ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

ตับ เป็นอวัยวะภายในขนาดใหญ่ รูปร่างเหมือนลูกรักบี้ อยู่แถวๆ ด้านขวาบนของท้องเรา ถือเป็นอวัยวะสำคัญที่ช่วยให้ร่างกายทำงานได้ดีมีประสิทธิภาพ ตับช่วยฟอกเลือด ขับสารพิษและสารเคมีอันตรายที่ร่างกายสร้างแล้วเข้ากระแสเลือด นอกจากนี้ตับยังสร้างน้ำดี ช่วยย่อยไขมันในอาหาร รวมถึงกักเก็บน้ำตาล (กลูโคส) ที่เอาไว้ใช้ตอนร่างกายต้องการพลังงานได้ [1] ภาวะตับโต เรียกว่า hepatomegaly ไม่ใช่โรค แต่เป็นอาการของโรคต่างๆ เช่น โรคพิษสุรา (alcoholism), ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ (viral infection (hepatitis)), การเผาผลาญผิดปกติ (metabolic disorder), มะเร็ง, นิ่วในถุงน้ำดี (gallstones) และโรคหัวใจบางชนิด ถ้าอยากรู้ว่าตัวเองตับโตไหม ก็ต้องรู้จักสังเกตสัญญาณต่างๆ และลักษณะอาการ ไปตรวจร่างกายกับคุณหมอ และระวังปัจจัยเสี่ยงต่างๆ

ส่วน 1
ส่วน 1 ของ 3:

รู้จักสัญญาณและลักษณะอาการ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. Jaundice หรือโรคดีซ่าน อาการคือมีตัว มูกหรือเมือก ไปจนถึงตาขาวกลายเป็นสีเหลือง เพราะบิลิรูบิน (bilirubin) ในกระแสเลือดเยอะเกินไป Bilirubin เป็นสารสีส้มเหลืองที่พบได้ในน้ำดีของตับนั่นเอง [2] ปกติตับที่แข็งแรงดีจะกำจัด bilirubin ส่วนเกินได้ ถ้าตกค้าง แสดงว่าตับมีปัญหา [3]
    • นอกจากตัวและตาเหลืองแล้ว อาการอื่นๆ ของดีซ่านก็เช่น เหนื่อยล้า ปวดท้อง น้ำหนักลด อาเจียน ไข้ขึ้น อึสีซีด และฉี่สีเข้ม
    • ปกติดีซ่านจะแสดงอาการก็ต่อเมื่อตับเสียหายหนักแล้ว เพราะงั้นต้องรีบไปหาหมอโดยด่วน ถ้ามีอาการตามที่ว่า
  2. ท้องบวมหรือใหญ่กว่าปกติทั้งๆ ที่ไม่ได้ตั้งครรภ์ มักเป็นสัญญาณบอกว่ามีไขมัน ของเหลว หรือของเสียสะสม ไม่ก็เนื้องอก ซีสต์ เนื้องอกมดลูก หรืออวัยวะอื่นๆ เกิดโตขึ้นมา เช่น ตับ หรือม้าม [4] ถ้าอาการหนักมาก อาจท้องโตเหมือนคนท้อง 8 เดือนได้เลย สาเหตุอื่นๆ ที่ทำให้ท้องบวมก็เช่นเป็นอาการของโรคต่างๆ ไม่ว่าข้อไหนก็ควรไปตรวจร่างกายก่อน [5]
    • ถ้าท้องบวมเพราะมีของเหลวคั่ง จะเรียกว่า ascites หรือท้องมาน เป็นอาการที่พบบ่อยเมื่อตับโต
    • พอท้องบวมแล้วมักตามด้วยอาการไม่ค่อยอยากอาหาร เพราะ “รู้สึกอิ่ม” จนกินไม่ลง เป็นอาการที่เรียกว่า “ภาวะอิ่มเร็ว (early satiety)” หรือบางคนก็ไม่อยากอาหารเลยเพราะท้องอืดแน่นท้องนั่นเอง [6]
    • บางคนก็ขาบวมด้วย [7]
    • ปวดท้อง โดยเฉพาะด้านขวาบน เป็นสัญญาณบอกตับโตเช่นกัน ยิ่งถ้ามีอาการอื่นๆ ร่วมด้วยยิ่งชัดเจน [8]
  3. ถ้ามีไข้ ไม่ค่อยอยากอาหาร คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้องด้านขวาบน และน้ำหนักลด ไม่ได้แปลว่าเป็นตับโตเสมอไป แต่เป็นสัญญาณของโรคตับและตับโตได้ ถ้าอาการหนัก เป็นนานไม่ยอมหาย หรืออยู่ๆ ก็เป็น [9]
    • อาการไม่ค่อยอยากอาหาร หรือไม่อยากอาหารเลย มักเกิดควบคู่ไปกับอาการท้องบวม ตามที่กล่าวไปด้านบน นอกจากนี้ยังเป็นสัญญาณบอกความผิดปกติในถุงน้ำดี ที่ผู้ป่วยมักไม่อยากอาหารเพราะกินแล้วปวดท้อง แต่อาการไม่อยากอาหารบางทีอาจเกิดเพราะมะเร็งหรือตับอักเสบได้เช่นกัน
    • ปกติคุณหมอจะฟันธงว่าน้ำหนักตัวลด ก็ต่อเมื่อลดลงไปเกิน 10% ของน้ำหนักตัวคุณ ถ้าคุณไม่ได้จงใจลดน้ำหนักเอง แล้วสังเกตว่าตัวเองน้ำหนักลดผิดปกติ แนะนำให้พบแพทย์จะดีกว่า [10]
    • มีไข้แปลว่ามีการอักเสบในส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย ปกติตับโตได้ถ้ามีการติดเชื้อ เช่น ตับอักเสบ เพราะงั้นต้องหมั่นสังเกตและวัดไข้เมื่อเป็น
    • อึที่สีซีด เทาอ่อน ไปจนขาว อาจเป็นสัญญาณบอกโรคตับ [11]
  4. ถ้าเกิดอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยมากทั้งๆ ที่ออกแรงเล็กน้อย เป็นไปได้ว่าตับสูญเสียสารอาหารที่กักตุนไว้ ทำให้ร่างกายไปดูดจากกล้ามเนื้อเป็นแหล่งพลังงานทดแทน [12]
    • อาการอ่อนเพลียเป็นสัญญาณของโรคตับได้ โดยมักมีอาการบวมร่วมด้วย อย่างโรคไวรัสตับอักเสบและมะเร็ง ก็ทำให้อ่อนเพลียได้ทั้งนั้น
  5. พอตับเสียหาย คุณอาจมีอาการ pruritus (คันตามผิวหนัง) จะเฉพาะจุดหรือทั้งตัวก็ได้ เป็นอาการที่เกิดเมื่อท่อน้ำดีที่ตับอุดกั้น ทำให้เกลือน้ำดีที่เข้าสู่กระแสเลือดสะสมคั่งค้างในผิว จนเกิดอาการคัน [13]
    • บางทีก็คันจนอยากเกาหนักๆ แต่ถ้ากลัวจะเป็นโรคตับ แนะนำให้รีบไปหาหมอก่อน
  6. spider angiomas (หรือ spider nevi) คืออาการหลอดเลือดโป่งพอง แผ่กระจายจากจุดแดงตรงกลางออกไป จนเหมือนใยแมงมุม ปกติจะเกิดตามหน้า คอ มือ และหน้าอกท่อนบน ซึ่งเป็นสัญญาณที่พบบ่อยของโรคตับและตับอักเสบ [14]
    • ถ้ามี spider nevus แค่เส้นเดียว ก็ไม่ค่อยน่าเป็นห่วงเท่าไหร่ แต่ถ้ามีโรคหรืออาการอื่นร่วมด้วย เช่น เซื่องซึม อ่อนเพลีย ท้องอืด/บวม หรืออาการของดีซ่าน ให้รีบไปหาหมอ เพราะเป็นอาการของโรคตับ แต่ถ้ามี spider nevi เยอะจนผิดสังเกต ให้รีบไปหาหมอทันที เพราะตับผิดปกติแน่นอน [15]
    • ขนาดของ spider angiomas จะแตกต่างกันไป จากเล็กๆ ไปจนถึงเส้นผ่านศูนย์กลาง 5 มม.
    • ถ้าใช้นิ้วออกแรงกดพอประมาณ สีแดงจะหายไป 1 - 2 วินาที กลายเป็นสีขาว (blanching หรือหลอดเลือดหดตัว) เพราะเลือดไหลออกจากจุดนั้น
    โฆษณา
ส่วน 2
ส่วน 2 ของ 3:

ตรวจร่างกายกับคุณหมอ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ขั้นแรก คุณหมอจะเช็คประวัติการรักษาและซักถามอาการ ซึ่งคุณต้องอธิบายให้ละเอียดและตรงไปตรงมา เพื่อประโยชน์ในการรักษา
    • บางทีคุณหมออาจจะถามอะไรที่เป็นส่วนตัวมากๆ เช่น คุณเคยใช้สารเสพติดหรือติดแอลกอฮอล์ไหม ไปจนถึงเรื่องคู่นอน ขอให้ตอบไปตามจริง เพราะสำคัญต่อการตรวจรักษามาก ย้ำว่าต้องตอบชัดเจนและตรงตามความเป็นจริง
    • ถ้าใช้ยา อาหารเสริม รวมถึงวิตามินและสมุนไพรอะไรอยู่ ก็ต้องแจ้งให้คุณหมอทราบด้วย
  2. การตรวจร่างกาย (clinical physical examination) เป็นขั้นแรกของการตรวจวินิจฉัยอาการตับโต คุณหมอจะเริ่มจากตรวจผิวหาดีซ่านและ spider angiomas ถ้าคุณไม่ได้แจ้งอาการที่ว่า ต่อมาก็ตรวจตับโดยใช้มือกดตามหน้าท้อง [16]
    • ตับโตคลำ/กดแล้วจะรู้สึกต่างจากปกติ นุ่มหรือแข็ง มีหรือไม่มีก้อน ก็ขึ้นอยู่กับโรคต้นเหตุ การกดหรือคลำตามหน้าท้อง จะช่วยระบุขนาดและผิวสัมผัสของตับได้ คุณหมอจะได้ใช้ประเมินระยะของตับโตต่อไป ปกติการตรวจตับโตมี 2 วิธีด้วยกัน คือ percussion test กับ palpation test
  3. percussion เป็นวิธีตรวจหาขนาดตับ ให้แน่ใจว่าตับไม่ใหญ่เกิน costal margin (ชายโครง) ที่เป็นเหมือนเกราะปกป้องตับ เป็นการสำรวจอวัยวะภายในโดยวิเคราะห์จากเสียงสะท้อน คุณหมอจะตรวจโดยเคาะที่หน้าท้อง แล้วฟังเสียงที่ได้ ถ้าเสียงทึบยาวเลยชายโครงลงไปเกิน 1 นิ้ว (2.5 ซม.) เป็นไปได้มากว่าตับโต ถ้าท้องบวมด้วย การทดสอบนี้อาจจะได้ผลไม่ชัดเจน จะแน่ใจได้ต้องทำอัลตราซาวด์ [17] [18]
    • ถ้าคุณหมอถนัดขวา จะวางมือซ้ายที่หน้าอก แล้วใช้นิ้วกลางกดลงไปที่ผนังทรวงอก จากนั้นใช้นิ้วกลางขวาเคาะตรงกลางของนิ้วกลางมือซ้าย โดยออกแรงจากข้อมือ (เหมือนเล่นเปียโน)
    • เริ่มตรวจจากใต้หน้าอก เคาะแล้วจะได้ยินเสียงก้องๆ เหมือนกลองทิมปานี เพราะเป็นตำแหน่งของปอด ซึ่งในปอดมีอากาศอยู่
    • คุณหมอจะค่อยๆ เคาะไล่ลงไปช้าๆ เป็นเส้นตรง เหนือตับ คอยฟังเสียงที่จะเปลี่ยนจากเสียงก้องๆ โล่งๆ ไปเป็นเสียงทึบดัง “ตุ้บ” แปลว่าอยู่เหนือตับแล้ว ซึ่งจะเป็นเสียงทึบแบบนี้ไปเรื่อยๆ ต้องสังเกตดีๆ เพราะอยู่แถวสุดชายโครง ว่าเสียง "ตุ้บ" ที่ว่านั้นยาวลงไปแค่ไหน คุณหมอจะเลิกเคาะก็ต่อเมื่อเสียง "ตุ้บ" เปลี่ยนเป็นเสียงผสมกันภายในลำไส้ (แก๊สและของเหลวขลุกขลัก)
    • ถ้าเสียงทึบของตับยาวเลยชายโครงลงไป คุณหมอจะเช็คว่าเกินไปกี่เซนติเมตร แปลว่าตับผิดปกติบางอย่าง เพราะปกติชายโครงจะปกป้องอวัยวะภายในที่สำคัญ เช่น ตับและม้าม (ถ้าลมในปอดเยอะ (hyperinflated lungs) แต่ร่างกายแข็งแรงดี คุณหมอก็ยังเคาะเจอขอบของตับได้)
  4. คุณหมออาจจะเช็คตับโตโดยทดสอบ palpation ร่วมด้วย palpation ก็เหมือน percussion คือการสัมผัสและกดด้วยมือ [19] [20]
    • ถ้าคุณหมอถนัดขวา จะวางมือซ้ายที่ด้านล่างของลำตัวด้านขวา คุณต้องหายใจเข้าออกลึกๆ ช้าๆ คุณหมอจะพยายาม “หาจนเจอ” ตับที่อยู่ระหว่างมือทั้งสองข้าง โดยใช้ปลายนิ้วคลำหาตับ ระหว่างขอบของตับ กับใต้ชายโครง จุดสำคัญที่ต้องหาให้เจอคือรูปทรง ความนิ่ม/แข็ง พื้นผิว กดเจ็บไหม และความคมของขอบ
    • คุณหมอจะคลำเช็คว่าตับขรุขระ พื้นผิวผิดปกติ หรือมีปุ่มปมอะไรไหม รวมถึงเช็คว่าตับนิ่มหรือแข็ง คุณหมอจะถามด้วยว่ากดแล้วคุณเจ็บไหม
  5. ส่วนใหญ่คุณหมอจะเจาะเลือดคุณไปตรวจประเมินการทำงานและความแข็งแรงของตับด้วย ปกติการตรวจเลือดจะใช้เวลาต้องการหาการติดเชื้อไวรัส อย่างตับอักเสบ เป็นต้น [21] [22]
    • ตรวจเลือดแล้วจะรู้ระดับเอนไซม์ของตับ ทำให้มีข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับสภาพและการทำงานของตับ บางทีก็ต้องตรวจเลือดเพิ่มเติม เช่น การตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (complete blood cell count : CBC), ตรวจคัดกรองไวรัสตับอักเสบ (hepatitis virus screen) และทดสอบการแข็งตัวของเลือด (blood clotting test) อย่างหลังสำคัญมากต่อการประเมินการทำงานของตับ เพราะตับมีหน้าที่สร้างโปรตีนที่ทำให้เลือดแข็งตัว [23]
  6. เช่น อัลตราซาวด์, CT scan (computed tomography) และ MRI (magnetic resonance imaging) คุณหมอมักแนะนำให้ตรวจพวกนี้เพิ่มเติม เพื่อให้วินิฉัยและประเมินสภาพตับกับเนื้อเยื่อโดยรอบได้ชัดเจนกว่าเดิม ตรวจวิธีนี้แล้วจะได้ข้อมูลลงลึก ให้คุณหมอได้ใช้ประเมินสภาพตับแบบละเอียดต่อไป [24]
    • Abdominal Ultrasound — อัลตราซาวด์ช่องท้องจะทำโดยให้คุณนอนลง แล้วคุณหมอใช้แท่งตรวจเลื่อนไปตามหน้าท้อง แท่งที่ว่านี้จะปล่อยคลื่นเสียงความถี่สูง ที่จะสะท้อนกับอวัยวะภายในกลับมาให้คอมได้ค่าตามต้องการ โดยคลื่นเสียงที่ว่าจะกลายเป็นรูปภาพของอวัยวะภายในช่องท้องของคุณ คุณหมอจะแนะนำวิธีการเตรียมตัวก่อนเข้ารับการตรวจให้คุณเอง ส่วนใหญ่คือห้ามกินอาหารและดื่มน้ำก่อนตรวจ [25]
    • Abdominal CT scan — ทำ CT scan ช่องท้อง คือใช้ x-ray สร้างภาพตัดขวางบริเวณช่องท้อง ขั้นตอนคือให้คุณนอนบนโต๊ะแคบๆ ที่จะไหลเข้าไปในเครื่อง CT ระหว่าง x-ray ต้องนอนนิ่งที่สุด โดยเครื่องจะหมุนตัวคุณไปมาด้วย ค่าที่ได้จะกลายเป็นภาพในคอม คุณหมอจะแนะนำวิธีการเตรียมตัวก่อนเข้ารับการตรวจให้คุณเอง เวลาตรวจต้องฉีดสีย้อมพิเศษที่เรียกว่า contrast เข้าไปในตัวคุณ (มีทั้งฉีดและกลืน) เพราะงั้นห้ามกินอาหารหรือดื่มน้ำมาก่อน [26]
    • MRI abdominal scan — ทำ MRI สแกนช่องท้อง คือใช้คลื่นแม่เหล็กกับคลื่นวิทยุสร้างภาพภายในช่องท้อง ไม่ได้ใช้รังสี (x-ray) โดยคุณต้องนอนบนโต๊ะแคบๆ ที่จะไหลเข้าไปในเครื่องสแกนเหมือนอุโมงค์ขนาดใหญ่ จะสแกนให้ได้ภาพอวัยวะภายในออกมาชัดเจน ต้องใช้สีย้อมด้วย ซึ่งคุณหมอจะแนะนำวิธีการเตรียมตัวและขั้นตอนการตรวจให้คุณทราบล่วงหน้า การตรวจวิธีนี้ก็เหมือนวิธีผ่านๆ มา คือห้ามกินอาหารและดื่มน้ำมาก่อน [27]
  7. ส่องกล้องตรวจท่อทางเดินน้ำดีและตับอ่อน (Endoscopic-Retrograde Cholangiopancreatography (ERCP)). เป็นการตรวจหาสิ่งผิดปกติในท่อทางเดินน้ำดี หรือท่อที่น้ำดีไหลผ่านจากตับไปยังถุงน้ำดีและลำไส้เล็ก [28] [29]
    • ขั้นตอนคือฉีดยาผ่านทางแขนให้คุณผ่อนคลาย จากนั้นคุณหมอจะสอดกล้อง endoscope เข้าปาก ต่อไปยังหลอดอาหารและกระเพาะ จนถึงลำไส้เล็ก (ส่วนที่ติดกับกระเพาะ) คุณหมอจะสอดหลอดสวนผ่านกล้อง เข้าไปในท่อทางเดินน้ำดีที่เชื่อมต่อกับตับอ่อนและถุงน้ำดี ต่อมาคุณหมอจะฉีดสีเข้าท่อทางเดินน้ำดี เพื่อให้เห็นส่วนที่มีปัญหาได้ชัดเจนยิ่งขึ้น สุดท้ายคือ x-ray [30]
    • คุณหมอมักตรวจวิธีนี้หลังตรวจด้วยการสร้างภาพ อย่างอัลตราซาวด์ CT scan และ MRI
    • เหมือนกับการตรวจวิธีอื่นๆ คือคุณหมอจะแนะนำวิธีเตรียมตัวและขั้นตอนการตรวจให้ล่วงหน้า คุณต้องยินยอมให้ทำ ERCP และงดน้ำกับอาหาร 4 ชั่วโมงก่อนตรวจ
    • ERCP เป็นทางเลือกที่ดี เพราะใช้อำนวยความสะดวกระหว่างการรักษาไปในตัว เช่น ถ้ามีนิ่วหรือสิ่งอุดกั้นในท่อทางเดินน้ำดี คุณหมอก็จะกำจัดออกระหว่างทำ ERCP [31]
  8. ส่วนใหญ่จะวินิจฉัยภาวะตับโตกับโรคตับอื่นๆ ได้แม่นยำ ต้องอาศัยประวัติสุขภาพ/การรักษา การตรวจร่างกาย ตรวจเลือด และการสร้างภาพ แต่บางเคสคุณหมออาจแนะนำให้ตัดชิ้นเนื้อไปตรวจ โดยเฉพาะเคสที่ยังฟันธงไม่ได้ หรือสันนิษฐานว่าจะเป็นมะเร็ง [32]
    • ขั้นตอนคือสอดเข็มบางๆ ยาวๆ เข้าไปในตับ เพื่อเก็บตัวอย่างเนื้อเยื่อตับมาตรวจต่อไป ปกติจะเป็นขั้นตอนที่ทำโดยผู้เชี่ยวชาญด้านตับโดยเฉพาะ (แพทย์โรคทางเดินอาหาร (gastroenterologist) หรือนักวิทยาตับ (hepatologist)) การตรวจวิธีนี้ต้องอาศัยการผ่าตัด เพราะฉะนั้นจะมีการวางยาสลบหรือฉีดยาชาร่วมด้วย ชิ้นเนื้อที่ได้จะส่งต่อไปที่แล็บเพื่อตรวจสอบเพิ่มเติม โดยเฉพาะดูว่ามีเซลล์มะเร็งหรือเปล่า
  9. เป็นเทคนิคการสร้างภาพที่ค่อนข้างใหม่ โดย MRE เป็นการผสมผสานเทคนิคการสร้างภาพด้วย MRI กับการใช้คลื่นเสียงสร้างแผนภาพ (elastograph) เพื่อประเมินความแข็งของเนื้อเยื่อในร่างกาย หรือกรณีนี้ก็คือตับนั่นเอง ตับที่แข็งขึ้นเป็นอาการบอกโรคตับเรื้อรัง ซึ่ง MRE จะตรวจพบได้ เป็นการตรวจที่ไม่ใช่การผ่าตัด ถือเป็นอีกทางเลือกที่ไม่ต้องเก็บตัวอย่างชิ้นเนื้อของตับไปตรวจ [33] [34]
    • MRE เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว จะมีให้บริการก็แต่ในศูนย์การแพทย์เฉพาะทางดังๆ เท่านั้น คาดว่าอีกไม่นานคงแพร่หลายกว่านี้ ยังไงลองปรึกษาคุณหมอถ้าจำเป็นต้องตรวจด้วยวิธีนี้จริงๆ [35]
    โฆษณา
ส่วน 3
ส่วน 3 ของ 3:

ระวังปัจจัยเสี่ยง

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ไวรัสตับอักเสบเอ บี และซี (Hepatitis A, B และ C) ทำให้ตับอักเสบจนตับโต ส่วนที่ขอบจะนิ่ม กดเจ็บ ถ้าเป็นไวรัสตับอักเสบ ก็ยิ่งเสี่ยงเป็นตับโต [36]
    • ที่ตับเสียหายเพราะเลือดและเซลล์ภูมิคุ้มกันเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในตับ ต้านการติดเชื้อตับอักเสบ
  2. หัวใจห้องขวาล้มเหลว (right-sided heart failure) แล้วทำให้ตับโตได้ จนขอบตับนุ่ม กดเจ็บ [37]
    • สาเหตุเกิดจากเลือดคั่งในตับ เพราะหัวใจสูบฉีดเลือดได้ไม่ดีพอ พูดง่ายๆ ว่าหัวใจขี้เกียจจนเลือดย้อนกลับเข้าไปในตับ
  3. ตับแข็ง (Cirrhosis) เป็นโรคเรื้อรังที่ทำให้ตับแข็งขึ้นได้ เพราะเกิดพังผืด (fibrosis) ปกติตับแข็งเกิดเพราะพฤติกรรมบางอย่างที่ส่งผลเสียต่อตับ โดยเฉพาะการดื่มแอลกอฮอล์ที่เป็นสาเหตุหลักของตับแข็ง [38]
    • ตับแข็งแล้วอาจทำให้ตับโตหรือหดได้ แต่ส่วนใหญ่พบว่าทำให้ตับโตมากกว่า
  4. คนที่มีความผิดปกติทางพันธุกรรมหรือระบบเผาผลาญ เช่น เป็นโรควิลสัน (Wilson's disease) [39] และโรคเกาเชอร์ (Gaucher's disease) [40] จะเสี่ยงเป็นตับโตมากกว่าคนทั่วไป
  5. คนที่เป็นมะเร็ง จะมีโอกาสตับโตง่ายกว่าคนอื่น เพราะมะเร็งลาม (metastasis) เข้าตับ [41] ถ้าคุณหมอวินิจฉัยว่าคุณเป็นมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งอวัยวะที่อยู่แถวๆ ตับ จะยิ่งเสี่ยงเกิดตับโตง่ายกว่าเดิม
  6. ถ้าดื่มแอลกอฮอล์หนักหรือหนักจนติด ไม่ใช่แค่อาทิตย์ละไม่กี่แก้ว ก็แน่นอนว่าอันตรายต่อตับพัง และส่งผลต่อการฟื้นฟูตับ ตับจะเสียหาย แถมทำหน้าที่บกพร่อง ถึงขั้นตับพังได้เลย [42]
    • พอตับทำหน้าที่ได้ไม่ดีเหมือนเดิมเพราะแอลกอฮอล์ ก็จะทำให้ตับบวมโต เพราะระบายน้ำได้น้อยลง รวมถึงเกิดภาวะตับคั่งไขมันอันเกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์เกินขนาดด้วย
    • สถาบันวิจัยเรื่องติดสุราและโรคพิษสุราแห่งชาติของอเมริกา (The National Institute on Alcohol Abuse and Alcoholism) ชี้ว่าการดื่มแค่ "พอประมาณ" คือไม่เกิน 1 แก้วต่อวันสำหรับผู้หญิง และไม่เกิน 2 แก้วต่อวันสำหรับผู้ชาย [43]
  7. ยาที่ซื้อกินเองหลายตัวเป็นอันตรายต่อตับได้ถ้าใช้ติดต่อกันนานๆ หรือถ้าใช้เกินขนาด ยาที่อันตรายต่อตับมากที่สุดก็เช่น ยาคุมกำเนิด อนาบอลิกสเตียรอยด์ ไดโคลฟีแนค อะมิโอดาโรน และสแตติน เป็นต้น [44]
    • ถ้ามียาประจำตัวที่ต้องใช้ติดต่อกันนานๆ แนะนำให้ตรวจร่างกายบ่อยๆ และทำตามที่คุณหมอสั่งอย่างเคร่งครัด
    • Acetaminophen (Tylenol) โดยเฉพาะถ้ากินเกินขนาด เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ตับวายและตับโต และจะยิ่งเสี่ยงกว่าเดิมถ้ากิน acetaminophen ผสมกับแอลกอฮอล์ [45]
    • สมุนไพรบางตัว เช่น black cohosh, อีเฟดรา (ma huang/ephedra) และมิสเซิลโท ก็ทำให้ตับเสี่ยงเสียหายมากกว่าเดิมได้
  8. ถ้ากินของมันเป็นประจำ เช่น เฟรนช์ฟรายส์ แฮมเบอร์เกอร์ และอาหารฟาสต์ฟู้ดต่างๆ ก็ทำให้ไขมันไปสะสมในตับได้ เรียกว่าภาวะตับคั่งไขมัน (fatty liver) โดยไขมันที่เอ่อคั่งนี้จะเพิ่มขึ้นจนทำลายเซลล์ตับในที่สุด [46]
    • ตับที่เสียหายจะทำงานผิดปกติ บางทีก็บวมโตขึ้นมาเพราะจัดการเลือด สารพิษ และไขมันที่คั่งได้น้อยลง
    • ใครน้ำหนักตัวเกินเกณฑ์หรือเป็นโรคอ้วน ก็ยิ่งเสี่ยงเป็นโรคตับกว่าปกติ ไม่ว่าจะน้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วน จะรู้ได้ก็ต่อเมื่อวัดจาก BMI (body mass index) หรือดัชนีมวลกาย วิธีคำนวณคือเอาน้ำหนักตัวเป็นกิโลกรัมตั้ง แล้วหารด้วยความสูงเป็นเมตรแบบยกกำลัง 2 ถ้าได้ BMI อยู่ที่ 25 - 29.9 ถือว่าน้ำหนักเกินเกณฑ์แล้ว แต่ถ้า BMI เกิน 30 ขึ้นไป ถือเป็นโรคอ้วน [47]
    โฆษณา
  1. http://www.cancerresearchuk.org/about-cancer/type/liver-cancer/about/symptoms-of-liver-cancer
  2. https://www.nlm.nih.gov/medlineplus/ency/article/003275.htm
  3. http://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/enlarged-liver/basics/symptoms/con-20024769
  4. http://www.cancerresearchuk.org/about-cancer/type/liver-cancer/about/symptoms-of-liver-cancer
  5. http://patient.info/doctor/spider-naevus
  6. http://www.healthline.com/health/spider-angioma#Overview1
  7. Bates, Barbara: Guide to Physical Exam and History Taking, Lippincott, author Lynn Buckley, 7th edition.
  8. Bates, Barbara: Guide to Physical Exam and History Taking. , Lippincott, author Lynn Buckley, 7th edition.
  9. http://www.ncbi.nlm.nih.gov/books/NBK421/
  10. http://www.ncbi.nlm.nih.gov/books/NBK421/
  11. Bates, Barbara: Guide to Physical Exam and History Taking. , Lippincott, author Lynn Buckley, 7th edition.
  12. http://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/enlarged-liver/basics/tests-diagnosis/con-20024769
  13. http://www.webmd.com/hepatitis/enlarged-liver-causes
  14. http://www.medicinenet.com/liver_anatomy_and_function/page4.htm
  15. http://www.nlm.nih.gov/medlineplus/ency/article/003275.htm
  16. http://www.nlm.nih.gov/medlineplus/ency/article/003275.htm
  17. http://www.nlm.nih.gov/medlineplus/ency/article/003789.htm
  18. http://www.nlm.nih.gov/medlineplus/ency/article/003796.htm
  19. http://www.webmd.com/hepatitis/enlarged-liver-causes
  20. Dushyant V. Sahani and Sanjeeva P Kalva, Imaging the Liver ,The Oncologist July 2004 vol. 9vol. 9 no. 4 385-39.
  21. http://www.nlm.nih.gov/medlineplus/ency/article/007479.htm
  22. http://www.medicinenet.com/ercp/article.htm
  23. http://www.medicinenet.com/liver_anatomy_and_function/page6.htm
  24. http://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/enlarged-liver/basics/tests-diagnosis/con-20024769
  25. http://www.mayo.edu/research/labs/magnetic-resonance-imaging/magnetic-resonance-elastography
  26. http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC3066083/
  27. http://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/enlarged-liver/basics/symptoms/con-20024769
  28. http://www.medicinenet.com/liver_anatomy_and_function/page4.htm
  29. http://www.medicinenet.com/liver_anatomy_and_function/page2.htm#cirrhosis
  30. http://www.liverfoundation.org/abouttheliver/info/wilson/
  31. http://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/gauchers-disease/basics/definition/con-20031396
  32. https://www.nlm.nih.gov/medlineplus/ency/article/003275.htm
  33. http://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/enlarged-liver/basics/symptoms/con-20024769
  34. http://www.niaaa.nih.gov/alcohol-health/overview-alcohol-consumption/moderate-binge-drinking
  35. http://www.medicinenet.com/liver_anatomy_and_function/page3.htm
  36. Robert j Fontana MD, Acute Liver Failure including Acetaminophen Medical Clinician of North America 2008 July 92 (4) 761-794
  37. http://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/enlarged-liver/basics/risk-factors/con-20024769
  38. http://www.cdc.gov/healthyweight/assessing/bmi/adult_bmi/index.html

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 3,440 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา