล้วรูปร่างพวกเขาเป็นอย่างไรและจะเห็นตนเองว่า “อ้วนเผละ” แม้ว่าร่างกายของพวกเขาจะฟิตมากๆ หรือน้ำหนักน้อยกว่ามาตรฐาน [12] [13]
    • ผู้ที่เป็นผอมแห้งที่ไม่สามารถออกกำลังกายได้หรือไม่สามารถออกกำลังกายได้มากเท่าที่พวกเขาอยาก มักจะหงุดหงิด กระสับกระส่าย และรู้สึกรำคาญ
  6. ผอมแห้งจะปรากฏอาการที่ร่างกายมากมาย คุณไม่สามารถระบุได้ว่าบุคคลนั้นเป็นผอมแห้งแค่จากลักษณะภายนอกของพวกเขา [14] จะต้องดูควบคู่ระหว่างอาการที่ปรากฏทางร่างกายและพฤติกรรมที่ผิดปกติ นี่จะเป็นสิ่งบ่งบอกที่ดีที่สุดว่าคนๆ นั้นเป็นโรคการกินผิดปกติ ไม่ใช่ผู้ป่วยทุกคนจะมีอาการเหล่านี้ แต่ผู้ที่เป็นผอมแห้งมักจะแสดงอาการเหล่านี้หลายๆ อย่าง [15]
    • น้ำหนักลดลงเยอะมากและรวดเร็ว
    • ในผู้หญิง จะมีขนที่ใบหน้าและลำตัวที่ผิดปกติ
    • รู้สึกไวต่อความหนาวเย็นมากขึ้น
    • ผมบางหรือผมขี้น
    • มีผิวขาวซีดและแห้ง
    • หมดแรง มึนงง และหน้ามืด
    • ผมและเล็บเปราะบาง
    • นิ้วมือคล้ำเป็นสีน้ำเงิน
    โฆษณา
วิธีการ 2
วิธีการ 2 ของ 5:

พิจารณาภาวะทางอารมณ์ของบุคคลนั้น

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ผู้ที่ป่วยเป็นโรคอะนอเร็กเซียจะมีอารมณ์ที่เหวี่ยงไปมา เพราะว่าฮอร์โมนนั้นไม่สมดุลกันจากการอดอาหารของร่างกาย ความกังวลและความซึมเศร้าก็จะเกิดขึ้นพร้อมกับความผิดปกติในการทานอาหาร [16]
    • ผู้ที่ป่วยเป็นโรคอะนอเร็กเซียมักจะหงุดหงิด ไม่มีชีวิตชีวา และมีปัญหาในการสนใจบางอย่างหรือมีสมาธิ
  2. ผู้ป่วยโรคอะนอเร็กเซียมักจะเป็นผู้ที่คลั่งไคล้ความสมบูรณ์แบบ พวกเขาจะเป็นผู้ที่ตั้งเป้าจะประสบความสำเร็จให้มากกว่าที่หวังไว้ และมีผลการเรียนและการทำงานที่ดี [17] อย่างไรก็ตาม พวกเขามักจะมีความมั่นใจในตนเองในระดับต่ำ ผู้ที่ป่วยเป็นโรคอะนอเร็กเซียมักจะบ่นบ่อยๆ ว่า พวกเขานั้น “ดีไม่พอ” หรือพวกเขา “ไม่สามารถทำอะไรให้ถูกต้องได้” [18]
    • ผู้ที่ป่วยเป็นโรคอะนอเร็กเซียจะมีความมั่นใจในรูปร่างตนเองในระดับต่ำ แม้ว่าพวกเขาอาจจะพูดถึงการมี “น้ำหนักตัวในอุดมคติ” แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะมีน้ำหนักตัวเช่นนั้นเพราะว่ามุมมองของพวกเขานั้นบิดเบี้ยว ซึ่งมันจะต้องมีน้ำหนักอื่นๆ ที่พวกเขารู้สึกจำเป็นที่จะต้องลดอีก
  3. ผู้ที่ป่วยเป็นอะนอเร็กเซียมักจะรู้สึกละอายหลังจากทานอาหารเข้าไป พวกเขาอาจจะตีความการทานอาหารว่าเป็นสัญญาณของความหย่อนยานหรือเป็นความพลาดพลั้งที่ไม่สามารถควบคุมตนเองได้ ถ้าคนที่คุณรักมักจะรู้สึกผิดหลังทานอาหารหรือละอายกับขนาดรูปร่างของพวกเขา นี่อาจจะเป็นสัญญาณของโรคอะนอเร็กเซีย
  4. ลองคิดดูว่าบุคคลนั้นมักจะปลีกตัวออกไปจากสังคมหรือไม่. ผู้ที่เป็นอะนอเร็กเซียอาจจะปลีกตัวออกจากเพื่อนและกิจกรรมต่างๆ [19] พวกเขาอาจจะเริ่มใช้เวลามากขึ้นในโรคออนไลน์ [20]
    • ผู้ที่ป่วยเป็นโรคอะนอเร็กเซียอาจจะใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับเว็บไซต์ “ส่งเสริมโรคอะนอเร็กเซีย (pro-Ana)” ซึ่งเป็นกลุ่มที่สนับสนุนโรคอะนอเร็กเซียว่าเป็นแค่ “ตัวเลือกในการดำรงชีวิต” เป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องจำไว้ว่าโรคอะนอเร็กเซียนั้นมีอาการที่ถึงแก่ชีวิตได้ถ้าไม่ไปรักษาให้หาย มันไม่ใช่ตัวเลือกที่จะมีสุขภาพดีของคนที่มีสุขภาพดี
    • ผู้ที่ป่วยเป็นโรคอะนอเร็กเซียมักจะโพสต์ข้อความที่เป็น “แรงบันดาลใจที่จะมีรูปร่างผอมลง” ลงบนโซเชียลมีเดีย โพสต์ข้อความประเภทนี้อาจจะมีรูปของคนที่น้ำหนักน้อยกว่ามาตรฐานมากๆ หรือข้อความที่ล้อเลียนผู้ที่มีน้ำหนักปกติหรือน้ำหนักเกิน
  5. บุคคลนั้นมักจะใช้เวลาส่วนใหญ่ในห้องน้ำหลังทานอาหารเสร็จ. โรคอะนอเร็กเซียนั้นแบ่งเป็นสองประเภท นั่นคือ ประเภทกินมาก/ออกมาก และ ประเภทที่จำกัดการกินอาหาร ประเภทที่จำกัดการกินอาหารเป็นประเภทที่ผู้คนส่วนใหญ่คุ้นเคย แต่ประเภทกินมาก/ออกมากก็พบได้ปกติเหมือนกัน [21] การกำจัดอาหารให้ออกมาอาจจะเป็นในรูปแบบของการทำให้อาเจียนหลังจากทานอาหารเสร็จ หรือบุคคลนั้นอาจจะใช้ยาระบาย ยาสวนทวาร หรือยาขับปัสสาวะ
    • มีความแตกต่างระหว่างโรคอะนอเร็กเซียประเภทกินมาก/ออกมาก และโรคบูลิเมีย เนอร์โวซา ซึ่งเป็นโรคการกินผิดปกติอีกโรคหนึ่ง โดยมีพฤติกรรมการกินมากและกำจัดออกมากคล้ายกัน ผู้ที่เป็นโรคบูลิเมีย เนอร์โวซาจะไม่ควบคุมแคลอรี่เสมอไป แต่ผู้ที่เป็นอะนอเร็กเซียแบบกินมาก/ออกมากจะจำกัดแคลอรี่อย่างเข้มงวดแม้แต่ตอนที่จะไม่กำจัดอาหารออกก็ตาม
    • ผู้ที่ป่วยเป็นโรคบูลิเมีย เนอร์โวซาจะกินอาหารไปเยอะมากๆ ก่อนที่จะกำจัดออกมา ผู้ที่เป็นอะนอเร็กเซียจะกินอาหารเข้าไปปริมาณน้อยๆ แม้ว่าจะต้องกำจัดออกมา เช่น คุ้กกี้เพียงชิ้นเดียว มันฝรั่งถุงเล็กๆ
  6. ผู้ที่ป่วยเป็นโรคอะนอเร็กเซียจะรู้สึกอายกับความผิดปกติของตน หรือพวกเขาอาจจะเชื่อว่าคุณไม่ “เข้าใจ” พฤติกรรมการทานอาหารของพวกเขาและจะพยายามที่จะไม่กระทำมันให้คุณเห็น ผู้ที่ป่วยโรคอะนอเร็กเซียมักจะพยายามปกปิดพฤติกรรมของพวกเขาเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกตำหนิหรือให้คนอื่นมายุ่ง [22] ตัวอย่างเช่น พวกเขาอาจจะ
    • แอบกินอาหาร
    • เอาอาหารมาซ่อนหรือทิ้งอาหารไป
    • ทานยาหรืออาหารเสริมลดน้ำหนัก
    • ซ่อนยาระบาย
    • โกหกว่าออกกำลังกายไปมากเท่าไหร่
    โฆษณา
วิธีการ 3
วิธีการ 3 ของ 5:

เสนอความช่วยเหลือ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. มันเป็นเรื่องง่ายที่จะตัดสินว่าใครที่ป่วยเป็นโรคการกินผิดปกติ แต่มันอาจจะยากที่จะเข้าใจว่าทำไมคนที่คุณรักถึงทำสิ่งที่ไม่ดีต่อสุขภาพของพวกเขา เรียนรู้ว่าอะไรเป็นสาเหตุของโรคการกินผิดปกติและสิ่งที่พวกเขาต้องทนทุกข์ทรมาน นี่จะช่วยให้คุณเข้าใจและสามารถดูแลคนที่คุณรักได้
    • ตำราจิตเวชศาสตร์ รามาธิบดี ที่เขียนโดยคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล มีแหล่งข้อมูลเรื่องโรคอะนอเร็กเซียและโรคการกินผิดปกติที่แนะนำอย่างมาก
    • ในประเทศสหรัฐอเมริกา มีสมาคมโรคการกินผิดปกติแห่งสหรัฐฯ (The National Eating Disorders Association (NEDA)) ซึ่งเป็นองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไรและมีข้อมูลที่ครอบคลุมเกี่ยวกับโรคนี้เพื่อให้เพื่อนหรือครอบครัวของผู้ป่วยที่เป็นโรคการกินผิดปกติเรียนรู้ได้ นอกจากนี้ยังมีสมาพันธ์เพื่อส่งเสริมการตระหนักรู้เกี่ยวกับโรคการกินอาหารผิดปกติ (The Alliance for Eating Disorders Awareness) ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหากำไรที่มีจุดมุ่งหมายในการให้ความรู้และแหล่งข้อมูลเพื่อทำให้เกิดความตระหนักรู้มากขึ้นเกี่ยวกับโรคการกินผิดปกติและผลของมัน [23] ในประเทศไทย ควรหาข้อมูลที่เพิ่มเติมที่กรมสุขภาพจิต [24]
  2. โรคอะนอเร็กเซียจะทำให้ร่างกายอดอยากและอาจจะทำให้เกิดปัญหาสุขภาพร้ายแรงได้ โดยในผู้หญิงที่มีช่วงอายุระหว่าง 15-24 ปี โรคอะนอเร็กเซียเป็นสาเหตุการตายมากกว่าสาเหตุอื่นๆ ถึง 12 เท่า [25] ในกรณีเหล่านี้มากถึง 20% โรคอะนอเร็กเซียเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตก่อนเวลาอันควร มันจะทำให้เกิดปัญหาสุขภาพต่างๆ ได้หลายอย่าง ได้แก่ [26] [27] [28]
    • อาการขาดประจำเดือนในผู้หญิง
    • เฉื่อยชาและอ่อนเพลีย
    • ไม่สามารถควบคุมอุณหภูมิของร่างกายตนเองได้
    • ระดับการเต้นของหัวใจผิดปกติหรือช้าผิดปกติ (เพราะว่ากล้ามเนื้อหัวใจอ่อนแรง)
    • โลหิตจาง
    • เป็นหมัน
    • สูญเสียความทรงจำหรือเลอะเลือน
    • การทำงานของอวัยวะล้มเหลว
    • มีความเสียหายที่สมอง
  3. หาเวลาที่เหมาะสมที่จะคุยกับบุคคลนั้นอย่างเป็นส่วนตัว. โรคการกินผิดปกติมักจะเป็นปฏิกิริยาของผู้ป่วยตอบโต้กับเรื่องส่วนตัวและเกี่ยวกับสังคมที่ซับซ้อน พวกเขาอาจจะมีปัจจัยทางพันธุกรรมที่ทำให้เป็นโรคนี้ การพูดเกี่ยวกับโรคนี้กับผู้อื่นอาจจะทำให้ผู้ป่วยรูสึกอับอายมากหรือเป็นหัวข้อที่ทำให้ลำบากใจ ขอให้แน่ใจว่าคุณได้เข้าหาคนที่คุณรักในที่ที่เงียบและเป็นส่วนตัว [29]
    • หลีกเลี่ยงการเข้าไปพูดคุยกับบุคคลนั้นถ้ามีใครสักคนรู้สึกโกรธ เหนื่อย เครียด และมีอารมณ์แปลกๆ อื่นๆ นี่จะทำให้การสื่อสารความห่วงใยของคุณไปให้คนๆ นั้นได้ยากขึ้น [30]
  4. ใช้คำพูดที่ขึ้นต้นว่า “ฉัน” เพื่อสื่อสารความรู้สึกของคุณ. การใช้คำพูดที่ขึ้นต้นว่า “ฉัน” จะช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกว่าคุณกล่าวหาโจมตีพวกเขาน้อยลง ให้กำหนดขอบเขตของการสนทนาให้ปลอดภัยและให้บุคคลนั้นสามารถควบคุมได้ ตัวอย่างเช่น คุณอาจจะพูดว่า “ฉันได้สังเกตอะไรบางอย่างเมื่อไม่นานนี้ที่ทำให้ฉันกังวล ฉันเป็นห่วงเธอนะ เราคุยกันหน่อยได้ไหม?”
    • คนที่คุณรักอาจจะป้องกันตนเอง เขาอาจจะปฏิเสธว่ามีปัญหาเรื่องนี้ เขาอาจจะกล่าวหาคุณว่าได้เข้ามายุ่งในชีวิตของพวกเขาหรือมาตำหนิตัดสินอย่างรุนแรง คุณอาจจะต้องพูดย้ำกับคนที่คุณรักให้เขารู้ว่าคุณห่วงใยเขาและจะไม่ตำหนิ แต่เขาควรจะหยุดป้องกันตนเอง
    • ตัวอย่างเช่น ควรหลีกเลี่ยงที่จะพูด “ฉันแค่พยายามจะช่วยเธอ” หรือ “เธอต้องฟังฉัน” คำพูดเช่นนี้จะทำให้ผู้ป่วยรู้สึกว่าตนเองถูกทำร้ายและจะทำให้เขาหยุดฟังคุณ
    • ให้ใช้คำพูดในแง่บวกแทน เช่น “ฉันรักเธอและฉันอยากให้เธอรู้ว่าฉันอยู่ข้างเธอเสมอ” หรือ “ฉันพร้อมที่จะพูดคุยเสมอเมื่อเธอพร้อม” ให้บุคคลนั้นมีตัวเลือกที่จะตัดสินใจเองได้
  5. การใช้คำพูดที่ขึ้นต้นว่า “ฉัน” จะช่วยคุณได้ อย่างไรก็ตาม เป็นเรื่องสำคัญมากที่คุณจะไม่ใช้ภาษาในเชิงตำหนิหรือตัดสิน การพูดเกินจริง การทำให้รู้สึกผิด การขู่บังคับ หรือการกล่าวหา ทั้งหมดนี้จะไม่ช่วยให้บุคคลนั้นเข้าใจความกังวลแท้จริงของคุณ [31]
    • ตัวอย่างเช่น หลีกเลี่ยงที่จะพูดสรรพนาม “เธอ” ขึ้นต้น เช่น “เธอทำให้ฉันเป็นห่วง” หรือ “เธอจะต้องหยุดทำแบบนี้”
    • คำพูดที่เกี่ยวกับความรู้สึกละอายหรือรู้สึกผิดนั้นไม่ได้ผลดีอะไร ตัวอย่างเช่น หลีกเลี่ยงที่จะพูดว่า “คิดถึงสิ่งที่เธอได้ทำให้กับครอบครัวนี้สิ” หรือ “ถ้าเธอเป็นห่วงฉันจริงๆ เธอควรจะต้องเป็นห่วงตัวเองด้วย” ผู้ที่ป่วยเป็นโรคอะนอเร็กเซียรู้สึกละอายกับพฤติกรรมของพวกเขาอยู่แล้วและการพูดอะไรแบบนั้นจะทำให้อาการผิดปกตินี้แย่ลง
    • อย่าขู่คนๆ นั้น เช่น หลีกเลี่ยงที่จะพูดว่า “เธอจะต้องถูกกักบริเวณถ้าการกินอาหารของเธอไม่ดีขึ้น” หรือ “ฉันจะบอกทุกคนเกี่ยวกับปัญหาของเธอถ้าเธอไม่ตกลงที่จะให้ฉันช่วย” นี่จะทำให้บุคคลนั้นเกิดความเครียดอย่างมากและจะทำให้อาการแย่ลง
  6. กระตุ้นให้บุคคลนั้นแบ่งปันความรู้สึกของเขาให้คุณ.เป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องให้เวลาบุคคลนั้นได้เล่าแบ่งปันความรู้สึกของพวกเขาด้วย บทสนทนาข้างเดียวและเป็นแค่ความเห็นของคุณมีแนวโน้มว่าจะไม่ได้ผล [32]
    • อย่าเร่งคนที่คุณรักเมื่อสนทนากัน มันจะต้องใช้เวลาเพื่อกลั่นกรองความคิดและความรู้สึก
    • พูดเน้นย้ำวาคุณจะไม่ตำหนิหรือวิจารณ์ความรู้สึกของคนที่คุณรัก
  7. แนะนำให้บุคคลนั้นทำแบบทดสอบออนไลน์เพื่อตรวจดูว่าเป็นโรคนี้หรือไม่. สมาคมโรคการกินผิดปกติแห่งสหรัฐฯ มีเครื่องมือทดสอบซึ่งไม่เสียค่าใช้จ่ายและไม่เปิดเผยชื่อ ขอให้คนที่คุณรักทำแบบทดสอบนี้ ซึ่งมันจะเป็นวิธี “ที่กดดันเล็กน้อย” เพื่อกระตุ้นให้เขารู้ปัญหาของเขา [33]
    • มีแบบทดสอบสองชุดที่ NEDA ชุดหนึ่งสำหรับนักเรียนนักศึกษาและอีกชุดหนึ่งสำหรับผู้ใหญ่
  8. เน้นย้ำว่าจะต้องไปให้ผู้เชี่ยวชาญช่วยเหลือ. พยายามสื่อสารความกังวลของคุณในวิธีที่มีประสิทธิภาพ ให้เน้นย้ำว่าโรคอะนอเร็กเซียเป็นปัญหาที่ร้ายแรงแต่สามารถรักษาได้ถ้าอยู่ในการดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ [34] ให้กำจัดปมในใจของผู้ป่วยเมื่อต้องพบกับนักบำบัดหรือผู้เชี่ยวชาญที่ให้คำปรึกษา โดยบอกให้เขารู้ว่าการขอความช่วยเหลือไม่ใช่สัญญาณของความล้มเหลวคือความอ่อนแอ และไม่ใช่สัญญาณว่าเขาเป็น “บ้า”
    • ผู้ที่ป่วยเป็นโรคอะนอเร็กเซียมักจะพยายามควบคุมชีวิตของพวกเขาเอง ดังนั้นการเน้นย้ำให้ไปหาการบำบัดก็เป็นการกระทำที่กล้าหาญและเป็นการกระทำที่ควบคุมชีวิตของเขาเองเช่นกัน นี่อาจจะช่วยให้เขายอมรับได้
    • คุณอาจจะกำหนดว่ามันเป็นโรคหรืออาการป่วยก็ได้ ซึ่งก็อาจจะช่วยได้ ตัวอย่างเช่น ถ้าคนที่คุณรักเป็นโรคเบาหวานหรือมะเร็ง คุณก็อยากให้เขาไปรับการช่วยเหลือจากแพทย์ นี่ก็ไม่ต่างกันเลย คุณก็แค่ขอให้คนๆ นั้นไปขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญเพราะมันเป็นอาการป่วย
    • ชมรมจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นแห่งประเทศไทยได้รวบรวมชื่อโรงพยาบาลที่มีบริการด้านจิตเวชและวัยรุ่นและรายชื่อจิตแพทย์ที่เว็บไซต์ ในส่วนนี้จะช่วยให้คุณหาผู้เชี่ยวชาญที่จะให้คำปรึกษาหรือนักบำบัดที่เชี่ยวชาญเรื่องโรคอะนอเร็กเซียได้ [35]
    • โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าบุคคลนั้นยังมีอายุน้อยหรือเป็นวัยรุ่น การบำบัดที่ครอบครัวอาจจะช่วยได้ งานวิจัยบางชิ้นระบุว่าการบำบัดที่ครอบครัวนั้นมีประสิทธิภาพกับผู้ป่วยวัยรุ่น มากกว่า การบำบัดแค่บุคคลนั้นเพียงคนเดียวเพราะมันจะช่วยชี้ชัดรูปแบบการสื่อสารที่ไม่มีประสิทธิภาพภายในครอบครัวรวมถึงเสนอทางให้ทุกคนร่วมกันเป็นกำลังใจให้ผู้ป่วย [36]
    • ในกรณีที่รุนแรง การรักษาอาจจะต้องทำในทันที นี่เป็นสิ่งที่พบได้เมื่อผู้ป่วยน้ำหนักน้อยกว่าเกณฑ์อย่างมากและมีความเสี่ยงสูงที่อวัยวะในร่างกายจะล้มเหลว ผู้ที่มีภาวะทางจิตไม่มั่นคงหรือมีความคิดที่จะฆ่าตัวตายอาจจะต้องรับการรักษาอย่างทันที [37]
  9. เป็นเรื่องยากที่จะต้องจัดการกับการทนเห็นคนที่คุณรักต้องดิ้นรนกับโรคการกินผิดปกติ และมันจะเป็นเรื่องที่ยากยิ่งกว่าถ้าคนที่คุณรักปฏิเสธที่จะรับรู้ว่ามีปัญหานี้อยู่ ซึ่งก็พบทั่วไปในผู้ป่วยที่เป็นโรคการกินผิดปกติ ให้ไปขอความช่วยเหลือจากนักบำบัดด้วยตนเองหรือกลุ่มที่ให้การสนับสนุนเรื่องนี้ซึ่งก็จะทำให้คุณเข้มแข็งขึ้น
    • แพทย์ของคุณอาจจะแนะนำกลุ่มสนับสนุนท้องถิ่นหรือแหล่งสนับสนุนความช่วยเหลืออื่นๆ
    • การหาคำปรึกษาเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมากโดยเฉพาะกับผู้ปกครองที่ลูกเป็นโรคอะนอเร็กเซีย เป็นเรื่องสำคัญที่จะไม่ควบคุมหรือเอาสิ่งของมาล่อให้พฤติกรรมการกินของเด็กดีขึ้น แต่ในขณะเดียวกันมันก็เป็นเรื่องยากสำหรับคุณที่จะเห็นว่าลูกของคุณกำลังเสี่ยงอันตรายอยู่ การบำบัดและศูนย์ให้คำแนะนำต่างๆ จะช่วยให้คุณเรียนรู้วิธีที่จะสนับสนุนและให้การช่วยเหลือลูกของคุณโดยไม่ทำให้อาการความผิดปกตินี้แย่ลงกว่าเดิม
    โฆษณา
วิธีการ 4
วิธีการ 4 ของ 5:

ช่วยคนที่คุณรักเพื่อให้หายจากโรคนี้

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ยืนยันรับรู้ความรู้สึก การพยายาม และการประสบความสำเร็จของคนที่คุณรัก. ด้วยการใช้การรักษาวิธีนี้ ผู้ที่ป่วยเป็นโรคการกินผิดปกติประมาณ 60% หายจากโรคได้ [38] อย่างไรก็ตาม มันอาจจะใช้เวลาเป็นปีๆ ที่จะหายขาด บางคนอาจจะทรมานจากความรู้สึกและอึดอัดกับรูปร่างของตนเอง หรือรู้สึกดึงดูดที่จะกลับไปอดอาหารหรือกินอาหารแล้วกำจัดออก แม้ว่าพวกเขาจะพยายามควบคุมไม่ให้กลับไปทำพฤติกรรมที่ทำร้ายตนเองแบบนั้นอีก ให้กำลังใจคนที่คุณรักให้ผ่านช่วงนี้ไปได้
    • ให้ฉลองความสำเร็จแม้ว่าจะเป็นความสำเร็จเล็ก ๆน้อยๆ สำหรับผู้ที่ป่วยเป็นโรคอะนอเร็กเซีย แม้แต่การทานอาหารที่ดูมีปริมาณน้อยมากๆ สำหรับคุณอาจจะเป็นเรื่องที่พวกเขาต้องใช้ความพยายามอย่างมาก
    • อย่าตำหนิเมื่อพวกเขากลับไปมีอาการแบบเดิม ขอให้แน่ใจว่าพวกเขาได้รับการเอาใจใส่อย่างเพียงพอ แต่อย่าตำหนิพวกเขาที่พวกเขากำลังพยายามหรือทำพลั้งพลาด ขอให้รับรู้ว่าพวกเขาได้มีอาการแบบเดิม จากนั้นให้สนใจให้พวกเขากลับมาสู่แผนการรักษา
  2. ในบางกรณี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่เกี่ยวกับผู้ป่วยอายุน้อย การรักษาจะต้องอาศัยการปรับเปลี่ยนกิจวัตรของเพื่อนและครอบครัวด้วย ขอให้คุณพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงบางสิ่งซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญในการรักษาคนที่คุณรักให้หาย
    • ตัวอย่างเช่น นักบำบัดอาจจะแนะนำให้เปลี่ยนวิธีการสื่อสารบางอย่างหรือวิธีการจัดการกับความขัดแย้ง
    • มันเป็นเรื่องยากที่จะรู้ได้ว่าบางสิ่งที่คุณทำหรือพูดนั้นมีผลกับความผิดปกติของคนที่คุณรัก ขอให้ระลึกไว้ว่า คุณไม่ได้เป็น สาเหตุ ของความผิดปกตินี้ แต่คุณอาจจะช่วยคนที่คุณรักให้หายเป็นปกติได้ถ้าคุณเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมบางอย่างได้ การหายและมีสุขภาพดีเป็นเป้าหมายสูงสุดของคุณ
  3. บางครั้งคุณอาจจะหลุดไปอยู่ในโหมด “ช่วยเหลือ” ผู้ป่วยให้หายจากโรคอยู่ตลอดเวลา และทำให้บุคคลนั้นรู้สึกอึดอัดที่จะเอาชนะโรคการกินปกติ ขอให้ระลึกไว้ว่าผู้ที่ป่วยเป็นโรคอะนอเร็กเซียนั้นได้ใช้เวลาอย่างมากในการคิดถึงอาหาร น้ำหนัก รูปร่างของตนเอง อย่าให้ความผิดปกตินี้เป็นสิ่งเดียวที่คุณพูดถึงหรือเน้นย้ำ
    • ตัวอย่างเช่น ให้ออกไปดูหนัง ไปช้อปปิ้ง เล่นเกมหรือกีฬา ให้ปฏิบัติกับเขาด้วยความเอาในใจใส่และอ่อนโยน แต่ก็ให้พวกเขาใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในวิถีทางที่เป็นปกติที่สุด
    • ระลึกไว่ว่าผู้ที่ป่วยเป็นโรคการกินผิดปกติไม่ใช่ความผิดปกติเสียเอง พวกเขาเป็นผู้คนที่มีความต้องการ ความคิดและความรู้สึก
  4. ทำให้เขาระลึกเสมอว่าพวกเขาไม่ได้อยู่ตามลำพัง. การต่อสู้กับโรคการกินผิดปกติอาจจะทำให้รู้สึกโดดเดี่ยวอย่างมากได้ แม้ว่าคุณจะไม่อยากให้คนที่คุณรักรู้สึกอึดอัด แต่ก็ให้เตือนเขาให้รู้ว่าเขายังมีคุณอยู่เพื่อพูดคุยและเป็นกำลังใจที่จะช่วยให้เขาหายจากโรคนี้
    • หากลุ่มสนับสนุนหรือกลุ่มกิจกรรมที่คนที่คุณรักจะสามารถเข้าร่วมได้ แต่ก็ให้พวกเขามีตัวเลือกที่จะเลือกเองได้
  5. คุณที่คุณรักอาจจะพบว่าคนบางคน บางสถานการณ์ หรือบางสิ่งว่าเป็น “สิ่งกระตุ้น" อาการผิดปกติของพวกเขา ตัวอย่างเช่น การมีคนทานไอศกรีมอยู่รอบๆ อาจจะเป็นการล่อใจให้อยากกินแต่ก็มีความรู้สึกอยากระงับไว้ การออกไปทานข้าวอาจจะทำให้รู้สึกกังวลเกี่ยวกับอาหาร ให้เป็นกำลังใจให้เขามากๆ มันจะต้องใช้เวลาที่จะค้นพบสิ่งกระตุ้นและมันอาจจะโผล่ออกมาทำให้คนที่ป่วยเป็นโรคนี้ประหลาดใจได้ [39]
    • อารมณ์และประสบการณ์ในอดีตอาจจะเป็นสิ่งกระตุ้นพฤติกรรมที่ไม่ดีกับสุขภาพได้
    • ประสบการณ์หรือสถานการณ์ใหม่ๆ หรือที่ทำให้รู้สึกเครียดอาจจะเป็นสิ่งกระตุ้นได้ บางคนที่ป่วยเป็นโรคอะนอเร็กเซียรู้สึกอยากที่จะควบคุมสิ่งต่างๆ และสถานการณ์ที่ทำให้เขาไม่มั่นใจอาจจะเป็นการกระตุ้นให้กลับไปมีพฤติกรรมการกินอาหารที่ไม่ดี
    โฆษณา
วิธีการ 5
วิธีการ 5 ของ 5:

หลีกเลี่ยงการทำให้ปัญหาแย่ลงกว่าเดิม

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ระงับความพยายามที่จะควบคุมพฤติกรรมของบุคคลนั้น. อย่าไปบังคับบุคคลนั้นให้กินอาหาร อย่าเอารางวัลมาล่อให้เขากินอาหารให้มากขึ้น หรือพูดขู่บังคับ บางครั้งโรคอะนอเร็กเซียเป็นผลจากปฏิกิริยาของผู้ป่วยต่อการที่พวกเขาไม่สามารถควบคุมชีวิตของเขาเองได้ การพยายามที่จะมีอำนาจหรือควบคุมคนที่คุณรักอาจจะทำให้ปัญหานี้แย่ลง
    • อย่าพยายาม “แก้ไข” ปัญหาของคนที่คุณรัก การหายจากโรคนี้เป็นสิ่งที่ซับซ้อนพอๆ กันกับโรคการกินผิกปกติ การพยายาม “แก้ไข” คนที่คุณรักอาจจะเป็นอันตรายมากกว่าจะเป็นผลดี ให้กระตุ้นให้เขาไปพบผู้เชี่ยวชาญด้านปัญหาสุขภาพจิตแทน
  2. หลีกเลี่ยงการแสดงความคิดเห็นเรื่องพฤติกรรมและรูปร่างหน้าตาของบุคคลนั้น. ผู้ป่วยโรคอะนอเร็กเซียจะรู้สึกอับอายอย่างมาก แม้แต่เป็นการแสดงความเห็นดีๆ เกี่ยวกับรูปร่างหน้าตา พฤติกรรมการกิน หรือน้ำหนักของคนที่คุณรัก นี่อาจจะกระตุ้นให้ผู้ป่วยรู้สึกรังเกียจและละอายกับตนเอง
    • การชื่นชมเป็นสิ่งที่ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น เพราะว่าผู้ป่วยมีมุมมองของร่างกายตนเองที่บิดเบี้ยว เขามีแนวโน้มว่าจะไม่เชื่อคุณ เขาอาจจะตีความคำชมของคุณว่าเป็นการตำหนิหรือการเข้ามาควบคุม [40]
  3. หลีกเลี่ยง “การล้อเลียนคนอ้วน” หรือ “ล้อเลียนคนผอม”. น้ำหนักตัวที่มีสุขภาพดีของแต่ละคนอาจจะแตกต่างกัน ถ้าคนที่คุณรักบอกว่าเธอรู้สึก “อ้วน” เป็นเรื่องสำคัญที่จะ ไม่ ตอบกลับโดยพูดอะไรแบบนี้ เช่น “เธอไม่อ้วน” นี่จะเป็นการเน้นย้ำว่า “ความอ้วน” เป็นสิ่งที่ไม่ดีและเป็นสิ่งที่ควรจะกลัวหรือหลีกเลี่ยง [41]
    • ในทางเดียวกัน อย่าชี้ไปที่คนผอมและแสดงความเห็นเกี่ยวกับรูปร่างของพวกเขา เช่น “ไม่มีใครอยากกอดคนที่ผอมเป็นกระดูกแบบนั้นหรอก” คุณอยากจะให้คนที่คุณรักปรับปรุงมุมมองเกี่ยวกับการมีรูปร่างที่มีสุขภาพดี ดังนั้นอย่าไปเน้นที่ความกลัวหรือการลดคุณค่าของรูปร่างบางประเภท
    • ให้ถามคนที่คุณรักแทนว่าความรู้สึกเช่นนี้มาจากที่ไหน ถามเขาว่าเขาคิดว่าจะได้อะไรถ้าผอมลงไปอีก หรือถามเขาว่าเขากลัวอะไรเกี่ยวกับการรู้สึกว่าน้ำหนักเกิน
  4. โรคอะนอเร็กเซียและโรคการกินผิดปกติเป็นโรคที่ซับซ้อนมากและอาจจะเกิดร่วมกับอาการป่วยอื่นๆ เช่น โรควิตกกังวล และโรคซึมเศร้า เพื่อนและสื่อต่างๆ รอบตัวอาจจะมีบทบาทที่ทำให้เป็นโรคนี้ รวมทั้งครอบครัวและสถานการณ์สังคมอื่นๆ ด้วย การพูดอะไรเช่น “ถ้าเธอกินให้มากหน่อย ทุกอย่างก็คงโอเค” นี่เป็นการเพิกเฉยความซับซ้อนของปัญหาที่คนที่คุณรักกำลังต่อสู้อยู่
    • ให้พูดกำลังใจโดยใช้คำพูดที่ขึ้นต้นด้วย “ฉัน” แทน เช่น “ฉันรู้ว่านี่เป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากของเธอ” หรือ “การเปลี่ยนแปลงการกินอาจจะเป็นเรื่องยาก ฉันเชื่อมั่นในตัวเธอนะ”
  5. การพยายามที่จะทำให้ทุกอย่างนั้น “สมบูรณ์แบบ” เป็นปัจจัยที่จะกระตุ้นโรคอะนอเร็กเซีย อย่างไรก็ตาม ความสมบูรณ์แบบเป็นวิธีการคิดที่ไม่ดีและจะขัดขวางให้คุณปรับเปลี่ยนและยืดหยุ่นตนเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญของการประสบความสำเร็จในชีวิต [42] มันจะทำให้คุณมีมาตรฐานที่เป็นไปไม่ได้ ไม่สามารถทำได้จริง และปรับเปลี่ยนอะไรไม่ได้ [43] อย่าคาดหวังความสมบูรณ์แบบจากคนที่คุณรักหรือจากตัวคุณเอง การรักษาให้หายจากโรคการกินผิดปกติอาจจะใช้เวลานานและคุณทั้งสองจะมีเวลาเมื่อคุณกระทำในสิ่งที่รู้สึกผิด
    • รับรู้เมื่อใครสักคนหนึ่งหลุดไปทำอะไรที่ผิด แต่ไม่ต้องไปสนใจหรือทำร้ายตนเอง ให้เน้นไปที่คุณสามารถเดินหน้าต่อไปยังไงเพื่อที่จะหลีกเลี่ยงการทำผิดแบบเดิม
  6. เป็นเรื่องง่ายมากที่จะตกลงกับคนที่คุณรักว่าจะเก็บเรื่องอาการผิดปกติเป็นความลับเพื่อที่จะให้เขาเชื่อใจ อย่างไรก็ตาม คุณก็คงไม่อยากสนับสนุนพฤติกรรมของเขา อะนอเร็กเซียเป็นสาเหตุการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรถึง 20% ในผู้ป่วยโรคนี้ [44] เป็นเรื่องสำคัญที่คุณจะเป็นกำลังใจให้คนที่คุณรักหาความช่วยเหลือ
    • เข้าใจว่าคนที่คุณรักอาจจะรู้สึกโกรธคุณในตอนแรกหรืออาจจะปฏิเสธคำแนะนำที่เธอต้องการ นี่เป็นเรื่องปกติ แค่ยังอยู่เคียงข้างเขาและให้เขารู้ว่าคุณเป็นกำลังใจและห่วงใยเขา
    โฆษณา

เคล็ดลับ

  • มีความแตกต่างระหว่างการออกกำลังกายและรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพกับโรคการกินผิดปกติ บางคนที่ใส่ใจอาหารและออกกำลังกายอย่างเป็นประจำจะมีสุขภาพที่ดี ถ้าคุณสังเกตว่าคนๆ นั้นดูจะหมกมุ่นกับอาหารและการออกกำลังกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกเขากังวลและโกหกเกี่ยวกับมัน คุณอาจจะมีเหตุผลที่จะต้องกังวลเกียวกับโรคการกินผิดปกติ
  • อย่าคิดไปเองว่าใครบางคนเป็นโรคอะนอเร็กเซียเพราะว่าเขาผอมมาก และอย่าคิดไปเองว่าเขาไม่ได้เป็นโรคอะนอเร็กเซียเพราะว่าเขาไม่ผอม คุณไม่สามารถบอกได้ว่าใครเป็นโรคอะนอเร็กเซียจากขนาดรูปร่างของเขาเพียงอย่างเดียว
  • อย่าล้อเลียนใครบางคนที่คุณคิดว่าเป็นโรคอะนอเร็กเซีย ผู้ป่วยโรคอะนอเร็กเซียมักจะรู้สึกเหงา ไม่มีความสุข และเจ็บปวด พวกเขาอาจจะกังวล หดหู่ และอาจจะถึงขั้นฆ่าตัวตายได้ พวกเขาไม่อยากถูกวิพากษ์วิจารณ์ นี่จะทำให้เรื่องแย่ลง
  • อย่าบังคับให้ผู้ป่วยอะนอเร็กเซียไปทานอาหารข้างนอกที่ร้านหรู ผู้ป่วยอะนอเร็กเซียจะป่วยลงกว่าเดิม แม้ว่าร่างกายเขาจะปกติดีหลังจากที่กินอาหาร ปริมาณแคลอรี่ที่ผู้ป่วยได้รับจะทำให้ผู้ป่วยอยากอดอาหารและออกกำลังกาย ซึ่งจะทำให้ปัญหาสุขภาพแย่ลง
  • ขอให้ระลึกไว่ว่าถ้าบุคคลนั้นป่วยเป็นโรคอะนอเร็กเซีย มันไม่ใช่ความผิดของใคร อย่ากลัวที่จะยอมรับปัญหาและอย่าตำหนิผู้ป่วย
  • ถ้าคุณคิดว่าคุณเองหรือใครสักคนป่วยเป็นโรคอะนอเร็กเซีย ให้บอกคนที่คุณไว้ใจ พูดคุยกับครู ผู้ให้คำปรึกษา บุคคลสำคัญทางศาสนา หรือผู้ปกครอง หาคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ ความช่วยเหลือนั้นมีอยู่แต่คุณจะไม่ได้มันถ้าคุณไม่กล้าที่จะพูดมันออกไป
โฆษณา
  1. http://www.today.com/health/200-pound-anorexic-obese-teens-risk-disorder-its-often-unrecognized-4B11216388
  2. https://www.nationaleatingdisorders.org/anorexia-nervosa
  3. http://www.nationaleatingdisorders.org/anorexia-nervosa-males
  4. Strother, E., Lemberg, R., Stanford, S. C., & Turberville, D. (2012). Eating Disorders in Men: Underdiagnosed, Undertreated, and Misunderstood. Eating Disorders, 20(5), 346-355. doi:10.1080/10640266.2012.715512
  5. https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/anorexia-nervosa/symptoms-causes/syc-20353591
  6. https://www.nationaleatingdisorders.org/anorexia-nervosa
  7. http://eatingdisorder.org/eating-disorder-information/anorexia-nervosa/
  8. http://www.medicinenet.com/anorexia_nervosa/page5.htm#what_are_anorexia_symptoms_and_signs_psychological_and_behavioral
  9. https://www.nationaleatingdisorders.org/anorexia-nervosa
  10. https://www.nationaleatingdisorders.org/anorexia-nervosa
  11. http://eatingdisorder.org/eating-disorder-information/anorexia-nervosa/
  12. https://www.nationaleatingdisorders.org/anorexia-nervosa
  13. Becker, A. E., Eddy, K. T., & Perloe, A. (2009). Clarifying criteria for cognitive signs and symptoms for eating disorders in DSM-V. International Journal Of Eating Disorders, 42(7), 611-619. doi:10.1002/eat.20723
  14. http://www.nimh.nih.gov/health/topics/eating-disorders/index.shtml
  15. http://www.dmh.go.th/newdmh/
  16. https://www.nationaleatingdisorders.org/get-facts-eating-disorders
  17. https://www.nationaleatingdisorders.org/get-facts-eating-disorders
  18. http://www.allianceforeatingdisorders.com/portal/did-you-know#.VT-e9CFViko
  19. http://www.nimh.nih.gov/health/topics/eating-disorders/index.shtml#part_145415
  20. http://www.nimh.nih.gov/health/topics/eating-disorders/index.shtml
  21. http://www.nedc.com.au/what-to-say-and-do
  22. http://www.nedc.com.au/what-to-say-and-do
  23. http://www.nedc.com.au/what-to-say-and-do
  24. http://www.nationaleatingdisorders.org/online-eating-disorder-screening
  25. https://www.nationaleatingdisorders.org/anorexia-nervosa
  26. http://www.rcpsycht.org/cap/workhospital.php
  27. http://med.stanford.edu/news/all-news/2010/10/family-therapy-for-anorexia-more-effective-than-individual-therapy-researchers-find.html
  28. https://www.nationaleatingdisorders.org/treatment-settings-and-levels-care
  29. http://www.anred.com/stats.html
  30. http://www.anred.com/causes.html
  31. http://www.helpguide.org/articles/eating-disorders/helping-someone-with-an-eating-disorder.htm
  32. http://www.helpguide.org/articles/eating-disorders/helping-someone-with-an-eating-disorder.htm
  33. http://nymag.com/scienceofus/2014/09/alarming-new-research-on-perfectionism.html
  34. http://www.healthychildren.org/English/ages-stages/young-adult/Pages/The-Problem-with-Perfectionism.aspx
  35. http://www.anad.org/get-information/about-eating-disorders/eating-disorders-statistics/

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 9,277 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา