ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

การทำร้ายตัวเองอาจทิ้งรอยแผลเป็นที่อาจจะอยู่ติดกับตัวคุณไปทั้งชีวิต แถมรอยแผลเป็นพวกนั้นอาจจะดึงดูดความสนใจหรือคำถามที่คุณไม่อยากเจอได้อีกด้วย และนั่นก็อาจจะทำให้คุณรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่าไรหากต้องใส่เสื้อผ้าที่เผยให้เห็นถึงรอยแผลเป็นพวกนั้น ซึ่งความอดทนและเวลาคือสองสิ่งหลักๆ ที่จะช่วยลดรอยแผลเป็นเหล่านั้นได้ แต่ก็ยังมีวิธีอื่นๆ อีกที่จะช่วยลดความโดดเด่นของรอยแผลเป็นเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็น การทาครีมและเจลที่มีขายตามร้านขายยาทั่วไป การรักษาเองด้วยของที่มีอยู่ในบ้าน และการรักษาด้วยวิธีทางการแพทย์ ซึ่งแม้ว่าวิธีการเหล่านี้จะไม่สามารถรักษาให้หายได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่นั่นก็พอจะช่วยทำให้คุณรู้สึกมั่นใจกับร่างกายของตัวเองขึ้นมาได้บ้าง

วิธีการ 1
วิธีการ 1 ของ 6:

ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีขายตามร้านขายยาหรือร้านขายสินค้าเพื่อสุขภาพทั่วไป

ดาวน์โหลดบทความ
  1. แผ่นเจลซิลิโคนคือแผ่นที่ใช้แปะติดลงไปบนผิวตรงบริเวณที่มีแผลเป็น และช่วยลดรอยแผลเป็นได้ภายใน 2-4 เดือน [1] โดยจะต้องแปะแผ่นเจลนี้ลงบนบริเวณที่มีรอยแผลเป็นอย่างน้อย 12 ชั่วโมงทุกวัน เป็นเวลา 2-4 เดือน [2]
    • มีงานวิจัยพบว่าแผ่นเจลซิลิโคนสามารถช่วยลดรอยนูนของแผลเป็นได้ด้วย [3]
  2. Mederma คือ ยาทาเฉพาะที่ ใช้ทาเพื่อลดรอยแผลเป็น มีส่วนประกอบหลายอย่างที่ทำงานร่วมกันเพื่อบำรุงและซ่อมแซมผิว ทำให้ผิวราบเรียบและนุ่มนวลขึ้น [4] ซึ่งราคาขายในไทยจะอยู่ที่ระหว่างหลอดละ 400 บาทขึ้นไปจนถึงประมาณ 1,000 กว่าบาท
    • ให้ทายานี้ตรงบริเวณที่มีรอยแผลเป็นวันละครั้ง ติดต่อกัน 8 สัปดาห์หากทากับแผลเป็นใหม่ และสำหรับรอยแผลเป็นเก่า ให้คุณทายาตัวนี้วันละครั้ง ติดต่อกัน 3-6 เดือน
    • มีงานวิจัยบางที่ชี้ว่า Mederma ไม่ได้ลดหรือเปลี่ยนแปลงรอยแผลเป็นได้ดีไปกว่าการทาแผลเป็นด้วยปิโตรเลียม เจลลีเท่าไรนัก [5]
  3. น้ำมันชนิดนี้ใช้ทาลงผิวบริเวณที่มีแผลเป็นโดยตรงเพื่อช่วยลดรอยแผลเป็นเหล่านั้น นอกจากนี้ยังช่วยทำให้สีผิวของคุณเรียบเนียนสม่ำเสมอด้วย ซึ่งจะมีประโยชน์อย่างมากหากคุณมีรอยแผลเป็นสีชมพู สีแดง หรือสีน้ำตาลอยู่บนผิว [6] โดยราคา Bio-Oil ขนาด 60 มล. จะอยู่ที่ประมาณขวดละ 300 กว่าบาท และสามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป ร้านค้าออนไลน์ หรือที่วัตสัน
    • อย่าใช้กับผิวบริเวณรอบดวงตาเด็ดขาด เนื่องจากผิวบริเวณนั้นมีความบอบบางมาก
  4. มีเจลและครีมรักษาแผลเป็นอยู่หลายยี่ห้อที่น่าจะช่วยลดรอยแผลเป็นได้ และมีขายทั้งตามร้านขายยาชั้นนำทั่วไป หรือร้านค้าออนไลน์ด้วย อย่างเช่น Scagel, Dermefface FX7, Revitol Scar Cream และ Kelo-Cote Scar Gel
    • สินค้าเหล่านี้มีระดับราคาที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งคุณควรจะเอาจุดนี้มาพิจารณาดูด้วยว่าตัวเองจะเลือกทาแบบครีมหรือแบบเจลยี่ห้อไหนดี เพราะคุณจะต้องทาไปอีกหลายอาทิตย์ หรือเป็นเดือนๆ เพื่อลดรอยแผลเป็นเหล่านั้น
    โฆษณา
วิธีการ 2
วิธีการ 2 ของ 6:

รักษาด้วยวิธีทางการแพทย์

ดาวน์โหลดบทความ
  1. 1
    ปรึกษาแพทย์ผิวหนังว่า วิธีการรักษาแบบใดที่เหมาะกับประเภทของแผลเป็น. วิธีการรักษานั้นจะขึ้นอยู่กับประเภทของแผลเป็น นัดพบแพทย์ผิวหนังที่ผ่านการรับรองจากคณะกรรมการเพื่อปรึกษาเกี่ยวกับตัวเลือกในการรักษา
    • แพทย์ผิวหนังอาจจะแนะนำให้คุณทาเรตินอยด์หรือยาทาชนิดอื่นๆ สเตียรอยด์แบบฉีดหรือทา หรือหัตถการอื่นๆ เช่น การทำ Resurfacing
  2. Dermabrasion คือกระบวนการขจัดชั้นผิวหนังส่วนบนสุดออกไป ลักษณะก็จะคล้ายๆ กับเวลาที่ผิวที่หัวเข่าเป็นแผลถลอก หลังจากนั้นผิวหนังส่วนนั้นก็จะฟื้นฟูขึ้นมาใหม่อีกครั้ง อารมณ์เดียวกับเวลาที่แผลถลอกที่หัวเข่าของคุณค่อยๆ หายไปนั่นแหละ [7] ซึ่งการรักษาด้วยวิธีนี้จะต้องใช้ยาชาเฉพาะที่สำหรับพื้นที่ผิวหนังบริเวณเล็กๆ หรือใช้ยาชาเพิ่มขึ้นอีกสำหรับบริเวณพื้นผิวที่กว้าง
  3. การผ่าตัดลักษณะนี้ หมายถึงการนำชั้นผิวหนังส่วนบนสุดตรงบริเวณที่ได้รับผลกระทบออกไป แล้วนำชิ้นส่วนผิวหนังที่บางมากๆ จากต้นขาหรือส่วนอื่นของร่างกายไปแปะที่บริเวณนั้น ซึ่งแผ่นผิวหนังนี้จะปิดแผลเอาไว้ และก็อาจจะผสานเข้ากับผิวบริเวณรอบๆ ได้ในที่สุดเมื่อผ่านไปหลังจากนั้นประมาณหนึ่งปี [8] [9]
    • การรักษาแบบนี้จำเป็นต้องใช้ยาชาเฉพาะที่หรือไม่ก็ยาสลบ ขึ้นอยู่กับว่าขนาดของบาดแผลนั้นใหญ่หรือเล็กแค่ไหน
    • การผ่าตัดปลูกถ่ายผิวหนังจะทำให้คุณมีรอยแผลเป็นที่ดูไม่เหมือนว่าเกิดจากการทำร้ายตัวเอง
  4. การศัลยกรรมแก้ไขรอยแผลเป็น คือกระบวนการที่จะทำให้แผลเป็นของคุณมีลักษณะที่แตกต่างจากเดิมด้วยการตัดเนื้อเยื่อแผลเป็นออกแล้วเย็บแผลใหม่ [10] ซึ่งการศัลยกรรมแบบนี้สามารถเปลี่ยนแปลงตำแหน่งหรือขนาดของแผลเป็นได้ และทำให้แผลเป็นนั้นดูไม่ค่อยเหมือนกับแผลเป็นที่เกิดจากการทำร้ายตัวเองด้วย
  5. การทำเลเซอร์ผิวหนัง คือการรักษาที่ต้องทำซ้ำหลายครั้ง [11] โดยจะรักษาด้วยการให้ความร้อนผิวหนังด้วยแสงเลเซอร์ และกระตุ้นให้มีการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินขึ้นมาใหม่ที่ผิว [12] และเวลาที่คุณจะทำเลเซอร์ผิวหนังแบบนี้ คุณหมอก็จะฉีดยาชาเฉพาะที่และยาระงับประสาทให้คุณด้วย
    • คุณอาจจะได้รับผลข้างเคียงจากการรักษาแบบนี้อยู่บ้าง ทั้งรอยแดง อาการคัน และอาการบวมของผิวหนัง
    โฆษณา
วิธีการ 3
วิธีการ 3 ของ 6:

รักษาด้วยวิธีแบบธรรมชาติ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ปิโตรเลียม เจลลี (หรือวาสลีน) นั้นได้มาจากกระบวนการสกัดน้ำมัน และมีไว้ทาเพื่อสร้างเป็นเกราะป้องกันน้ำให้กับผิว [13] แถมยังช่วยในการลดรอยแผลเป็นได้อีก เพราะว่านี่เป็นสิ่งที่จะคอยทำให้ผิวชุ่มชื้นและปกป้องผิวเอาไว้ [14] ฉะนั้น ให้คุณทาปิโตรเลียม เจลลีตรงบริเวณแผลเป็นวันละครั้ง
    • ดูเหมือนว่าปิโตรเลียม เจลลีจะใช้ไม่ค่อยได้ผลกับแผลเก่าสักเท่าไร
  2. ปกติแล้ววิตามิน E มักจะมาในรูปแบบของแคปซูล หรือไม่ก็เป็นขวดเล็กๆ ที่มีขายตามร้านขายสินค้าเพื่อสุขภาพ หรือแผนกสินค้าเพื่อสุขภาพตามร้านขายของทั่วไป ฉะนั้น เมื่อคุณได้วิตามิน E มาแล้ว ให้คุณเปิดแคปซูลและหยดน้ำมันนี้ลงบนแผลเป็นของคุณ จากนั้นก็ค่อยๆ นวดเบาๆ ให้ซึมเข้าผิว หรือไม่คุณก็อาจจะใช้โลชั่นวิตามินอีทาผิววันละสองครั้งแทนก็ได้
    • ตอนนี้ยังมีการถกเถียงกันอยู่ว่าวิตามิน E นั้นมีประสิทธิภาพในการลดรอยแผลเป็นมากแค่ไหน นอกจากนี้ วิตามิน E ก็อาจทำให้เกิดอาการระคายเคืองผิวในบางคนได้เช่นกัน [15]
  3. ว่านหางจระเข้เป็นพืชที่มีประโยชน์ต่อร่างกายในหลายๆ ด้าน เช่น ช่วยลดการอักเสบของผิวหนัง และทำให้ผิวชุ่มชื่น หากคุณจะใช้ว่านหางจระเข้ คุณก็สามารถตัดใบว่านหางจระเข้ออกจากต้นมาใช้โดยตรงได้เลย หรือไม่คุณก็อาจจะซื้อแบบที่บรรจุใส่ขวดตามร้านขายสินค้าเพื่อสุขภาพมาก็ได้ จากนั้นให้เอามาทาตรงที่มีแผลเป็นอย่างน้อยวันละครั้ง
  4. น้ำมะนาวถือเป็นสารฟอกขาวสูตรธรรมชาติที่จะช่วยทำให้รอยแผลเป็นของคุณจางลงได้ ฉะนั้น ให้คุณล้างผิวให้สะอาดก่อน แล้วใช้สำลีก้อนทาน้ำมะนาวลงไปตรงแผลเป็น จากนั้นทิ้งไว้สัก 10 นาทีแล้วล้างออกให้สะอาด
  5. น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์พิเศษ (Extra virgin olive oil) นั้นช่วยลดรอยแผลเป็นได้ ฉะนั้น ให้คุณลองนวดน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์พิเศษ 100% นี้ที่ผิวของคุณในปริมาณเล็กๆ วันละหนึ่งหรือสองครั้ง ให้นานติดต่อกันหลายสัปดาห์หรือหลายเดือน [16]
  6. มีของที่อยู่ในบ้านมากมายที่คุณสามารถนำมาใช้ลดรอยแผลเป็นได้ อาจจะเป็น น้ำมันลาเวนเดอร์ ชาคาโมไมล์ น้ำมันตับปลา เบกกิงโซดา เนยโกโก้ ทีทรีออยล์ หรือน้ำผึ้งก็ได้ [17] ให้ลองเสิร์ชในอินเทอร์เน็ตดูว่าการรักษารอยแผลเป็นด้วยวิธีธรรมชาตินั้นมีแบบไหนบ้าง
    โฆษณา
วิธีการ 4
วิธีการ 4 ของ 6:

ปิดรอยแผลเป็นด้วยเมคอัพ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ผิวที่เหมาะสมกับการทาเมคอัพมากที่สุด ต้องเป็นผิวที่ปราศจากน้ำมันและสิ่งสกปรก ฉะนั้น ให้คุณล้างผิวบริเวณที่คุณจะทาเมคอัพให้สะอาดแล้วซับผิวให้แห้งก่อน
  2. คอนซีลเลอร์และรองพื้นสามารถใช้ร่วมกันเพื่อปกปิดรอยแผลเป็นต่างๆ ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ารอยแผลเป็นพวกนั้นมีขนาดเล็กและไม่ได้มีสีที่เด่นชัดมาก
    • ให้เลือกใช้คอนซีลเลอร์ที่มีเฉดสีอ่อนกว่าสีผิวของคุณสักเล็กน้อย เช่น ถ้าหากแผลเป็นของคุณเป็นโทนสีแดงหรือชมพู ให้คุณใช้รองพื้นที่มีโทนออกสีเขียว แต่ถ้าแผลเป็นของคุณเป็นสีออกน้ำตาลๆ ก็ให้คุณใช้คอนซีลเลอร์ที่มีโทนออกสีเหลือง [18] โดยให้คุณทาคอนซีลเลอร์นี้ลงบนรอยแผลเป็นของตัวเอง จากนั้นก็ทิ้งไว้ให้แห้งสักสองสามนาที
    • เลือกรองพื้นที่มีเฉดสีเดียวกับผิวของคุณ แล้วแต้มรองพื้นให้ทั่วบริเวณผิวตรงนั้น จากนั้นก็เกลี่ยให้รองพื้นกลมกลืนไปกับผิวคุณ
    • อย่าลืมทาแป้งโปร่งแสงที่ผิวบริเวณนั้นด้วย เพราะแป้งโปร่งแสงจะเป็นตัวที่ช่วยเซ็ตรองพื้น และป้องกันไม่ให้เหนียวเหนอะหนะจนเกินไปด้วย
  3. คอนซีลเลอร์ปิดรอยสักนั้นมีเนื้อหนาและส่วนใหญ่กันน้ำได้ และสามารถนำมาทาที่ผิวเพื่อปกปิดร่องรอยต่างๆ อย่างรอยสักได้ สามารถหาซื้อได้ตามร้านสินค้าเสริมความงามหรือร้านค้าออนไลน์ ซึ่งคอนซีลเลอร์ปิดรอยสักดีๆ บางยี่ห้อจะมีราคาอยู่ที่ประมาณหลอดละ 600 กว่าบาทหรือมากกว่านั้น นอกจากนี้ หลายๆ ยี่ห้อยังมาพร้อมกับแป้งฝุ่นคลุมความมันเพื่อเซ็ตให้คอนซีลเลอร์อยู่ติดทนนาน และไม่เหนียวเหนอะหนะด้วย [19]
    • ให้เลือกเฉดสีของคอนซีลเลอร์นี้ให้ตรงกับโทนสีผิวตรงบริเวณที่มีแผลเป็น
    โฆษณา
วิธีการ 5
วิธีการ 5 ของ 6:

สวมเสื้อผ้าและเครื่องประดับเพื่อซ่อนรอยแผลเป็น

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ปิดรอยแผลเป็นด้วยเสื้อเชิ้ตแขนยาวและกางเกงขายาว. หากคุณมีรอยแผลเป็นที่แขนหรือขา การสวมเสื้อผ้าปิดรอยแผลเป็นพวกนั้นไว้ จะช่วยทำให้คนอื่นไม่สังเกตเห็นรอยแผลเป็นของคุณได้
    • วิธีนี้อาจจะไม่ใช่ทางออกที่ดีเท่าไร หากอยู่ในช่วงที่มีอากาศร้อน
  2. ถุงน่องเป็นสิ่งที่คุณสามารถใส่คลุมขาในช่วงเวลาไหนของปีก็ได้ นอกจากนี้ยังสามารถใส่เข้าคู่กับชุดเดรส กับกระโปรง แม้แต่กับกางเกงขาสั้นก็สามารถใส่เข้าคู่กันได้ ฉะนั้น ในช่วงไหนของปีที่มีอากาศร้อน ก็ให้คุณสวมถุงน่องแบบบาง และหากช่วงไหนที่มีอากาศเย็น ก็ให้คุณสวมถุงน่องที่หนาขึ้นหน่อย [20]
  3. หากคุณมีแผลเป็นที่ข้อมือ ให้คุณสวมเครื่องประดับเพื่อปิดรอยแผลเป็นเอาไว้ จะเป็นกำไลข้อมือหรือนาฬิกาข้อมือก็ได้ นอกจากนี้ เวลาคุณออกกำลังกาย แถบคาดกันเหงื่อก็ใช้ได้เหมือนกัน
  4. หากคุณอยากจะไปว่ายน้ำ มันก็ไม่จำเป็นที่คุณจะต้องสวมชุดว่ายน้ำที่เผยให้เห็นผิวหนังมากมายหรอก ฉะนั้น ให้เลือกชุดว่ายน้ำแบบที่เป็นวันพีซ หรือไม่ก็สวมกางเกงว่ายน้ำขาสั้นทับชุดว่ายน้ำคุณอีกทีหนึ่ง นอกจากนี้ คุณอาจจะใส่เสื้อที-เชิ้ต หรือเสื้อเล่นเซิร์ฟกับกางเกงว่ายน้ำขาสั้นก็ได้
    โฆษณา
วิธีการ 6
วิธีการ 6 ของ 6:

ใช้วิธีอื่นๆ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. รอยแผลเป็นใหม่ๆ นั้นมีความไวต่อรังสียูวีมาก ซึ่งนั่นจะยิ่งทำให้รอยกรีดของคุณหายได้ช้าเข้าไปอีก นอกจากนี้แสงแดดยังมีผลและสามารถเปลี่ยนสีของแผลเป็นคุณได้ด้วย ฉะนั้น ให้คุณทาครีมกันแดดทุกครั้งที่ต้องออกไปข้างนอกพร้อมกับแผลเป็นที่ต้องโดนแดดของคุณ [21]
  2. รอยแผลเป็นของคุณอาจจะไม่สามารถหายไปได้ทั้งหมด แต่ว่าคุณเลือกที่จะปกปิดมันและเบี่ยงเบนความสนใจออกไปด้วยรอยสักได้ ฉะนั้น ให้คุณลองปรึกษากับช่างสัก แล้วก็ช่วยกันออกแบบรอยสักที่ทั้งมีความหมายกับตัวคุณ และยังสามารถใช้ปกปิดรอยแผลเป็นของคุณได้ด้วยดู
  3. รอยแผลเป็นอาจจะเป็นอะไรที่คุณอยากจะปกปิดมันเอาไว้ หรือพยายามเลี่ยงที่จะพูดถึง แต่บางครั้งมันก็เป็นสิ่งที่ช่วยเตือนคุณให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของตัวเองได้เหมือนกัน ฉะนั้น ให้คุณรับรู้เอาไว้ว่าคุณได้ผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากของชีวิตมาแล้ว และคุณก็ได้กลายเป็นคนที่แข็งแกร่งขึ้นตั้งแต่นั้นมา [22]
    โฆษณา

คำเตือน

  • หากคุณยังชอบทำร้ายตัวเองอยู่ ให้คุณลองปรึกษาเรื่องนี้กับคนที่คุณไว้ใจดู เช่น เพื่อนสนิท หรือคนในครอบครัว หรือคุณอาจจะลองไปปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับสาเหตุที่ทำให้คุณทำร้ายตัวเองก็ได้ [23] นอกจากนี้ อย่าลืมให้ความรู้ตัวเองเกี่ยวกับวิธีการทำให้ตัวเองปลอดภัยเมื่อเกิดการทำร้ายตัวเองด้วยล่ะ [24]
  • หากคุณมีความคิดที่จะฆ่าตัวตาย ให้คุณโทรไปขอความช่วยเหลือที่สายด่วนป้องกันการฆ่าตัวตายสะมาริตันส์ 02-713-6793 หรือที่สายด่วนสุขภาพจิต 1667
โฆษณา

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 28,941 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา