PDF download ดาวน์โหลดบทความ PDF download ดาวน์โหลดบทความ

หลายๆ คนคงเคยทรมานจากการเห่อของสิว ไม่ว่าจะเกิดจากฮอร์โมน หรือความเครียดก็ตาม ความเชื่อที่ว่า การเป็นสิวหมายความว่า ใบหน้าของคุณสกปรกนั้นไม่จริงเสมอไป จริงๆ แล้ว การล้างหน้าบ่อยเกินไปอาจทำให้ผิวระคายเคืองมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม ฮอร์โมนไม่ใช่สิ่งที่ควบคุมไม่ได้ และมีการเปลี่ยนแปลงง่ายๆ ที่คุณสามารถทำได้เพื่อกำจัดสิวที่เห่อขึ้นมา แล้วคุณจะได้ผิวหน้าที่กระจ่างใส เปล่งปลั่ง และไร้สิวกลับมาทันที

วิธีการ 1
วิธีการ 1 ของ 3:

รักษาสิวด้วยการเปลี่ยนไลฟ์สไตล์

PDF download ดาวน์โหลดบทความ
  1. การออกกำลังกายช่วยลดปัญหาสิวบนใบหน้าคุณลงได้ เนื่องจากการออกกำลังกายทำให้ร่างกายหลั่งสารเอ็นโดรฟิน ซึ่งสามารถลดระดับความเครียดลงได้ ส่งผลให้ร่างกายผลิตน้ำมันน้อยลง รวมถึงทำให้คุณเหงื่อออกมากขึ้น ซึ่งจะช่วยกำจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกจากร่างกายของคุณ ลองออกกำลังกายทุกวันเป็นเวลาอย่างน้อย 30 นาทีเพื่อลดปัญหาสิวทั้งบนใบหน้า หน้าอก ไหล่ และหลัง
  2. นี่นับเป็นเรื่องยาก เพราะคนส่วนใหญ่ชอบสัมผัสใบหน้าของตนเองบ่อยๆ ระวังการเกาใบหน้า วางหน้าบนมือ และบีบสิว อย่ากดสิว หรือบีบสิวหัวดำอันสุดจะทน เนื่องจากจะทำให้มีเชื้อแบคทีเรียที่ผิวหนังของคุณมากขึ้น ซึ่งส่งผลให้ปัญหาสิวของคุณรุนแรงยิ่งขึ้น
  3. ถึงแม้คุณจะไม่ต้องการจ่ายค่าน้ำประปาแพง แต่การอาบน้ำเป็นประจำทำให้ผิวหนังผลิตน้ำมันน้อยลง ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย และกำจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกจากร่างกาย ควรชำระล้างทั่วร่างกายของคุณด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดร่างกายชนิดอ่อนโยน และใช้ยาสระผมที่ช่วยลดความมันบนศีรษะ คุณควรอาบน้ำหลังจากการออกกำลังกายเพื่อกำจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว ซึ่งจะถูกขับออกมาพร้อมเหงื่อ
  4. อาหารที่ผ่านการแปรรูปและประกอบด้วยไขมันเป็นจำนวนมากอาจเพิ่มปัญหาสิวบนร่างกายของคุณได้ การได้รับปริมาณสารอาหารที่เพียงพอจากธัญพืชเต็มเมล็ด ผลไม้ ผัก และโปรตีนมีส่วนช่วยให้ร่างกายของคุณสร้างเซลล์ผิวใหม่ได้เร็วขึ้น และช่วยจำกัดไม่ให้ร่างกายการผลิตน้ำมันเกินความจำเป็น พยายามหลีกเลี่ยงอาหารที่ผ่านการแปรรูป หรือมีส่วนผสมของน้ำตาลเป็นจำนวนมาก (เช่น อาหารขยะ) เท่าที่ทำได้
  5. การนอนหลับเปรียบได้กับการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว เนื่องจากการนอนหลับช่วยให้ร่างกายได้พักผ่อน อีกทั้งยังช่วยล้างสารพิษออกจากร่างกายของคุณ หากคุณนอนหลับไม่เพียงพอ ผิวของคุณอาจไม่มีเวลาหรือความสามารถมากพอในการผลัดเซลล์ผิว ลองควบคุมตารางการนอนของคุณด้วยการเข้านอนเป็นเวลาทุกคืน และนอนหลับให้ได้อย่างน้อย 8 ชั่วโมงดู [1]
  6. แม้ว่าเราทุกคนจะเคยได้ยินว่า เราควรดื่มน้ำวันละ 8 แก้ว แต่จริงๆ แล้วไม่มีปริมาณที่ตายตัวหรอก น้ำช่วยล้างสารพิษในร่างกาย และยังทำให้ผิวของคุณบริสุทธิ์ผุดผ่อง ดังนั้น อย่าลืมดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการในหนึ่งวันของร่างกาย
  7. ภาวะความเครียดสูงทำให้ร่างกายผลิตซีบัมเพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้นคุณควรผ่อนคลายทั้งจิตใจและผิวของคุณ ลองแช่ตัวในอ่างอาบน้ำ อ่านหนังสือ ทำสมาธิ หรือฝึกโยคะ แล้วรอดูการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับผิวของคุณดู
  8. ผ้าประเภทใดๆ ก็ตามที่ต้องสัมผัสกับผิวของคุณเป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็น เสื้อผ้า ผ้าเช็ดตัว ปลอกหมอน หรือผ้าปูเตียง ควรนำมาซักอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้งเพื่อขจัดคราบไขมันและแบคทีเรียที่สะสมตัวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไป ควรใช้น้ำยาซักผ้าที่อ่อนโยนต่อผิวที่บอบบางเพื่อช่วยแก้ปัญหาสิวได้อีกทางหนึ่ง
  9. หากคุณเป็นคนที่แต่งหน้า คุณคงเคยติดอยู่ในวงจรอุบาทว์เวลาที่คุณพยายามปกปิดรอยสิวด้วยเครื่องสำอาง แต่ในขณะเดียวกันเครื่องสำอางดังกล่าวก็ก่อให้เกิดสิว ลองมองหาเครื่องสำอางแร่ธาตุที่ไม่มีส่วนผสมของไขมันและช่วยลดปัญหาสิวมาใช้ เพื่อป้องกันไม่ให้ปัญหาสิวของคุณแย่กว่าเดิม รวมถึงเพื่อปกปิดรอยสิวในเวลาเดียวกัน นอกจากนี้ คุณยังอาจเลือกใช้แป้งผสมรองพื้นก็ได้ หากเป็นไปได้ ให้หลีกเลี่ยงการแต่งหน้า เนื่องจากเมื่อเวลาผ่านไป เครื่องสำอางสามารถอุดตันรูขุมขนบนใบหน้าของเราได้
    • ควรทำความสะอาดแปรงสำหรับแต่งหน้าเป็นประจำเพื่อป้องกันการเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย
  10. 10
    ทาครีมกันแดดทุกวัน. และไม่ควรทำให้ผิวเป็นสีแทน รังสีอุลตราไวโอเล็ต คือ เหตุผลอันดับหนึ่งที่ทำให้แก่ก่อนวัย อีกทั้งหากได้รับในปริมาณที่สูงเกินไป รังสีชนิดนี้ยังก่อให้เกิดโรคมะเร็งผิวหนัง ให้มองดวงอาทิตย์เป็นเสมือนตัวปล่อยรังสีหายนะ การปล่อยให้ผิวของคุณสัมผัสกับรังสีอันตรายอย่าง UVA และ UVB จะทำให้ผิวของคุณโดนทำลาย และทำให้คุณเป็น post inflammatory erythema หรือ PIE นานขึ้น ซึ่งจะปรากฏเป็นรอยสิวแดงๆ เนื่องจากแสงอาทิตย์ไปกระตุ้นเซลล์สร้างเม็ดสี
    • แสงอาทิตย์ไม่เพียงแค่ทำให้คุณเป็น PIE นานขึ้น แต่ยังก่อให้เกิดภาวะแก่ก่อนวัย ไม่ว่าจะเป็นกระ ริ้วรอย หรือรอยเหี่ยวย่น อีกทั้งรังสี UV ยังทำลาย DNA ในร่างกาย ครีมกันแดดจึงเป็นสิ่งจำเป็นในการต่อต้านภาวะแก่ก่อนวัยสำหรับทุกเพศทุกวัย โดยครีมกันแดดช่วยป้องกันโรคมะเร็งผิวหนังได้ จึงเปรียบได้กับน้ำอมฤตที่บรรจุไว้ในขวดพร้อมใช้งาน ป้องกันไว้ก่อนดีกว่าต้องมารักษาในภายหลัง นอกจากนี้ การอาบแดดเพื่อให้ผิวแทนนับเป็นเรื่องไม่ปลอดภัย เนื่องจากแสงอาทิตย์สามารถทำร้ายผิวของคุณได้
    • ดังนั้น คุณจึงควรทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ทุกวัน สิ่งที่คุณควรทราบ คือ ตั้งแต่ SPF 30 ขึ้นไป ค่าการป้องกันรังสี UVB จะไม่ต่างกันมากนัก โดยกราฟที่แสดงเปอร์เซ็นต์ของความสามารถในการป้องกันรังสี UVB แทบจะเป็นเส้นคงที่ตั้งแต่ SPF 30 เป็นต้นไป ดังนั้น จึงแทบไม่มีความแตกต่างระหว่าง SPF 40 กับ 50 และในบางประเทศถึงกับมีการห้ามวางขายครีมกันแดดที่มีค่า SPF 100
    • สำหรับการป้องกันรังสี UVA ควรใช้ครีมกันแดดที่มี PA+++ หรือ PA++++ โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการรักษาอาการ PIE โดยค่า PPD หรือค่าการป้องกันรังสี UVA เปรียบได้กับค่า SPF ของรังสี UVA ควรใช้ครีมกันแดดที่มีค่า PPD 20 เป็นอย่างน้อย ระบบ PA+ มี a + ซึ่งจะเป็นไปตามระดับของค่า PPD สิ่งที่คุณควรทราบ คือ แต่ละประเทศจะใช้ระบบ PA ที่แตกต่างกันออกไป โดยญี่ปุ่นและไต้หวันเปลี่ยนไปใช้ระบบที่มีถึงระดับ a 4+ ในขณะที่เกาหลีใช้ระบบที่มีถึงแค่ a 3+
    • หากต้องออกแดดเป็นเวลานาน พยายามอยู่ใต้ร่มให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ รวมทั้งสวมหมวกปีกกว้างและเสื้อแขนยาวบางๆ นอกจานี้ ควรสวมแว่นตากันแดด โดยเฉพาะผู้ที่มีเมลานินในดวงตาน้อย และลองใช้ร่มกันแดด ซึ่งในเอเชีย ถือเป็นของที่คนนิยมพกติดตัว
  11. หากใช้โดยไม่ระมัดระวัง อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองและผิวไหม้จากสารเคมีบนใบหน้าของคุณได้ [2]
    • เรามักเข้าใจกันว่ายาสีฟัน เลมอน เบคกิ้งโซดา และเกลือสามารถนำมารักษาสิว หรือรอยแดงจากสิวได้ แต่อันที่จริงแล้ว สิ่งเหล่านี้สามารถทำร้ายผิวของเราได้ เพราะฉะนั้น ควรหลีกเลี่ยงการนำสิ่งเหล่านี้มารักษาสิว
  12. ควรหลีกเลี่ยงสครับแอปริคอตและสครับพลาสติกไมโครบีดส์. เนื่องจากสครับแอปริคอตจะทำให้เกิดไมโครเทียร์ หรือการฉีกขาดขนาดเล็กของเนื้อเยื่อ ในขณะที่สครับพลาสติกไมโครบีดส์สามารถทำลายสิ่งแวดล้อม และก่อให้เกิดการสะสมของสารตกค้างในห่วงโซ่อาหาร
    • สครับแอปริคอตเป็นผลิตภัณฑ์ที่คนนิยมใช้กัน แต่เปลือกวอลนัทอาจหยาบกร้านเกินไปสำหรับการผลัดผิว รวมถึงอาจก่อให้เกิดไมโครเทียร์ ส่งผลให้เกิดภาวะความแก่จากแสงแดด
    • หลายรัฐในสหรัฐอเมริกากำลังพิจารณาการห้ามวางขายสครับพลาสติกไมโครบีดส์ เนื่องจากสครับชนิดนี้ทำให้แหล่งน้ำเน่าเสีย และมักมีปลาบริโภคเข้าไป
    โฆษณา
วิธีการ 2
วิธีการ 2 ของ 3:

รักษาสิวที่บ้าน

PDF download ดาวน์โหลดบทความ
  1. ล้างหน้าด้วยเคลนเซอร์สูตรค่า pH 5.5 ทุกวัน วันละ 2 ครั้ง. [3] ขั้นแรกสำหรับการมีผิวกระจ่างใส คือ การล้างหน้าเป็นเวลาอย่างเคร่งครัดเพื่อฟื้นฟูแอซิดแมนเทิลบนผิวหนัง หรือ ชั้นของความเป็นกรดอ่อนๆ ที่เคลือบผิวหน้าไว้ ซึ่งช่วยยับยั้งการเกิดของสิว พยายามล้างหน้าด้วยเคลนเซอร์สูตรค่า pH 5.5 [4] หลังตื่นนอนในตอนเช้า และก่อนเข้านอนในช่วงกลางคืน ไม่ว่าคุณจะเหนื่อยแค่ไหนก็ตาม เพียงใช้เวลาสักสองสามนาทีในการทำความสะอาดใบหน้า ปัญหาสิวบนใบหน้าคุณก็จะลดลงเป็นอย่างมาก
    • หากคุณเป็นสิวบริเวณอื่นๆ ของร่างกาย เช่น ไหล่ หลัง และหน้าอก ใช้สครับถูบริเวณดังกล่าวทุกวัน วันละ 2 ครั้ง เช่นกัน
    • หากคุณแต่งหน้า ห้ามเข้านอนทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ล้างเครื่องสำอางออกจากหน้าโดยเด็ดขาด การนอนหลับโดยยังมีเครื่องสำอางอยู่บนใบหน้าอาจเพิ่มปัญหาสิว และยังทำให้การกำจัดสิวออกจากใบหน้าเป็นเรื่องยากยิ่งขึ้น ควรใช้น้ำยาลบเครื่องสำอางสูตรไม่มีน้ำมันลบเครื่องสำอางออกจากหน้าก่อนจะล้างหน้าตามปกติด้วยเคลนเซอร์ ทั้งนี้เพื่อให้แน่ใจว่าเครื่องสำอางทั้งหมดถูกลบออกหมดแล้ว
  2. วิธีที่รู้จักกันในนาม Oil Cleansing Method หรือ OCM เป็นวิธีล้างหน้าที่ได้รับความนิยมในเอเชียและกำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ วิธี OCM นับเป็นอีกหนึ่งวิธีการล้างหน้าที่อ่อนโยนต่อผิว และเหมาะสำหรับผิวบอบบาง
    • ลองใช้น้ำมัน เช่น น้ำมันมะกอก น้ำมันไข่ น้ำมันเมล็ดองุ่น น้ำมันละหุ่ง และน้ำมันอีมูดู
  3. สครับขัดผิว คือ ผลิตภัณฑ์สครับที่อ่อนโยนต่อผิว ที่ช่วยกำจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว ซึ่งจะสะสมและก่อให้เกิดสิว การผลัดเซลล์ผิวมีทั้งแบบเคมีและแบบกายภาพ
    • สำหรับวิธีที่อ่อนโยนต่อผิว ให้ใช้สารผลัดเซลล์ผิว ได้แก่ กรด AHA หรือ BHA ที่มีค่า pH ระหว่าง 3 ถึง 4 เพื่อผลัดผิว โดยการผลัดเซลล์ผิวแบบเคมีจะช่วยลอกเอาผิวหนังที่ตายแล้วออก [5]
    • ผลิตภัณฑ์ BHA ที่มักได้รับการกล่าวถึง ได้แก่ กรดซาลิไซลิก ซึ่งหากนำมาใช้งาน ต้องมีค่า pH ระหว่าง 3 ถึง 4 กรด BHA จะช่วยกำจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกและกระตุ้นการเติบโตของเซลล์ผิวใหม่ คุณคงเคยมีผิวแห้งและเป็นขุยบริเวณที่เป็นสิว แต่เมื่อเวลาผ่านไป อาการเหล่านี้จะค่อยๆ ทุเลาลง เมื่อร่างกายของคุณสร้างเซลล์ผิวใหม่ได้เร็วขึ้น ลองใช้เคลนเซอร์หรือครีมลดจุดด่างดำที่มีส่วนผสมของ BHA กับบริเวณที่เป็นสิวทุกวันดู [6]
    • ยาแอสไพริน ซึ่งมีส่วนผสมของกรดซาลิไซลิก ซึ่งเป็นกรด BHA ชนิดหนึ่ง สามารถนำมาบด ผสมกับน้ำ แล้วใช้แต้มสิวเพื่อลดรอยแดงและการอักเสบ
    • ทาน้ำผึ้งบางๆ ลงบนผิว ทิ้งไว้ 30 นาที แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำอุ่น ปกติแล้ว น้ำผึ้งจะมีค่า pH ตั้งแต่ 3 ถึง 6 โดยน้ำผึ้งที่มีค่า pH ระหว่าง 3 ถึง 4 จะมีส่วนประกอบของกรด AHA ซึ่งช่วยในการผลัดเซลล์ผิว
    • สำหรับการผลัดเซลล์ผิวแบบกายภาพ ลองหาซื้อฟองน้ำคอนยัค ซึ่งอ่อนโยนต่อผิวหน้าของคุณมาใช้ดู
    • สำหรับการผลัดเซลล์ผิวแบบกายภาพ ลองใช้ข้าวโอ๊ตดู ผสมข้าวโอ๊ตกับน้ำผึ้งเข้าด้วยกัน จากนั้นโฉลมลงบนใบหน้าของคุณ นวดราว 2-3 นาที แล้วจึงค่อยๆ ล้างออกด้วยน้ำอุ่น
  4. ว่ากันว่าน้ำมันสะเดาและน้ำมันทรีทีมีสรรพคุณในการฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดสิว แต้มน้ำมันทีทรีหรือน้ำมันสะเดาที่เจอจางแล้วจำนวน 1 หยดลงบนจุดที่เป็นสิว หรือหยดลงบนสำลี แล้วเช็ดบริเวณที่เป็นสิว [7]
    • น้ำมันทีทรีเป็นสารฆ่าเชื้อแบคทีเรีย สามารถขจัดเชื้อจุลินทรีย์ที่อุดตันอยู่ตามตามรูขุมขนได้ หลีกเลี่ยงการใช้น้ำมันทรีทีที่ยังไม่ได้เจอจาง เพราะอาจทำให้ผิวไหม้ และทำให้สิวอักเสบมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ควรอ่านฉลากที่ขวดก่อนใช้
  5. ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของเบนซอยล์เปอร์ออกไซด์. คุณสามารถใช้ได้ทั้งเบนซอยล์เปอร์ออกไซด์ในรูปแบบสบู่หรือรูปแบบโลชั่นกับบริเวณต่างๆ ที่อาจเกิดสิวขึ้นได้ ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ช่วยกำจัดผิวหนังที่ตายแล้ว และกระตุ้นให้ผิวหนังผลิตเซลล์ผิวเซลล์ใหม่มาทดแทนได้เร็วขึ้น ลองมองหาผลิตภัณฑ์ที่มีเบนซอยล์เปอร์ออกไซด์ 3% หรือต่ำกว่า เพื่อไม่ให้ระคายเคืองต่อผิวของคุณ
  6. กำมะถันเป็นสารที่สามารถกำจัดสิวได้อย่างยอดเยี่ยม ถึงแม้ว่าเราจะยังไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ก็ตาม ลองมองหาผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของกำมะถันเพื่อกำจัดสิวบนใบหน้าของคุณด้วยการลดความมันบนใบหน้า
  7. ใช้โทนเนอร์เช็ดให้ทั่วใบหน้า หลังจากที่คุณล้างหน้า ผลัดเซลล์ผิว หรือมาสก์หน้า โทนเนอร์จะช่วยกระชับรูขุมขน ส่งผลให้สิ่งสกปรกและน้ำมันมาอุดตันตามรูขุมขนเหล่านี้ได้น้อยลง ลองหาซื้อโทนเนอร์สูตรรักษาสิวตามร้านขายยาทั่วไปมาใช้ หรือหยดสารสะกัดวิทช์เฮเซล หรือ น้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิลลงบนสำลีก้อน แล้วทาบริเวณที่เป็นสิว หลังจากใช้โทนเนอร์ทำความสะอาดใบหน้าแล้ว ไม่ควรล้างออก แต่ควรทิ้งโทนเนอร์ไว้บนใบหน้า
  8. ความมันเป็นสาเหตุของการเกิดสิว และหากผิวของคุณแห้งมาก ร่างกายของคุณจะผลิตซีบัมขึ้นเพื่อลดความแห้งบนใบหน้าลง เพื่อไม่ให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น ลองใช้มอยส์เจอไรเซอร์สูตรอ่อนโยนทุกๆ เช้าและเย็นหลังจากที่คุณล้างหน้าดู โดยให้ทาหลังจากใช้โทนเนอร์ทำความสะอาดใบหน้าแล้ว [8]
  9. เนื่องจากในสหรัฐอเมริกา เรตินอยด์เป็นยาที่ต้องใช้ใบสั่งยาในการซื้อ เพราะฉะนั้นควรศึกษาผลข้างเคียงให้ดีก่อนใช้ยา เคลนเซอร์ที่มีส่วนผสมของเรตินอยด์จะอุดมไปด้วยวิตามิน ซึ่งช่วยในการกำจัดสิ่งสกปรกที่อุดตันรูขุมขน คุณสามารถขอใบสั่งยาได้จากแพทย์ที่รักษาคุณ อย่างไรก็ตาม ผลิตภัณฑ์เรตินอยด์ที่สามารถซื้อได้ทั่วไปตามหน้าเคาน์เตอร์อาจไม่มีประสิทธิภาพในการรักษาสิว
  10. หาซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของกรดอะเซลาอิก. กรดอะเซลาอิกเป็นสารฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ที่สามารถลดรอยแดง รวมถึงการอักเสบของสิว และยังเป็นสารที่พบได้ตามธรรมชาติในข้าวสาลีและข้าวบาร์เลย์ หากสิวที่ขึ้นมักทิ้งรอยดำไว้บนผิวของคุณ ลองใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของกรดอะเซลาอิกเพื่อทำความสะอาดรูขุมขนของคุณ และลดรอยดำที่เกิดจากสิวดู [9]
  11. ที่มาสก์หน้ามีส่วนผสมที่ช่วยบำรุงผิวของคุณและฆ่าเชื้อแบคทีเรีย มาสก์หน้า 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ เป็นเวลาราว 15-20 นาที เพื่อให้มาสก์ขจัดความมันออกจากใบหน้า และทำความสะอาดรูขุมขน คุณสามารถหาซื้อที่มาสก์หน้าได้จากร้านขายผลิตภัณฑ์เพื่อความงาม หรือร้านขายยาทั่วไป หรือคุณอาจจะทำมาสก์ใช้เองที่บ้านก็ได้
    • ทำมาสก์จากแตงกวาผสมข้าวโอ๊ต. แตงกวาจะช่วยลดรอยแดงและรอยดำที่เกิดจากสิว ส่วนข้าวโอ๊ตจะช่วยทำให้ผิวนุ่มขึ้น และรักษาอาการระคายเคืองบนผิวหนัง ใส่แตงกวากับข้าวโอ๊ตลงในเครื่องเตรียมอาหาร แล้วผสมให้เข้ากันจนละเอียดและกลายเป็นเนื้อเดียวกัน จากนั้นนำมาทาลงบนผิวของคุณ ทิ้งไว้ราว 15-20 นาที ก่อนจะล้างออกด้วยน้ำอุ่น
    โฆษณา

วิธีการ 3
วิธีการ 3 ของ 3:

รักษาสิวที่คลินิกหรือสปา

PDF download ดาวน์โหลดบทความ
  1. สปาส่วนใหญ่มีบริการทำทรีตเมนต์หน้า ซึ่งจะใช้เคลนเซอร์ มาสก์ และเครื่องมือกำจัดสิวหลายชนิดเพื่อลดปัญหาสิวบนใบหน้าของคุณ หากคุณไม่ต้องการทำทรีตเมนต์หน้ากับพนักงานสปา คุณอาจเลือกไปพบแพทย์ผิวหนังเพื่อทำทรีตเมนต์หน้าในรูปแบบที่เป็นทางการแพทย์มากขึ้น
  2. สารลอกผิวหน้า คือ เจลที่มีส่วนผสมของกรด ที่ใช้กำจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วและเซลล์แบคทีเรียโดยเฉพาะ การลอกผิวหน้าบ่อยๆ เป็นระยะเวลานาน นอกเหนือจากการทำทรีตเมนต์หน้าทั่วไปแล้ว จะช่วยลดปัญหาสิวลงได้
  3. การกรอผิว หรือ ไมโครเดอร์มาเบรชัน เป็นกระบวนการที่เซลล์ผิวเก่าของคุณจะถูก “กรอออก” เพื่อให้เซลล์ผิวใหม่ได้เติบโต การกรอผิวสัปดาห์ละครั้ง เป็นระยะเวลาหลายเดือน นับเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการรักษาสิว เนื่องจากในการกรอผิวแต่ละครั้ง จะมีเพียงผิวหนังชั้นนอกสุดเท่านั้นที่โดนกรออก
  4. ใช่แล้ว ใช้เลเซอร์กำจัดสิวบนใบหน้าของคุณนี่แหละ ปัจจุบัน คลินิกผิวหนังหลายแห่งมีให้บริการทำทรีตเมนต์ ซึ่งใช้เลเซอร์ยิงลำแสงชนิดรุนแรงไปที่ผิวหนังเพื่อกำจัดต่อมไขมันใต้ผิวหนังที่ผลิตน้ำมันมากเกินไป การทำเลเซอร์ผิวหน้าอาจทำให้คุณเจ็บ แต่ก็สามารถลดการเกิดสิวลงได้ถึงราว 50%
  5. การทำทรีตเมนต์หน้าด้วยแสงต่างจากการทำเลเซอร์ผิวหน้า ซึ่งก่อให้เกิดความเจ็บปวดบนใบหน้า โดยการทำทรีตเมนต์หน้าด้วยแสงจะใช้เครื่องมือเฉพาะฉายแสงที่มีความรุนแรงน้อยกว่าเลเซอร์ลงบนใบหน้าเพื่อกำจัดเชื้อแบคทีเรีย แสงบางสี (ไม่ว่าจะเป็นแดง เขียว หรือน้ำเงิน) มีส่วนช่วยในการกำจัดสิว ลองปรึกษาแพทย์ผิวหนังของคุณดูว่า การทำทรีตเมนต์หน้าด้วยแสงเป็นทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับคุณหรือไม่ [10]
  6. แพทย์ผิวหนังสามารถออกใบสั่งยาให้กับยาบางชนิดสำหรับรักษาปัญหาสิวขั้นรุนแรง แต่คุณควรใช้ยาเหล่านั้นด้วยความระมัดระวัง เพราะยาบางชนิดสามารถส่งผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์กับผู้ป่วยบางรายได้
    • การคุมกำเนิดบางประเภท (สำหรับผู้หญิง) อาจส่งผลต่อระดับฮอร์โมน ซึ่งอาจก่อให้เกิดปัญหาสิวขึ้นได้ ลองปรึกษาแพทย์ผิวหนังของคุณดูว่า ด้วยเหตุดังกล่าว คุณควรใช้ยารักษาสิวหรือไม่
    • สำหรับปัญหาสิวขั้นรุนแรงบางประเภท แพทย์อาจออกใบสั่งยาให้กับยารักษาเฉพาะทางที่รู้จักในนาม แอคคิวเทน การใช้ยาชนิดนี้รักษาก็คือการรักษาด้วยเรตินอยด์ชนิดเข้มข้น ซึ่งสามารถกำจัดสิวบนใบหน้าผู้ใช้ได้เกือบทั้งหมด อย่างไรก็ตาม ยาชนิดนี้มีผลข้างเคียงที่รุนแรงที่สุดในบรรดายารักษาสิวทั้งหมด จึงควรใช้ด้วยความระมัดระวังเป็นอย่างมาก
    โฆษณา


เคล็ดลับ

  • ไม่ควรทำทรีตเมนต์หลายๆ ประเภทในครั้งเดียว เนื่องจาก หากผลลัพธ์ออกมาดี คุณจะไม่สามารถรู้ได้ว่า ทรีตเมนต์ประเภทใดที่ช่วยให้เกิดผลดีกับใบหน้าของคุณ ควรใช้ทีละผลิตภัณฑ์ และลองหลายๆ วิธีจนกระทั่งคุณพบวิธีที่เหมาะกับคุณ
  • อดทน สิวอาจผุดขึ้นในระยะเวลาเพียงชั่วข้ามคืน ในขณะที่การรักษากินระยะเวลามากกว่าหนึ่งคืน แต่หากคุณมีความอดทน คุณก็จะได้ผิวที่สวยใสไร้สิวอย่างแน่นอน
  • ควรรู้ทันการตลาดของผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติ คุณคงไม่อยากใช้ปรอทที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติหรือไอวี่พิษกับผิวของคุณ ดังนั้น คุณจึงควรระมัดระวังผลิตภัณฑ์ที่โฆษณาว่ามีส่วนผสม “จากธรรมชาติ” การใช้ส่วนผสมจากธรรมชาติไม่ได้หมายความว่าจะปลอดภัยต่อการนำมาบำรุงรักษาผิวเสมอไป! อย่างไรก็ตาม ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการพิสูจน์โดยผู้เชี่ยวชาญแล้วว่าสามารถช่วยบำรุงรักษาผิวของคุณได้
โฆษณา

คำเตือน

  • ควรทาครีมกันแดด หากคุณใช้ยารักษาสิวอย่างกรดซาลิไซลิก เนื่องจาก ถึงแม้ตัวยาเหล่านี้จะช่วยรักษาสิว แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้ผิวของคุณไวต่อแสงแดดมากขึ้น
  • หากคุณกำลังตั้งครรภ์ (และผู้หญิงที่ตั้งครรภ์มักเป็นสิว) ปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ผลิตภัณฑ์หรือยา ใดๆ ที่หาซื้อได้โดยไม่ต้องใช้ใบสั่งยาจากแพทย์
โฆษณา

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 10,650 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา