ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

อาการเกาต์กำเริบเป็นสาเหตุให้คุณรู้สึกเจ็บปวดจนอาจทำให้คุณตื่นขึ้นมากลางดึก โรคเกาต์เกิดขึ้นจากการสะสมของผลึกยูเรตที่ข้อต่อ โดยส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นบริเวณนิ้วหัวแม่เท้า แต่ในบางครั้งอาจเกิดขึ้นที่ข้อต่ออื่นๆ บนเท้าและมือได้เช่นเดียวกัน ซึ่งจะส่งผลให้ข้อต่อเกิดการเจ็บปวดและอักเสบได้ [1] วิธีที่ได้ผลดีที่สุดในการรักษาโรคเกาต์คือการใช้ยาตามที่แพทย์แนะนำ ซึ่งคุณสามารถส่งเสริมกระบวนการรักษาทางการแพทย์ได้ด้วยวิธีการรักษาด้วยตัวเองเพื่อจัดการกับอาการเจ็บปวด และเปลี่ยนแปลงรูปแบบการดำเนินชีวิตเพื่อลดโอกาสที่โรคเกาต์จะกำเริบขึ้นอีกในอนาคต [2]

ส่วน 1
ส่วน 1 ของ 3:

รักษาอาการด้วยตัวเองที่บ้าน

ดาวน์โหลดบทความ
  1. วิธีนี้จะช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดได้ [3]
    • หากอาการเกิดขึ้นที่เท้า ให้เอนตัวลงนอนบนเตียง และใช้หมอนพยุงเท้าขึ้นมา
    • หากเกิดการอักเสบมาก อาจส่งผลให้คุณเจ็บปวดมากจนไม่สามารถแม้แต่จะวางผ้าไว้บนเท้าได้
  2. บรรเทาความเจ็บปวดที่ข้อต่อด้วยการประคบเย็น. วิธีนี้จะช่วยลดการอักเสบและความเจ็บปวดได้
    • นำน้ำแข็งมาประคบไว้ประมาณ 20 นาที และปล่อยไว้สักพักให้ผิวหนังอุ่นขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้ผิวหนังถูกความเย็นทำลาย
    • หากไม่มีน้ำแข็ง คุณสามารถใช้ถั่วหรือข้าวโพดแช่แข็งบรรจุถุงแทนได้
    • ใช้ผ้าขนหนูบางๆ พันน้ำแข็งหรือผักแช่แข็งก่อนนำมาประคบ เพื่อไม่ให้น้ำแข็งถูกผิวโดยตรง
  3. ทานยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ที่ซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป. ยาต้านการอักเสบจะช่วยลดการอักเสบและความเจ็บปวดได้ โดยทานทันทีเมื่ออาการกำเริบ และทานซ้ำอีกครั้งหลังผ่านไป 2 วัน [4] [5]
    • ยาต้านการอักเสบที่แนะนำให้ทาน ได้แก่ ไอบูโพรเฟน (ibuprofen) (เช่น Advil, Motrin IB) และนาพรอกเซนโซเดียม (naproxen sodium) (เช่น Aleve)
    • ยาต้านการอักเสบเหล่านี้ไม่แนะนำให้ใช้กับผู้ที่มีแผลหรือเลือดออกในกระเพาะอาหาร มีปัญหาเกี่ยวกับตับ หรือมีความดันโลหิตสูง
    • ไม่ควรทานแอสไพริน เพราะจะทำให้ระดับกรดยูริกเพิ่มขึ้น [6]
    • ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยาหากคุณกำลังใช้ยาชนิดอื่นอยู่ เพื่อหลีกเลี่ยงปฏิกิริยาใดๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้
    โฆษณา
ส่วน 2
ส่วน 2 ของ 3:

ลดการกำเริบของโรคเกาต์โดยเปลี่ยนแปลงรูปแบบการดำเนินชีวิต

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการทานอาหารเพื่อลดปริมาณพิวรีนที่ทานเข้าไป. เมื่อเรารับประทานพิวรีน ร่างกายก็จะผลิตกรดยูริกออกมา ซึ่งสามารถสะสมตัวเป็นผลึกยูเรตที่ข้อต่อได้ การลดปริมาณพิวรีนในอาหารที่คุณรับประทานจะช่วยให้ร่างกายได้รับพิวรีนในปริมาณน้อยลง [7] [8] [9]
    • ทานเนื้อแดง เช่น สเต๊ก ให้น้อยลง
    • อย่าทานเนื้อสัตว์ที่มีกลิ่นแรง เช่น เนื้อกระต่าย เนื้อไก่ฟ้า และเนื้อกวาง
    • หลีกเลี่ยงการทานเครื่องในสัตว์ เช่น ตับ ไต หัวใจ และตับอ่อน
    • ลดปริมาณการทานอาหารทะเล โดยเฉพาะไข่ปลาคาร์เวียร์และสัตว์น้ำเปลือกแข็ง เช่น หอยแมลงภู่ ปู และกุ้ง นอกจากนี้ยังควรหลีกเลี่ยงปลาที่มีไขมันสูง เช่น ซาร์ดีน แอนโชวี่ แมคเคอเรล สแปรต ไวท์เบท เฮอร์ริ่ง และเทราท์
    • สารสกัดจากยีสต์และเนื้อมีพิวรีนในปริมาณมากเช่นกัน ซึ่งรวมถึงซอส Marmite ซอส Bovril และน้ำเกรวี่อีกหลายยี่ห้อตามท้องตลาด
    • ผลิตภัณฑ์นมไขมันต่ำอาจช่วยลดความเสี่ยงไม่ให้โรคเกาต์กำเริบได้
  2. เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ต่างๆ โดยเฉพาะเบียร์และเหล้า จะประกอบด้วยพิวรีนในปริมาณที่สูง [10]
    • คุณอาจดื่มไวน์เป็นครั้งคราวได้อย่างไม่มีปัญหา ซึ่งในบางครั้งก็อาจเป็นผลดีได้เช่นกัน [11]
    • การดื่มมากเกินไปเป็นการกระตุ้นให้โรคเกาต์กำเริบได้
  3. หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มผสมน้ำตาลที่มีรสหวานจากฟรุกโตส. เครื่องดื่มเหล่านี้จะทำให้โรคเกาต์มีอาการแย่ลง [12]
    • เครื่องดื่มรสเชอร์รี่นั้นถือเป็นข้อยกเว้น เนื่องจากเครื่องดื่มชนิดนี้ไม่แต่งกลิ่นสังเคราะห์และไม่เติมน้ำตาลชนิดอื่นมาก นอกจากนี้ เชอร์รี่และสารสกัดเชอร์รี่ยังช่วยลดระดับกรดยูริกได้อีกด้วย [13]
  4. ไตเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยสร้างปัสสาวะและกำจัดกรดยูริกโดยขับออกทางปัสสาวะ [14]
    • ปริมาณน้ำที่คุณควรดื่มขึ้นอยู่กับขนาดร่างกาย ระดับกิจกรรม และสภาพอากาศในบริเวณที่คุณอยู่ อย่างไรก็ตาม คุณควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้วต่อวัน [15]
    • เมื่อคุณรู้สึกกระหายน้ำ แสดงว่าร่างกายกำลังสูญเสียน้ำและคุณควรดื่มน้ำโดยเร็วที่สุด หากคุณปัสสาวะไม่บ่อยนักและปัสสาวะมีสีเข้มและขุ่น อาจเป็นสัญญาณเตือนว่าร่างกายของคุณกำลังขาดน้ำ
  5. วิธีนี้จะช่วยสร้างเสริมสุขภาพและทำให้คุณรู้สึกดี
    • ออกกำลังกายระดับกลาง เช่น การเดิน ประมาณ 30 นาที หรือประมาณ 15 นาทีสำหรับการออกกำลังกายที่ต้องใช้กำลังมาก เช่น การวิ่ง โดยออกกำลังกายสัปดาห์ละ 5 ครั้ง [16]
    • การว่ายน้ำเป็นวิธีการออกกำลังกายที่ดีที่จะไม่ทำให้คุณได้รับบาดเจ็บบริเวณข้อต่อ
  6. อย่างไรก็ตาม คุณควรปฏิบัติตามแผนการลดน้ำหนักที่ดีต่อสุขภาพและยั่งยืน
    • การลดน้ำหนักอย่างหักโหมที่ทำให้น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว โดยมากมักทานโปรตีนในปริมาณมากและลดปริมาณคาร์โบไฮเดรต การทานอาหารเช่นนี้จะทำให้ได้รับพิวรีนในปริมาณสูง และอาจทำให้เกาต์มีอาการแย่ลง
  7. วิตามินจะช่วยเพิ่มการขับกรดยูริกผ่านทางไตออกมาในปัสสาวะ ซึ่งจะช่วยป้องกันการกำเริบของโรคเกาต์ได้ [17]
    • ปรึกษาแพทย์ก่อนทานอาหารเสริมเพื่อให้แน่ใจว่าคุณสามารถทานได้อย่างปลอดภัย
    • วิตามินซีสามารถลดกรดยูริกได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ดังนั้นแม้ว่าวิตามินซีอาจช่วยป้องกันการกำเริบซ้ำ แต่ก็ไม่สามารถรักษาโรคเกาต์ให้หายได้
  8. กาแฟทั้งแบบมีคาเฟอีนและไม่มีคาเฟอีนจะช่วยลดระดับกรดยูริกได้ อย่างไรก็ตาม วิธีนี้ยังไม่มีหลักฐานที่ชัดเจน เนื่องจากการค้นคว้ายังไม่สามารถพิสูจน์ว่าได้ผลจริงหรือไม่
    โฆษณา
ส่วน 3
ส่วน 3 ของ 3:

รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ควรไปพบแพทย์

ดาวน์โหลดบทความ
  1. เนื่องจากโรคเกาต์จะทำให้ข้อต่อเกิดการอักเสบได้ ดังนั้นจึงควรเริ่มทำการรักษาโดยเร็วที่สุด นอกจากนี้ การรักษาตั้งแต่ช่วงแรกเริ่มยังช่วยลดอาการเจ็บปวดที่มีได้อย่างรวดเร็วขึ้นอีกด้วย [18]
    • อาการของโรคเกาต์ จะมีอาการเจ็บปวดอย่างรุนแรง การอักเสบ และรอยแดงตรงบริเวณข้อต่อที่เกิดการกำเริบ ซึ่งอาการจะเกิดขึ้นติดต่อกันนานหลายชั่วโมง และจะเริ่มรุนแรงน้อยลงภายในไม่กี่วันหรือไม่กี่สัปดาห์ โดยส่วนใหญ่อาการมักเกิดขึ้นที่มือและเท้า [19]
    • แม้ว่าโรคเกาต์จะดีขึ้นได้ด้วยการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการดำเนินชีวิต แต่การรักษาโรคเกาต์ยังจำเป็นต้องรักษาด้วยยา
    • ไปพบแพทย์ทันทีหากอาการเกาต์กำเริบพร้อมกับมีไข้และรู้สึกร้อนตรงบริเวณข้อต่อ เนื่องจากอาการเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณเตือนของการติดเชื้อที่จำเป็นต้องได้รับการรักษาโดยด่วน [20]
  2. ปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับยาแต่ละประเภทที่สามารถรักษาโรคเกาต์ได้. แพทย์ของคุณจะช่วยกำหนดแผนการรักษาที่เหมาะสมกับความต้องการและประวัติการรักษาของคุณ โดยแพทย์อาจสั่งจ่ายยาเหล่านี้ให้กับคุณ [21]
    • ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ - หากยาที่ซื้อจากร้านขายยานั้นไม่ได้ผลและไม่สามารถบรรเทาอาการเจ็บปวดได้ แพทย์ก็จะสั่งจ่ายยาที่แรงขึ้น
    • คอลชิซีน (colchicine) - ยาชนิดนี้จะช่วยลดการอักเสบที่บริเวณข้อต่อที่เกิดขึ้นจากการสะสมของผลึก
    • คอร์ติโคสเตียรอยด์ (corticosteroids) - ยาชนิดนี้อาจให้โดยการฉีดเข้าข้อต่อโดยตรงเพื่อการบรรเทาที่รวดเร็ว ซึ่งวิธีนี้เหมาะสมเป็นอย่างยิ่งกับผู้ที่ไม่สามารถใช้ยาเอ็นเสด (NSAIDs) ได้ อย่างไรก็ตาม ไม่ควรใช้ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ติดต่อกันนานเกินไป
    • หากคุณมีประวัติการเป็นโรคเกาต์มาก่อน แพทย์ของคุณอาจสั่งจ่ายยาที่จะช่วยลดระดับกรดยูริกในร่างกาย ทั้งจากการลดปริมาณกรดยูริกที่ร่างกายผลิต และจากการเพิ่มปริมาณกรดยูริกที่ร่างกายขับออกมา [22]
  3. พิจารณาปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคในอนาคตเพื่อหาแนวทางป้องกัน. บางคนมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคเกาต์มากกว่าผู้อื่น โดยปัจจัยที่อาจก่อให้เกิดความเสี่ยง ได้แก่ [23]
    • ทานอาหารโดยเน้นทานเนื้อสัตว์และอาหารทะเล และดื่มเครื่องดื่มรสหวานและเบียร์ในปริมาณมากเกินไป
    • มีน้ำหนักเกิน
    • เป็นโรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคเกี่ยวกับการเผาผลาญอาหาร และโรคหัวใจหรือโรคไต
    • กำลังทานยาลดความดันโลหิต ยากดภูมิต้านทานเพื่อป้องกันการปฏิเสธอวัยวะใหม่หลังการปลูกถ่าย หรือยาแอสไพริน
    • มีประวัติบุคคลในครอบครัวเป็นโรคเกาต์
    • เคยได้รับการผ่าตัดหรือได้รับบาดเจ็บ
    • ผู้ชายจะมีแนวโน้มในการเป็นโรคเกาต์มากกว่าผู้หญิง อย่างไรก็ตาม ผู้หญิงจะมีโอกาสเสี่ยงในการเป็นโรคเกาต์มากขึ้นหลังเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน
    โฆษณา

คำเตือน

  • ไม่ควรทานยาแอสไพรินแม้ว่าแอสไพรินจะเป็นยาแก้ปวด เนื่องจากแอสไพรินจะทำให้ระดับกรดยูริกในกระแสเลือดสูงขึ้น ซึ่งจะเพิ่มความเจ็บปวดและการอักเสบตรงบริเวณที่เกิดโรคเกาต์
  • ปรึกษาแพทย์เสมอก่อนเริ่มลองทานอาหารหรือใช้วิธีการรักษาด้วยตัวเองแบบใหม่
โฆษณา

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 21,033 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา