โรคไบโพลาร์หรือโรคอารมณ์สองขั้ว (Bipolar Disorder) เดิมเรียกว่าภาวะแมเนียและซึมเศร้า (manic depression) คือความผิดปกติของสมองที่ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ การกระทำ พลังงานและการทำงานในแต่ละวัน แม้ว่าจะมีผู้ใหญ่ชาวอเมริกันเกือบ 6 ล้านคนที่มีอาการไบโพลาร์ แต่ก็มักมีการเข้าใจผิดเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้งเหมือนอาการป่วยทางจิตส่วนใหญ่ ในสังคมทั่วไปคนมักพูดว่าใครก็ตามที่เป็น “ไบโพลาร์” จะแสดงอารมณ์แปรปรวนออกมา แต่เกณฑ์การวินิจฉัยเรื่องโรคไบโพลาร์เป็นเรื่องที่เข้มงวดมากกว่านั้น ซึ่งแท้จริงแล้วโรคไบโพลาร์มีหลายประเภทด้วยกัน [1] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง และแม้ว่าโรคไบโพลาร์แต่ละประเภทจะเป็นโรคที่ดูร้ายแรงแต่มันสามารถรักษาได้โดยผ่านการใช้ยาตามคำสั่งแพทย์ร่วมกับจิตบำบัด [2] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ National Institute of Mental Health ไปที่แหล่งข้อมูล หากคุณคิดว่าคนที่คุณรู้จักเป็นโรคไบโพลาร์อยู่ ให้อ่านบทความนี้เพื่อลองหาวิธีช่วยเหลือคนที่คุณรักดูสิ
ขั้นตอน
-
มองหา “ช่วงภาวะทางอารมณ์” ที่รุนแรงผิดปกติ. ช่วงอารมณ์ที่แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงจากอารมณ์ปกติอย่างมีนัยสำคัญ หรือบางทีถึงขั้นรุนแรง นิยมเรียกกันว่า “อารมณ์แปรปรวน” คนที่เป็นโรคไบโพลาร์อาจสลับระหว่างช่วงอารมณ์ไปมาได้อย่างรวดเร็วหรือไม่บ่อยเท่าไหร่นัก [3] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ National Institute of Mental Health ไปที่แหล่งข้อมูล
- ช่วงภาวะทางอารมณ์มี 2 ประเภทพื้นฐานคือ ช่วงที่มีอารมณ์ดีพลุ่งพล่านมากผิดปกติหรือช่วงภาวะ “แมเนีย” และช่วงอารมณ์หดหู่มากผิดปกติหรือช่วงภาวะ “ซึมเศร้า” นอกจากนี้ยังมีบุคคลที่อาจมีช่วงภาวะ “ผสม” ซึ่งมีอาการของภาวะแมเนียและซึมเศร้าปรากฏในเวลาเดียวกัน [4] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ National Institute of Mental Health ไปที่แหล่งข้อมูล
- คนที่ป่วยเป็นไบโพลาร์อาจมีช่วงภาวะ “ปกติ” อยู่ระหว่างช่วงภาวะทางอารมณ์เหล่านี้ด้วย [5] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
-
หาความรู้เกี่ยวกับโรคไบโพลาร์หลากหลายประเภท. โรคไบโพลาร์มี 4 ประเภทพื้นฐานที่ได้รับวินิจฉัยอยู่เป็นประจำคือ ไบโพลาร์ประเภท1 ไบโพลาร์ประเภท2 ไบโพลาร์ประเภทไม่สามารถระบุได้ (Bipolar Disorder Not Otherwise Specified) และไบโพลาร์ประเภทไซโคลไธเมีย (Cyclothymia) ประเภทของโรคไบโพลาร์จะถูกวินิจฉัยโดยพิจารณาจากความรุนแรงและระยะเวลาของโรค เช่นเดียวกับวงจรของช่วงภาวะทางอารมณ์ว่าเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วแค่ไหน [6] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง ผู้เชี่ยวชาญด้านการฝึกฝนสุขภาพจิตจะเป็นผู้วินิจฉัยโรคไบโพลาร์ ซึ่งคุณไม่สามารถทำมันได้ด้วยตัวเองและไม่ควรพยายามทำเช่นนั้น
- โรคไบโพลาร์ประเภท1 จะเกี่ยวข้องกับช่วงภาวะแมเนียหรือผสมซึ่งเป็นเวลาอย่างน้อย 7 วัน นอกจากนั้นคนที่เป็นภาวะแมเนียรุนแรงอาจทำให้เขา/เธอตกอยู่ในภาวะอันตรายพอที่จะต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์โดยทันที นอกจากนั้นช่วงภาวะซึมเศร้ายังเกิดขึ้นเป็นเวลานานอย่างน้อย 2 สัปดาห์อีกด้วย [7] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ National Institute of Mental Health ไปที่แหล่งข้อมูล
- โรคไบโพลาร์ประเภท2 เกี่ยวข้องกับช่วงภาวะทางอารมณ์ที่รุนแรงน้อยกว่าที่เรียกว่า ไฮโปแมเนีย (Hypomania) คือสภาวะแมเนียที่รุนแรงน้อยกว่า ซึ่งผู้ป่วยจะรู้สึก “ดีมาก” ทำให้เกิดผลดีสูงสุดและสามารถทำงานได้อย่างดีเยี่ยม สภาวะแมเนียประเภทนี้อาจพัฒนาไปสู่แมเนียประเภทรุนแรงได้หากไม่ได้รับการรักษา [8] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ National Institute of Mental Health ไปที่แหล่งข้อมูล นอกจากนั้นช่วงภาวะซึมเศร้าในไบโพลาร์ประเภท2 จะรุนแรงน้อยกว่าช่วงภาวะซึมเศร้าในไบโพลาร์ประเภท1
- ไบโพลาร์ประเภทไม่สามารถระบุได้ (BP-NOS) คือ การวินิจฉัยที่ทำขึ้นเมื่อมีอาการของโรคไบโพล่าร์แต่ไม่เป็นไปตามเกณฑ์ของเกณฑ์การวินิจฉัยทางจิตเวช (DSM-5) กระนั้น อาการเหล่านี้ยังคงไม่ใช่ “ภาวะปกติ” ตามมาตรฐานของบุคคลทั่วไป
- ไบโพลาร์ประเภทไซโคลไธเมียหรือสภาวะไซโคลไธเมียเป็นไบโพลาร์ชนิดอ่อน เป็นระยะเวลาของช่วงไฮโปมาเนียสลับกับช่วงภาวะซึมเศร้าชนิดสั้นและอ่อน ไบโพลาร์ชนิดนี้จะแสดงอาการอย่างน้อย 2 ปีตามเกณฑ์การวินิจฉัย [9] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ National Institute of Mental Health ไปที่แหล่งข้อมูล [10] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- คนที่เป็นไบโพลาร์อาจพบกับ “วงจรสลับเร็ว (rapid cycling)” ซึ่งเธอ/เขาอาจพบกับช่วงภาวะทางอารมณ์ 4 แบบ คือ มีทั้งภาวะซึมเศร้า ภาวะแมเนีย ภาวะไฮโปแมเนีย ภาวะผสมหรือมากกว่านั้นภายในช่วงเวลา 12 เดือน วงจรสลับเร็วในไบโพลาร์นี้ดูเหมือนจะส่งผลกระทบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายเล็กน้อยและสามารถเป็นๆ หายๆ ได้ [11] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง [12] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ National Institute of Mental Health ไปที่แหล่งข้อมูล
-
รู้จักวิธีการรับรู้ถึงช่วงภาวะแมเนีย. วิธีการปรากฏของช่วงภาวะแมเนียอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล อย่างไรก็ตามมันจะแสดงถึงอารมณ์ที่พลุ่งพล่านหรือ “เร่งขึ้น” อย่างเห็นได้ชัดมากกว่า “ภาวะปกติ” ของบุคคลหรือสภาวะทางอารมณ์ขั้นพื้นฐาน บางอาการของภาวะแมเนียอาจรวมถึง [13] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง [14] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง [15] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ National Institute of Mental Health ไปที่แหล่งข้อมูล
- รู้สึกมีความสุขเบิกบานหรือตื่นเต้นอย่างสุดขีด คนที่อยู่ในช่วงภาวะแมเนียอาจรู้สึก “เคลิบเคลิ้ม” หรือมีความสุขแม้แต่เรื่องแย่ๆ ก็ไม่สามารถทำลายอารมณ์ของเขา/เธอได้ ความรู้สึกของความสุขอย่างสุดขีดนี้จะยังคงอยู่แม้จะไม่มีสาเหตุที่แน่ชัด
- มีความมั่นใจในตัวเองมาก มีความรู้สึกว่าตัวเองแข็งแกร่งมีอำนาจและมีอาการหลงผิดคิดว่าตนเองยิ่งใหญ่ คนที่อยู่ในช่วงภาวะแมเนียอาจมีอีโก้เหลือล้นและความรู้สึกภาคภูมิใจในตนเองสูงกว่าปกติ เธอ/เขาอาจเชื่อว่าสามารถทำอะไรได้เกินตัวราวกับว่าไม่มีสิ่งใดสามารถขัดขวางเขา/เธอได้ และเธอ/เขาอาจจินตนาการว่าตนมีการติดต่อพิเศษกับบุคคลสำคัญหรือปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติได้
- หงุดหงิดและโกรธเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว คนที่อยู่ในช่วงภาวะแมเนียอาจตะคอกใส่ผู้อื่นแม้จะไม่มีสิ่งใดมายั่วยุ เธอ/เขามีแนวโน้มที่จะ “ขี้โมโห” หรือโกรธง่ายกว่าปกติ
- มีอาการสมาธิสั้นหรือไฮเปอร์ คือคนที่อาจทำอะไรหลายๆ อย่างพร้อมกันในเวลาเดียวหรือวางแผนกำหนดสิ่งที่ต้องทำในแต่ละวันมากเกินกว่าจะสามารถทำได้อย่างเหมาะสม เธอ/เขาอาจเลือกทำกิจกรรมมากมายแม้จะดูเป็นสิ่งที่เลื่อนลอยไม่มีจุดหมายแทนการนอนหลับหรือรับประทานอาหาร
- ช่างพูดช่างคุย พูดจาไม่ปะติดปะต่อหรือมีความคิดมากมายแข่งกันในหัวเพิ่มขึ้น คนที่อยู่ในช่วงภาวะแมเนียมักจะมีปัญหาในการรวบรวมความคิด แม้ว่าเธอ/เขาจะพูดคุยมากกว่าปกติ เธอ/เขาอาจเปลี่ยนจากความคิดหรือสิ่งที่ทำอยู่ไปอย่างใดอย่างหนึ่งไปสู่อีกอย่างหนึ่งอย่างรวดเร็ว
- มีความรู้สึกกระสับกระส่ายหรือปั่นป่วน คนที่อาจรู้สึกปั่นป่วนหรือร้อนใจจนไม่สามารถอยู่นิ่งได้นั้นอาจมีจิตใจวอกแวกได้ง่าย
- มีพฤติกรรมที่อยู่ในภาวะเสี่ยงเพิ่มขึ้นอย่างฉับพลัน คนที่อาจทำสิ่งผิดปกติไปจากเดิมหรือทำตัวอยู่ในภาวะเสี่ยง เช่น มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ปลอดภัย เพลิดเพลินกับการจับจ่ายซื้อของโดยไม่ยับยั้งหรือเล่นการพนัน กิจกรรมที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่างๆ เช่น การเล่นหรือการแสดงความสามารถทางกีฬาที่รุนแรงและอันตรายโดยเฉพาะคนที่ไม่ได้เตรียมตัวให้พร้อมมากพอนั้นก็อาจเกิดขึ้นได้เช่นกัน
- มีความต้องการนอนลดลง คนที่ใช้เวลานอนน้อยมากแต่ยังรู้สึกว่าไม่จำเป็นที่จะต้องพักผ่อนนั้น เธอ/เขาอาจประสบกับภาวะนอนไม่หลับหรือรู้สึกราวกับว่าเธอ/เขาไม่จำเป็นต้องนอน
-
รู้จักกับวิธีการรับรู้ถึงช่วงภาวะซึมเศร้า. ถ้าหากช่วงภาวะแมเนียทำให้คนที่เป็นไบโพลาร์รู้สึกราวกับว่าเธอ/เขาเป็น “คนที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของโลกใบนี้” ช่วงภาวะซึมเศร้าอาจเป็นความรู้สึกของการถูกบดขยี้ในจุดต่ำสุดก็ได้ อาการอาจแตกต่างกันออกไปในแต่ละคน แต่มีบางอาการร่วมกันที่ต้องระวังคือ [16] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ National Institute of Mental Health ไปที่แหล่งข้อมูล [17] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ Mayo Clinic ไปที่แหล่งข้อมูล
- รู้สึกเศร้าหรือสิ้นหวังอย่างรุนแรง ความรู้สึกเหล่านี้ไม่ได้ปรากฏสาเหตุแน่ชัดเช่นเดียวกับรู้สึกมีความสุขหรือตื่นเต้นในช่วงภาวะแมเนีย คนป่วยอาจรู้สึกสิ้นหวังหรือไร้ค่าถึงแม้ว่าคุณจะพยายามให้กำลังใจเธอ/เขาก็ตาม
- มีภาวะสิ้นยินดี (Anhedonia) นี่เป็นวิธีการพูดที่ฟังดูดีถึงคนที่ไม่แสดงความสนใจหรือความเพลิดเพลินในสิ่งที่เธอ/เขาเคยมีความสุขที่จะทำอีกต่อไป นอกจากนั้นแรงขับทางเพศอาจลดต่ำลงอีกด้วย
- ความเมื่อยล้าเป็นเรื่องที่พบบ่อยในคนป่วยเป็นภาวะซึมเศร้าซึ่งจะรู้สึกเหนื่อยตลอดเวลา นอกจากนี้เธอ/เขาอาจคร่ำครวญถึงความเจ็บหรือปวดอีกด้วย
- รูปแบบการนอนถูกรบกวน นอกจากภาวะซึมเศร้าแล้ว พฤติกรรมการนอนหลับใน “ภาวะปกติ” ของคนเรานั้นถูกรบกวนในทางใดทางหนึ่ง บางคนนอนมากเกินไปขณะที่คนอื่นๆ อาจนอนน้อยเกินไป ทั้งสองวิธีนี้แสดงให้เห็นว่าพฤติกรรมการนอนของพวกเขาแตกต่างอย่างชัดเจนจาก “ภาวะปกติ”
- การเปลี่ยนแปลงของความอยากอาหาร คนที่อยู่ในช่วงภาวะซึมเศร้าอาจน้ำหนักลดลงหรือเพิ่มขึ้น พวกเขาอาจกินมากเกินไปหรือกินอาหารไม่เพียงพอซึ่งความผันแปรเหล่านี้ขึ้นอยู่กับบุคคลและแสดงถึงการเปลี่ยนแปลงจากสิ่งที่เป็น “ภาวะปกติ”
- ไม่มีสมาธิ ภาวะซึมเศร้าสามารถสร้างปัญหาในการตั้งใจจดจ่อหรือแม้แต่ตัดสินใจในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ คนป่วยอาจรู้สึกว่าเกือบจะไม่สามารถทำสิ่งใดได้เมื่อเธอ/เขากำลังตกอยู่ในช่วงภาวะซึมเศร้า
- มีความคิดหรืออยากฆ่าตัวตาย อย่าสันนิษฐานว่าการแสดงออกของความคิดหรือความตั้งใจใดๆ ก็ตามเป็นแค่ “การเรียกร้องความสนใจ” การฆ่าตัวตายคือความเสี่ยงอย่างแท้จริงสำหรับคนที่ป่วยเป็นไบโพลาร์ โทรแจ้งเหตุด่วนเหตุร้ายได้ที่ 191 ทันทีหากคนรักของคุณคิดหรือตั้งใจที่จะฆ่าตัวตาย
-
อ่านบทความทั้งหมดเกี่ยวกับโรคไบโพลาร์. คุณดำเนินการขั้นตอนแรกได้อย่างดีเยี่ยมในการค้นหาข้อมูลจากบทความนี้ไปแล้ว ยิ่งคุณรู้เกี่ยวกับโรคไบโพลาร์มากเท่าไหร่ คุณจะสามารถช่วยเหลือคนที่คุณรักได้ดีขึ้นเท่านั้นและข้างล่างนี้คือแหล่งข้อมูลบางส่วนที่คุณอาจนำไปพิจารณาได้ [18] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ HelpGuide ไปที่แหล่งข้อมูล [19] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- กรมสุขภาพจิตคือสถานที่ที่ดีเยี่ยมในการเริ่มต้นหาข้อมูลเกี่ยวกับโรคไบโพลาร์ อาการของมันและสาเหตุที่เป็นไปได้ในการเกิดโรค ตัวเลือกในการรักษาและวิธีที่จะใช้ชีวิตกับอาการป่วยนี้ [20] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ National Institute of Mental Health ไปที่แหล่งข้อมูล
- กลุ่มที่ให้การสนับสนุนโรคซึมเศร้าและไบโพลาร์ เช่น “ชมรมเพื่อนไบโพลาร์” (Bipolar Friend Club) ของสมาคมสายใยครอบครัวหรือเพจ “Better together” ใน Facebook [21] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง ได้จัดหาข้อมูลไว้ให้สำหรับผู้ที่ป่วยเป็นไบโพลาร์และคนรักของพวกเขา [22] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- ในบันทึกของ มาร์ยา ฮอร์นบาเกอร์เรื่อง “Madness: A Bipolar Life” เล่าเกี่ยวกับการต่อสู้กับโรคไบโพลาร์ตลอดช่วงชีวิตของผู้เขียนและในบันทึกของดร.เคย์ เรดฟิลด์ เจมิสันเรื่อง “An Unquiet Mind” ก็ได้เล่าเกี่ยวกับชีวิตผู้เขียนซึ่งเป็นนักวิทยาศาสตร์ผู้ที่ป่วยเป็นไบโพลาร์เช่นกัน ในขณะที่ประสบการณ์ของแต่ละคนสร้างความเป็นเอกลักษณ์ให้กับพวกเขา หนังสือเหล่านี้อาจช่วยคุณให้เข้าใจว่าคนรักของคุณกำลังก้าวผ่านสิ่งใดอยู่ก็เป็นได้
-
ไม่ยอมรับเรื่องเล่าต่อกันมาบ่อยๆ เกี่ยวกับการป่วยทางจิต. เป็นเรื่องธรรมดาที่โรคทางจิตเวชอาจถูกตราหน้าว่าเป็น “สิ่งผิด” แต่เธอ/เขาสามารถจะ “ปลดปล่อยความรู้สึกนี้ออกไป” ได้หากเธอ/เขา “พยายามอย่างหนักมากพอ” หรือ “คิดแง่บวกมากขึ้น” [23] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง ความจริงคือความคิดเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องจริง โรคไบโพลาร์มีผลมาจากปัจจัยการปฏิสัมพันธ์ที่ซับซ้อนรวมไปถึงลักษณะทางพันธุกรรม โครงสร้างสมอง ความไม่สมดุลของสารเคมีในร่างกายและความกดดันทางสังคมและวัฒนธรรม [24] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ National Institute of Mental Health ไปที่แหล่งข้อมูล คนที่เป็นโรคไบโพลาร์ไม่สามารถหายขาดได้แต่อย่างไรก็ตามมันยังสามารถรักษาได้ [25] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- คิดถึงวิธีที่คุณจะพูดกับใครสักคนที่ป่วยเป็นโรคแตกต่างกันให้ดี เช่น ผู้ป่วยมะเร็ง ซึ่งคุณอาจจะถามเขาว่า “คุณเคยพยายามที่จะหายขาดจากโรคมะเร็งไหม?” การบอกใครสักคนที่เป็นไบโพลาร์เพื่อให้ “พยายามให้หนักขึ้น” เป็นวิธีที่ไม่ถูกต้องพอๆ กัน [26] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- มีการเข้าใจผิดว่าไบโพลาร์เป็นโรคที่พบได้น้อยมาก แต่ในความเป็นจริงนั้นมีผู้ใหญ่ชาวอเมริกันประมาณ 6 ล้านคนที่ป่วยเป็นโรคไบโพลาร์บางประเภท [27] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง แม้แต่บุคคลที่มีชื่อเสียงเช่น สตีเฟ่น ฟราย แคร์รี่ ฟิชเชอร์และฌองคล็อด แวนแดมม์ ต่างก็เคยเปิดเผยเรื่องราวการถูกวินิจฉัยว่าเป็นไบโพลาร์ [28] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง [29] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- อีกเรื่องเล่าต่อกันมาบ่อยๆ คือช่วงภาวะอารมณ์แมเนียหรือซึมเศร้าเป็น “ภาวะปกติ” หรือเป็นเรื่องที่ดี แม้เป็นเรื่องจริงที่ว่าทุกคนมีทั้งวันที่ดีและวันแย่ๆ แต่โรคโบโพลาร์ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ที่รุนแรงและสร้างความเสียหายได้มากกว่า “อารมณ์แปรปรวน” หรือ “วันแย่ๆ” ปกติทั่วไป พวกมันอาจทำให้เกิดความผิดปกติที่มีผลต่อชีวิตประจำวันของผู้ป่วย [30] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- ความผิดพลาดที่พบบ่อยคือการสร้างความสับสนระหว่างโรคจิตเภทกับโรคไบโพลาร์ พวกมันไม่ใช่โรคเดียวกันแม้ว่าจะมีอาการบางอย่าง (เช่น อาการซึมเศร้า) เหมือนกัน โรคไบโพลาร์เป็นลักษณะเฉพาะ โดยจะมีการเปลี่ยนแปลงระหว่างช่วงภาวะทางอารมณ์ที่รุนแรง ส่วนมากแล้วโรคจิตเภททำให้เกิดอาการเหล่านี้ เช่น อาการประสาทหลอน อาการหลงผิดและอาการพูดไม่รู้เรื่องหรือไม่สามารถสื่อสารให้คนอื่นเข้าใจได้ซึ่งมักจะไม่ปรากฏในโรคไบโพลาร์ [31] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- หลายคนเชื่อว่าคนที่ป่วยเป็นโรคไบโพลาร์หรือซึมเศร้านั้นเป็นอันตรายต่อคนอื่น สื่อข่าวต่างๆ เป็นตัวการที่ร้ายกาจอย่างยิ่งในการส่งเสริมความคิดนี้ ในความเป็นจริงนั้นมีงานวิจัยแสดงให้เห็นว่าคนที่ป่วยเป็นโรคไบโพลาร์ไม่ได้กระทำการรุนแรงใดๆ ไปมากกว่าคนปกติ อย่างไรก็ตามคนที่ป่วยเป็นไบโพลาร์อาจมีแนวโน้มที่จะตัดสินใจหรือพยายามฆ่าตัวตายมากกว่าคนปกติเช่นกัน [32] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
โฆษณา
-
หลีกเลี่ยงการใช้ถ้อยคำที่ฟังดูเจ็บปวด. บางคนอาจพูดติดตลกว่าพวกเขาเป็น “โบโพลาร์อ่อนๆ” หรือ “โรคจิต” เมื่อพวกเขากำลังอธิบายเกี่ยวกับตัวเองแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ถูกวินิจฉัยว่ามีอาการป่วยทางจิต นอกจากเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องแล้ว การใช้ภาษาประเภทนี้ทำให้ประสบการณ์หรือเรื่องราวของคนป่วยเป็นโรคไบโพลาร์ดูไม่มีค่า ดังนั้นคุณจะต้องให้เคารพเมื่อพูดถึงอาการป่วยทางจิต [33] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- เป็นเรื่องสำคัญมากที่ต้องจำไว้ว่าคนเรานั้นเป็นมากกว่าอาการป่วย พวกเขาก็มีความรู้สึกเช่นกัน ดังนั้นไม่ควรใช้คำพูดเหมารวมกับพวกเขาเช่น “ฉันคิดว่าคุณเป็นไบโพลาร์ล่ะ” แต่ให้ใช้คำพูดนี้แทน เช่น “ฉันคิดว่าคุณอาจป่วยเป็นไบโพลาร์นะ” [34] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- การพูดถึงใครบางคน “ราวกับว่า” อาการเจ็บป่วยนั้นจะลดทอนส่วนใดส่วนหนึ่งของพวกเขาลงไป สิ่งนี้เหมือนเป็นการตราหน้าเรื่องอาการเจ็บป่วยทางจิตของพวกเขาอยู่ แม้ว่าคุณจะไม่ได้หมายความอย่างนั้นก็ตาม
- พยายามปลอบใจคนอื่นด้วยการพูดว่า “ฉันก็ป่วยเป็นไบโพลาร์เหมือนกัน” หรือ “ฉันรู้ว่าคุณรู้สึกยังไง” นั้นสามารถทำร้ายความรู้สึกของผู้ฟังมากกว่าจะทำให้รู้สึกดี สิ่งเหล่านี้อาจทำให้เขารู้สึกราวกับว่าคุณไม่ได้ช่วยเหลือพวกเขาอย่างจริงจัง
-
พูดคุยเรื่องความกังวลใจของคุณกับคนที่คุณรัก. คุณอาจกังวลเรื่องการคุยกับคนที่คุณรักเพราะกลัวว่าจะทำให้เขา/เธอไม่พอใจ จริงๆแล้วมันเป็นประโยชน์และสำคัญมากที่จะการพูดคุยกับคนที่คุณรักเรื่องความกังวลใจของคุณ การ “ไม่” พูดคุยเกี่ยวกับอาการเจ็บป่วยทางจิตนั้นจะสร้างตราบาปที่ไม่ยุติธรรมและอาจเป็นการส่งเสริมให้คนป่วยเชื่ออย่างผิดๆ ว่าพวกเขา “แย่” หรือ “ไร้ค่า” หรือควรรู้สึกอับอายเรื่องความเจ็บป่วยของตัวเอง เมื่อคุณเริ่มเข้าหาคนที่คุณรักแล้วให้เปิดใจ ซื่อสัตย์และแสดงความเห็นอกเห็นใจออกมาให้เขาเห็น [35] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ HelpGuide ไปที่แหล่งข้อมูล
- สร้างความมั่นใจว่าเธอ/เขาไม่ได้อยู่คนเดียว โรคไบโพลาร์สามารถทำให้คนป่วยรู้สึกโดดเดี่ยวเป็นอย่างมาก บอกคนที่คุณรักว่าคุณอยู่ตรงนี้เพื่อเธอ/เขา และจะช่วยเหลือสนับสนุนเขา/เธอเท่าที่คุณจะทำได้
- ยอมรับว่าอาการเจ็บป่วยของคนที่คุณรักนั้นเป็นเรื่องจริง การพยายามทำให้อาการของโรคเป็นเรื่องเล็กไม่ได้ทำให้เธอ/เขารู้สึกดีขึ้นได้ แทนที่จะพยายามบอกคนป่วยว่าอาการเจ็บป่วยนั้น “ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร” ให้ยอมรับแทนว่าอาการตอนนี้เป็นเรื่องร้ายแรงแต่สามารถรักษาได้ ยกตัวอย่างเช่น “ฉันรู้ว่าคุณป่วยจริงและรู้ว่ามันทำให้คุณรู้สึกและทำสิ่งที่ดูไม่เหมือนตัวคุณแต่เราสามารถหาทางช่วยเหลือคุณไปด้วยกันได้นะ”
- ถ่ายทอดความรักและการยอมรับไปให้ผู้ป่วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่อยู่ในช่วงภาวะซึมเศร้า ผู้ป่วยอาจเชื่อว่าเธอ/เขาไร้ค่าหรือถูกทำลาย ตอบโต้กับความเชื่อแง่ลบเหล่านี้โดยการแสดงความรักและการยอมรับในตัวผู้ป่วย เช่น “ฉันรักคุณนะ คุณคือสิ่งสำคัญสำหรับฉันและฉันก็เป็นห่วงคุณด้วย นี่คือเหตุผลว่าทำไมฉันถึงอยากช่วยคุณ”
-
ใช้สรรพนามแทนตัวเองว่า “ฉัน/ผม/เรา” หรืออะไรก็ได้ตามถนัดในการถ่ายทอดความรู้สึกของคุณ. มันเป็นเรื่องสำคัญมากที่ทำให้ไม่ดูเหมือนกับว่าคุณกำลังโจมตีหรือตัดสินคนที่คุณรักอยู่เมื่อคุณพูดคุยกับอีกคนหนึ่ง คนที่มีอาการป่วยทางจิตอาจรู้สึกราวกับว่าโลกใบนี้ต่อต้านพวกเขา ดังนั้นจึงสำคัญมากที่จะแสดงให้เห็นว่าคุณอยู่ข้างเดียวกับคนที่คุณรัก
- ตัวอย่างเช่น “ฉันเป็นห่วงคุณในบางเรื่องที่ฉันได้พบเห็นจริงๆ”
- มีบางคำพูดที่ดูเหมือนเป็นการปกป้อง คุณควรหลีกเลี่ยงคำพูดเหล่านี้ เช่น “ฉันแค่พยายามที่จะช่วย” หรือ “คุณแค่ต้องฟังฉัน”
-
หลีกเลี่ยงการข่มขู่และการตำหนิ. คุณอาจกังวลเกี่ยวกับสุขภาพของคนที่คุณรักและยินดีที่จะสร้างความมั่นใจว่าพวกเขาจะได้รับความช่วยเหลือ “โดยวิธีใดๆ ก็ตามที่จำเป็น” อย่างไรก็ตามคุณไม่ควรจะพูดเกินจริง ข่มขู่ “ทำให้รู้สึกผิด” หรือกล่าวหาเพื่อที่จะโน้มน้าวให้พวกเขาค้นหาวิธีการช่วยเหลือ สิ่งเหล่านี้จะส่งเสริมให้เขาเชื่อว่าคุณเห็นบางสิ่งที่ “ผิด” ในตัวพวกเขา [36] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ HelpGuide ไปที่แหล่งข้อมูล
- หลีกเลี่ยงการใช้คำพูดเหล่านี้ เช่น “คุณทำให้ฉันเป็นห่วง” หรือ “พฤติกรรมของคุณแปลกๆ นะ” สิ่งเหล่านี้ฟังดูเป็นการกล่าวหาและอาจเป็นการหยุดยั้งคนป่วย
- การใช้คำพูดที่พยายามจะเล่นกับความรู้สึกผิดของคนอื่นนั้นไม่ช่วยอะไรเช่นกัน ตัวอย่างเช่น พยายามไม่ใช้ความสัมพันธ์ของคุณเป็นอำนาจในหาความช่วยเหลือ โดยการพูดประมาณว่า “หากคุณรักฉันจริงๆ คุณจะต้องช่วยฉัน” หรือ “ลองคิดดูว่าคุณกำลังทำอะไรเพื่อครอบครัวของเราบ้าง” คนที่ป่วยเป็นไบโพลาร์มักต้องต่อสู้กับความรู้สึกอับอายและไร้ค่าอยู่บ่อยๆ และการพูดเช่นนี้จะทำให้มันแย่ลงไปอีก
- หลีกเลี่ยงการข่มขู่ คุณไม่สามารถบังคับคนอื่นให้ทำในสิ่งที่คุณต้องการได้ การพูดว่า “หากคุณไม่ให้ความช่วยเหลือ ฉันก็จะไปจากคุณ” หรือ “ฉันจะไม่ช่วยเหลือค่าใช้ค่าเรื่องรถของคุณอีกต่อไปหากคุณไม่ช่วยฉัน” จะทำให้ผู้ป่วยตึงเครียดและความเครียดนี้อาจก่อให้เกิดช่วงภาวะทางอารมณ์ที่รุนแรงขึ้น
-
ตีกรอบการพูดโต้ตอบกันในเรื่องความกังวลเกี่ยวกับสุขภาพ. บางคนอาจไม่เต็มใจยอมรับว่าพวกเขามีปัญหา เมื่อคนที่ป่วยเป็นไบโพลาร์กำลังประสบกับภาวะแมเนีย เธอ/เขามักรู้สึกว่าตัวเอง “มีความสุขอย่างมาก” จึงยากที่จะยอมรับว่ามีปัญหาใดๆ ก็ตาม แต่เมื่อผู้ป่วยกำลังอยู่ในช่วงภาวะซึมเศร้า เธอ/เขาอาจรู้สึกราวกับว่าตนเองมีปัญหา แต่ไม่สามารถมองเห็นความหวังใดๆ ในการรักษาได้ [37] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ HelpGuide ไปที่แหล่งข้อมูล คุณสามารถตีกรอบความกังวลของคุณให้เป็นความกังวลในการรักษาซึ่งมันอาจช่วยได้
- ตัวอย่างเช่น คุณสามารถย้ำความคิดที่ว่าโรคไบโพลาร์คืออาการเจ็บป่วยเหมือนกับโรคเบาหวานหรือโรคมะเร็ง คุณอยากจะให้เขา/เธอหาวิธีการรักษาโรคนี้เหมือนกันคุณส่งเสริมให้คนอื่นหาวิธีการรักษาโรคมะเร็ง
- หากเขาไม่เต็มใจที่จะยอมรับว่ามีปัญหา คุณสามารถแนะนำเธอ/เขาให้ไปพบแพทย์เพื่อรักษาอาการที่คุณสังเกตได้แทนที่จะบอกว่ารักษา “ความผิดปกติ” ตัวอย่างเช่น คุณอาจพบว่าการแนะนำเขาให้ไปพบแพทย์เพื่อรักษาอาการนอนไม่หลับหรือความเมื่อยล้า อาจช่วยให้เขา/เธอหาวิธีการช่วยเหลือได้
-
ส่งเสริมให้ผู้ป่วยแบ่งปันความรู้สึกและประสบการณ์ของเขา/เธอร่วมกับคุณ. เป็นเรื่องง่ายในการสนทนาที่จะแสดงความกังวลของคุณออกมาให้กลายเป็นการสั่งสอนคนที่คุณรักได้ ดังนั้นเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ คุณควรชวนคนที่คุณรักมาเพื่อบอกคุณเรื่องอะไรก็ตามที่เธอ/เขากำลังคิดหรือรู้สึก จำไว้ว่าแม้ว่าคุณอาจได้รับผลกระทบจากความผิดปกติของผู้ป่วย แต่มันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับคุณเลย [38] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- ตัวอย่างเช่น เมื่อคุณแบ่งปันความกังวลของคุณกับเขาแล้ว ให้พูดประมาณว่า “คุณอยากจะบอกให้ฉันรู้ในสิ่งที่คุณกำลังคิดอยู่ตอนนี้หรือไม่?” หรือ “ตอนนี้คุณก็ได้ยินไปหมดแล้วว่าฉันอยากจะพูดอะไร แล้วคุณล่ะ กำลังคิดอะไรอยู่?”
- อย่าคิดไปเองว่าคุณรู้ความรู้สึกของคนอื่น คุณอาจจะพูดง่ายๆ ว่า “ฉันรู้ว่าคุณรู้สึกอย่างไร” ด้วยความมั่นใจ แต่ในความเป็นจริงสิ่งนี้อาจฟังดูไม่ใส่ใจไยดีความรู้สึกของคนอื่นได้ ให้ลองพูดประมาณว่าคุณยอมรับความรู้สึกของเขาโดยไม่อ้างว่าพวกเขาเป็นเหมือนที่คุณคิดแทน เช่น “ฉันเข้าใจได้ว่าทำไมสิ่งนั้นถึงทำให้คุณเศร้า”
- หากคนที่คุณรักต่อต้านความคิดในการยอมรับว่าพวกเขามีปัญหา อย่าโต้เถียงกันเรื่องนั้น คุณสามารถส่งเสริมให้คนที่คุณรักหาวิธีการรักษาได้ แต่คุณไม่สามารถทำให้มันเกิดขึ้นได้
-
อย่ามองข้ามความคิดหรือความรู้สึกของคนที่คุณรักว่ามัน “ไม่จริง” หรือ ไม่มีค่าพอที่จะนึกถึง. แม้ว่าความรู้สึกของความไร้ค่ามีสาเหตุมาจากช่วงภาวะซึมเศร้า แต่มันกลับให้ความรู้สึกที่แท้จริงแก่คนที่อยู่ในภาวะนั้น การมองข้ามความรู้สึกของคนป่วยโดยสิ้นเชิงจะส่งเสริมให้เขา/เธอไม่บอกคุณเกี่ยวกับความรู้สึกในอนาคตข้างหน้า กลับกันนั้นให้ลองตรวจสอบความรู้สึกของเขาและท้าทายความคิดแง่ลบในเวลาเดียวกันแทน
- ตัวอย่างเช่น หากคนที่คุณรักแสดงความคิดเห็นว่าไม่มีใครรักเขา/เธอ และเธอ/เขาเป็นคน “ไม่ดี” คุณสามารถพูดบางอย่างกับเขาได้ เช่น “ฉันรู้ว่าคุณรู้สึกอย่างนั้นและฉันเสียใจจริงๆ ที่คุณต้องอยู่ในความรู้สึกเหล่านั้น ฉันอยากให้คุณรู้ไว้ว่าฉันรักคุณและฉันคิดว่าคุณนั้นเป็นคนใจดีและห่วงใยผู้อื่น”
-
ส่งเสริมให้คนที่คุณรักทำแบบทดสอบคัดกรอง. ภาวะแมเนียและซึมเศร้าเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงการเป็นไบโพลาร์ได้ทั้งคู่ ดังนั้นเว็บไซต์ของกลุ่มที่ให้การสนับสนุนโรคซึมเศร้าและไบโพลาร์จึงมีแบบทดสอบคัดกรองภาวะแมเนียและซึมเศร้าออนไลน์ที่รักษาความลับของผู้ทำแบบทดสอบไว้ให้ทำฟรี [39] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- การทำแบบทดสอบที่เป็นความลับในเรื่องส่วนตัวในบ้านผู้ทำแบบทดสอบอาจเป็นวิธีที่ช่วยลดความเครียดของคนที่เข้าใจถึงความจำเป็นในการรักษา
-
เน้นย้ำถึงความจำเป็นของการช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ. โรคไบโพลาร์เป็นโรคที่รุนแรงมาก การไม่ได้รับการรักษาแม้ว่ารูปแบบของโรคจะไม่ได้รุนแรงก็สามารถทำให้อาการแย่ลงได้ ดังนั้นควรส่งเสริมให้คนที่คุณรักหาวิธีการรักษาโดยทันที [40] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ National Institute of Mental Health ไปที่แหล่งข้อมูล
- การเข้าพบแพทย์รักษาทั่วไปมักเป็นขั้นตอนแรก [41] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง ซึ่งแพทย์สามารถระบุได้ว่าบุคคลนั้นควรจะต้องพบจิตแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตอื่นๆ หรือไม่
- ผู้เชี่ยวชาญทางด้านสุขภาพจิตมักจะนำเสนอวิธีการรักษาจิตบำบัดซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในแผนการรักษา มีผู้เชี่ยวชาญทางด้านสุขภาพจิตหลากหลายด้านที่จะเสนอวิธีการรักษาบำบัดให้กับคุณรวมทั้งจิตแพทย์ นักจิตวิทยา พยาบาลจิตเวช นักสังคมสงเคราะห์และผู้ให้คำปรึกษาที่มีใบอนุญาต ลองปรึกษาหมอหรือโรงพยาบาลเพื่อขอคำแนะนำสำหรับวิธีการรักษาที่อยู่ในพื้นที่ของคุณ [42] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ Mayo Clinic ไปที่แหล่งข้อมูล
- หากตัดสินใจแล้วว่าการใช้ยารักษาเป็นสิ่งจำเป็น คนที่คุณรักอาจต้องเข้าพบแพทย์ จิตแพทย์ นักจิตวิทยาผู้ที่มีใบอนุญาตที่สามารถจ่ายยาหรือพยาบาลจิตเวชที่มีใบสั่งยา นักสังคมสงเคราะห์และผู้ให้คำปรึกษาที่มีใบอนุญาตสามารถเสนอวิธีการรักษาบำบัดให้คุณแต่ไม่สามารถจ่ายยาได้ [43] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ Mayo Clinic ไปที่แหล่งข้อมูล
โฆษณา
-
1เข้าใจว่าโรคไบโพลาร์เป็นอาการเจ็บป่วยที่เป็นไปตลอดชีวิต. การใช้ยาร่วมกับการบำบัดเป็นผลดีต่อคนที่คุณรักอย่างมาก ผู้คนมากมายที่ป่วยเป็นไบโพลาร์ต้องเจอกับการพัฒนาที่มีผลในด้านการทำงานและอารมณ์ของพวกเขา อย่างไรก็ตามไม่มี “การรักษาให้หายขาด” สำหรับโรคไบโพลาร์และอาการสามารถเกิดขึ้นอีกได้ตลอดชีวิต ดังนั้นคุณต้องอดทนกับคนที่คุณรักให้ได้
-
ลองถามว่าคุณสามารถช่วยอะไรได้บ้าง. โดยเฉพาะอย่างยิ่งขณะที่อยู่ในช่วงภาวะซึมเศร้า อาจรู้สึกเหมือนกับโลกนี้กำลังครอบงำคนที่ป่วยเป็นไบโพลาร์ ลองถามดูว่ามีอะไรที่จะช่วยเหลือเขาได้บ้าง คุณสามารถให้คำแนะนำเฉพาะเจาะกับเขาได้หากคุณรู้สึกได้ว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่มีผลต่อคนที่คุณรักมากที่สุด [44] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- ตัวอย่างเช่น คุณสามารถพูดได้ว่า “เมื่อไม่นานมานี้ดูเหมือนว่าคุณกำลังเครียดมากๆ เลยนะ ถ้าหากฉันช่วยดูแลลูกๆ ของคุณและให้เวลาช่วงเย็นของฉันกับคุณแทนแล้วมันพอจะช่วยคุณได้บ้างไหม?”
- หากมีคนที่กำลังตกอยู่ในภาวะซึมเศร้า ให้ลองเสนอสิ่งที่ช่วยทำให้เขาสบายใจ อย่าปฏิบัติราวกับเขาเป็นคนอ่อนแอและเข้าถึงยากเพียงเพราะเขาป่วย หากคุณสังเกตว่าคนที่คุณรักกำลังต่อสู้กับอาการซึมเศร้า (ที่ถูกกล่าวถึงในส่วนอื่นๆ ของบทความนี้) ก็อย่าทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่ แต่ให้พูดประมาณว่า “ฉันสังเกตเห็นว่าคุณดูรู้สึกแย่นะในสัปดาห์นี้ คุณอยากไปดูหนังกับฉันไหม?”
-
ติดตามอาการ. การเฝ้าติดตามอาการของคนที่คุณรักสามารถช่วยได้หลายวิธี ขั้นแรกคือสามารถช่วยให้คุณและคนที่คุณรักเรียนรู้สัญญาณเตือนของช่วงภาวะทางอารมณ์ ซึ่งสามารถช่วยให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์แก่แพทย์และผู้เชี่ยวชาญทางด้านสุขภาพจิต นอกจากนั้นยังช่วยให้คุณเรียนรู้ตัวกระตุ้นที่มีประสิทธิภาพสำหรับช่วงภาวะแมเนียหรือซึมเศร้า [45] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง [46] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ HelpGuide ไปที่แหล่งข้อมูล
- สัญญาณเตือนของภาวะแมเนีย ได้แก่ นอนน้อย รู้สึก “มีความสุขมาก” หรือตื่นเต้นง่าย หงุดหงิดง่ายขึ้น กระวนกระวายและระดับการทำกิจกรรมของผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้น
- สัญญาณเตือนของภาวะซึมเศร้า ได้แก่ ความเหนื่อยล้า รูปแบบการนอนที่ถูกรบกวน (การนอนมากขึ้นหรือน้อยลง) มีปัญหาในการตั้งใจจดจ่อหรือไม่มีสมาธิ ไม่มีความสนใจต่อสิ่งที่คนมักจะรู้สึกสนุก แยกตัวออกจากสังคมและความอยากอาหารเปลี่ยนแปลง
- กลุ่มที่ให้การสนับสนุนโรคซึมเศร้าและไบโพลาร์มีปฏิทินส่วนบุคคลในการติดตามอาการป่วยซึ่งอาจช่วยคุณและคนที่คุณรักได้ [47] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- สิ่งกระตุ้นของช่วงภาวะทางอารมณ์ที่พบบ่อยได้แก่ ความเครียด สารเสพติดและการอดนอน [48] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ HelpGuide ไปที่แหล่งข้อมูล
-
ถามคนที่คุณรักว่าได้กินยาหรือไม่. บางคนอาจได้ประโยชน์จากผู้ช่วยเตือนความจำอย่างสุภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากพวกเขากำลังอยู่ในช่วงภาวะแมเนียซึ่งพวกเขาอาจกินยาไม่ต่อเนื่องหรือมีอาการหลงลืม นอกจากนั้นผู้ป่วยอาจเชื่อว่าพวกเขาเองกำลังดีขึ้นจึงหยุดกินยา ลองช่วยเหลือคนที่คุณรักให้ทำตามการรักษา แต่อย่าทำเหมือนกับว่ากำลังกล่าวหาพวกเขา [49] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง [50] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ HelpGuide ไปที่แหล่งข้อมูล
- ตัวอย่างเช่น อาจพูดด้วยถ้อยคำที่ฟังดูสุภาพว่า “วันนี้คุณกินยาแล้วยังคะ?” อย่างนี้ก็ได้
- หากคนที่คุณรักพูดว่าเธอ/เขากำลังรู้สึกดีขึ้น คุณอาจพบว่าเป็นเรื่องดีที่จะเตือนเขา/เธอถึงเรื่องประโยชน์ของยา เช่น “ฉันดีใจที่ได้ยินว่าคุณรู้สึกดีขึ้นนะ แต่ฉันคิดว่ายาบางส่วนกำลังทำงานอยู่จึงไม่ใช่ความคิดที่ดีเลยที่จะหยุดกินยาหากมันกำลังช่วยรักษาคุณอยู่ จริงไหม?”
- ยาอาจต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์ในการเริ่มทำงาน ดังนั้นควรอดทนหากอาการของคนที่คุณรักยังไม่ดีขึ้น [51] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
-
ส่งเสริมให้ผู้ป่วยรักษาร่างกายให้แข็งแรงไว้. นอกจากการใช้ยาตามที่แพทย์กำหนดและการเข้าพบนักบำบัดสม่ำเสมอแล้ว การรักษาร่างกายให้แข็งแรงไว้นั้นสามารถช่วยลดอาการของโรคไบโพลาร์ได้ [52] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง คนที่ป่วยเป็นโรคไบโพลาร์มีความเสี่ยงสูงต่อการเป็นโรคอ้วน [53] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง ดังนั้นจึงควรส่งเสริมให้คนที่คุณรักกินอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายพอเหมาะเป็นประจำและจัดตารางการนอนหลับให้ดี
- คนที่ป่วยเป็นไบโพลาร์มักจะรายงานถึงพฤติกรรมการกินที่ไม่ดีต่อสุขภาพรวมทั้งการไม่กินอาการมื้อหลักหรือกินอาหารที่ไม่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ [54]
X
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
ดังนั้นควรส่งเสริมคนที่คุณรักให้กินอาหารประเภทผักและผลไม้สด คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เช่น ถั่ว ธัญพืชและเนื้อสัตว์และเนื้อปลาไม่ติดมันได้ให้สัดส่วนพอดีกัน [55]
X
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- การบริโภคกรดโอเมก้า3 อาจช่วยป้องกันอาการไบโพลาร์ได้ การศึกษาบางชิ้นแนะนำว่ากรดโอเมก้า3 โดยเฉพาะสิ่งเหล่านี้ที่พบได้ในปลาน้ำเย็นจะช่วยลดภาวะซึมเศร้าได้ เช่น ปลาแซลมอนและปลาทูน่า นอกจากนั้นอาหารมังสวิรัติ เช่น วอลนัทและเมล็ดแฟลกซ์ก็เป็นแหล่งของกรดโอเมก้า3 ชั้นดีเช่นกัน [56] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- ส่งเสริมให้คนที่คุณรักหลีกเลี่ยงการกินคาเฟอีนที่มากเกินความจำเป็น คาเฟอีนอาจก่อให้เกิดอาการที่ไม่พึงประสงค์ในคนที่ป่วยเป็นไบโพลาร์ได้ [57] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- ส่งเสริมให้คนที่คุณรักหลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์. คนที่ป่วยเป็นไบโพลาร์มา 5 ครั้งแล้วนั้นมีแนวโน้มที่จะดื่มแอลกอฮอล์และใช้สารอื่นๆ มากกว่าผู้ที่ไม่ได้ป่วย แอลกอฮอล์มีฤทธิ์กดประสาทและสามารถก่อให้เกิดช่วงภาวะซึมเศร้าได้ นอกจากนั้นมันสามารถแทรกแซงผลของยาบางตัวตามใบสั่งแพทย์ได้ [58] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- การออกกำลังกายพอเหมาะเป็นประจำโดยเฉพาะการเต้นแอโรบิคอาจช่วยพัฒนาอารมณ์ของคุณและการทำงานทั้งหมดโดยรวมของคนที่ป่วยเป็นไบโพลาร์ให้ดีขึ้นได้ [59] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง [60] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ Science Direct ไปที่แหล่งข้อมูล [61] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญในการส่งเสริมให้คนที่คุณรักออกกำลังกายเป็นประจำซึ่งคนที่ป่วยเป็นโรคไบโพลาร์มักจะรายงานถึงพฤติกรรมการออกกำลังกายที่ไม่ดีของพวกเขา [62] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- คนที่ป่วยเป็นไบโพลาร์มักจะรายงานถึงพฤติกรรมการกินที่ไม่ดีต่อสุขภาพรวมทั้งการไม่กินอาการมื้อหลักหรือกินอาหารที่ไม่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ [54]
X
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
ดังนั้นควรส่งเสริมคนที่คุณรักให้กินอาหารประเภทผักและผลไม้สด คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เช่น ถั่ว ธัญพืชและเนื้อสัตว์และเนื้อปลาไม่ติดมันได้ให้สัดส่วนพอดีกัน [55]
X
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
-
ดูแลตัวเองด้วย. เพื่อนๆ และครอบครัวของคนที่ป่วยเป็นโรคไบโพลาร์นั้นจะต้องแน่ใจด้วยว่าพวกเขาดูแลตัวเองด้วยเหมือนกัน คุณไม่สามารถช่วยเหลือคนที่คุณรักได้หากคุณหมดแรงหรือเครียด
- การศึกษาพบว่าหากพบว่าหากคนรักมีอาการเครียด คนที่ป่วยเป็นไบโพลาร์อาจมีอุปสรรคในการยึดหลักแบบแผนการรักษามากขึ้น ดังนั้นการดูแลตัวคุณเองโดยตรงสามารถช่วยคนที่คุณรักได้เช่นกัน [63] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ National Institute of Mental Health ไปที่แหล่งข้อมูล
- กลุ่มสนับสนุนอาจช่วยให้คุณเรียนรู้ที่จะรับมือกับอาการป่วยของคนที่คุณรัก กลุ่มที่ให้การสนับสนุนโรคซึมเศร้าและไบโพลาร์อาจเสนอแนะกลุ่มสนับสนุนออนไลน์ [64] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง และกลุ่มสนับสนุนกันและกันในท้องถิ่นให้กับคุณ [65] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง นอกจากนั้นกรมสุขภาพจิตยังมีโครงการต่างๆ มากมายหลายโครงการอีกด้วย [66] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ National Alliance on Mental Illness ไปที่แหล่งข้อมูล
- ต้องแน่ใจว่าคุณได้นอนหลับพักผ่อนเพียงพอ กินอาหารที่มีประโยชน์และออกกำลังสม่ำเสมอ การรักษานิสัยการมีสุขภาพที่ดีอาจช่วยส่งเสริมให้คนที่คุณรักมีสุขภาพดีได้เช่นกัน [67] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- จัดการลดความเครียดของคุณ คุณต้องรู้ขีดจำกัดของตัวเองและขอให้คนอื่นช่วยเมื่อจำเป็น คุณอาจพบว่ากิจกรรมต่างๆ เช่น การทำสมาธิหรือโยคะสามารถช่วยลดความกังวลได้
-
จับตาดูความคิดหรือการกระทำที่นำไปสู่การฆ่าตัวตาย. การฆ่าตัวตายเป็นเรื่องที่เสี่ยงมากสำหรับคนที่ป่วยเป็นไบโพลาร์ คนที่ป่วยเป็นไบโพลาร์มีแนวโน้มที่จะนึกคิดหรือพยายามฆ่าตัวตายมากกว่าคนที่เป็นโรคซึมเศร้า หากคนที่คุณรักพูดถึงการฆ่าตัวตายแม้จะพูดโดยไม่ได้ตั้งใจก็ตาม ให้คุณขอความช่วยเหลือโดยทันที อย่าสัญญาว่าจะเก็บความคิดหรือการกระทำเหล่านี้ไว้เป็นความลับ [68] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ National Institute of Mental Health ไปที่แหล่งข้อมูล [69] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ HelpGuide ไปที่แหล่งข้อมูล
- หากคนป่วยตกอยู่ในอันตรายอย่างฉับพลัน ให้โทรแจ้ง 191 หรือหน่วยให้บริการฉุกเฉินได้ที่ 1669 [70] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- แนะนำให้คนที่คุณรักโทรหา 1667 เพื่อติดต่อหน่วยบริการให้ความช่วยเหลือฉุกเฉินการป้องกันการฆ่าตัวตายของกรมสุขภาพจิต [71] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ National Suicide Prevention Lifeline ไปที่แหล่งข้อมูล
- สร้างความมั่นใจให้กับคนที่คุณรักว่าคุณรักเขา/เธอและคุณเชื่อว่าชีวิตของเธอ/เขามีความหมาย แม้มันอาจดูไม่เหมือนกับว่าเป็นวิธีที่เข้าถึงคนป่วยได้ขณะนี้
- อย่าห้ามความรู้สึกของคนที่คุณรัก ความรู้สึกเป็นความแท้จริงและเธอ/เขาไม่สามารถเปลี่ยนแปลงมันได้ ให้ลองมุ่งความสนใจไปที่การกระทำที่เขาสามารถควบคุมได้แทน เช่น “ฉันบอกได้ว่าสิ่งนี้มันยากสำหรับคุณและฉันยินดีหากคุณจะคุยกับฉันเกี่ยวกับมัน พูดต่อไปเถอะ ฉันจะอยู่ตรงนี้เพื่อคุณเอง”
โฆษณา
เคล็ดลับ
- โรคไบโพลาร์เหมือนกับอาการป่วยทางจิตอื่นๆ คือไม่ใช่ความผิดของใคร ไม่ใช่ความผิดของคนที่คุณรักหรือของคุณเองเลย ดังนั้นจงเกื้อกูลและเห็นอกเห็นใจต่อคนที่คุณรักและตัวคุณเอง
- อย่าจัดการทำทุกๆ อย่างเกี่ยวกับอาการเจ็บป่วย มันเป็นเรื่องง่ายที่จะเข้าไปจัดการกับคนที่คุณรักด้วยความอ่อนโยนและระมัดระวังหรือการจัดการทำทุกๆ อย่างเกี่ยวกับอาการเจ็บป่วยของคนที่คุณรัก จำไว้ว่าเขาเป็นอะไรได้มากกว่าป่วย เธอ/เขามีงานอดิเรก ความชอบและความรู้สึกเหมือนกัน ดังนั้นขอให้สนุกไปกับมันและส่งเสริมคนที่คุณรักให้ได้ใช้ชีวิต
คำเตือน
- ผู้ป่วยเป็นไบโพลาร์มีความเสี่ยงในการฆ่าตัวตายสูง หากเพื่อนหรือสมาชิกในครอบครัวกำลังมีอยู่ในภาวะนี้และเริ่มพูดเกี่ยวกับการฆ่าตัวตายแล้ว ให้พาพวกเขามาอย่างจริงจังและให้แน่ใจว่าพวกเขาจะได้รับการดูแลทางจิตเวชทันที
- หากเป็นไปได้ในภาวะฉุกเฉินนี้ ให้คุณพยายามโทรหาผู้เชี่ยวชาญในการดูแลสุขภาพหรือหน่วยบริการให้ความช่วยเหลือฉุกเฉินการป้องกันการฆ่าตัวตายของกรมสุขภาพจิตก่อนที่จะติดต่อตำรวจ เคยมีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นซึ่งการแทรกแซงของตำรวจในกรณีของคนที่ประสบกับภาวะวิกฤติทางจิตนั้นอาจมีผลให้เกิดความบอบช้ำทางจิตใจและการตายได้ ถ้าเป็นไปได้ให้ติดต่อบางคนที่คุณมั่นใจว่ามีความชำนาญและได้รับการฝึกฝนในการจัดการกับสุขภาพจิตหรือวิกฤติการณ์ทางจิตเวชได้ [72] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง [73] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง [74] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
ข้อมูลอ้างอิง
- ↑ http://www.dbsalliance.org/site/PageServer?pagename=education_bipolar_types
- ↑ http://www.nimh.nih.gov/health/topics/bipolar-disorder/index.shtml
- ↑ http://www.nimh.nih.gov/health/topics/bipolar-disorder/index.shtml
- ↑ http://www.nimh.nih.gov/health/topics/bipolar-disorder/index.shtml
- ↑ http://www.psychiatry.org/bipolar-disorder
- ↑ http://www.webmd.com/bipolar-disorder/guide/bipolar-disorder-forms
- ↑ http://www.nimh.nih.gov/health/publications/bipolar-disorder-in-adults/index.shtml#pub3
- ↑ http://www.nimh.nih.gov/health/publications/bipolar-disorder-in-adults/index.shtml?rf
- ↑ http://www.nimh.nih.gov/health/publications/bipolar-disorder-in-adults/index.shtml#pub3
- ↑ http://www.webmd.com/bipolar-disorder/guide/bipolar-disorder-forms
- ↑ http://www.webmd.com/bipolar-disorder/guide/bipolar-disorder-forms
- ↑ http://www.nimh.nih.gov/health/publications/bipolar-disorder-in-adults/index.shtml?rf#pub3
- ↑ http://www.psychiatry.org/bipolar-disorder
- ↑ http://www2.nami.org/factsheets/bipolardisorder_factsheet.pdf
- ↑ http://www.nimh.nih.gov/health/publications/bipolar-disorder-easy-to-read/index.shtml#pub5
- ↑ http://www.nimh.nih.gov/health/topics/bipolar-disorder/index.shtml#part_145404
- ↑ http://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/bipolar-disorder/basics/symptoms/con-20027544
- ↑ http://www.helpguide.org/articles/bipolar-disorder/helping-a-loved-one-with-bipolar-disorder.htm
- ↑ http://psychcentral.com/lib/recommended-books-on-bipolar/0001374
- ↑ http://www.nimh.nih.gov/health/topics/bipolar-disorder/index.shtml#part_145402
- ↑ https://www.facebook.com/better2get
- ↑ http://www.dbsalliance.org/site/PageServer?pagename=education_bipolar
- ↑ http://www.dbsalliance.org/pdfs/mythsfinal.pdf
- ↑ http://www.nimh.nih.gov/health/topics/bipolar-disorder/index.shtml#part_145402
- ↑ http://www.dbsalliance.org/pdfs/mythsfinal.pdf
- ↑ http://psychcentral.com/blog/archives/2012/11/07/5-persistent-myths-about-bipolar-disorder/
- ↑ http://www.webmd.com/bipolar-disorder/features/8-myths-about-bipolar-disorder
- ↑ http://www.theguardian.com/commentisfree/2014/sep/23/bipolar-disorder-joy-10-things-you-should-never-say-to-someone-with-bipolar-disorder
- ↑ http://www.bipolar-lives.com/famous-bipolar-people.html
- ↑ http://www2.nami.org/Content/ContentGroups/Home4/Home_Page_Spotlights/Spotlight_1/True_or_False_The_Top_10_Myths_About_Bipolar_Disorder.htm
- ↑ http://ccpweb.wustl.edu/pdfs/2013_defdes.pdf
- ↑ http://www.dbsalliance.org/pdfs/mythsfinal.pdf
- ↑ http://www.theguardian.com/commentisfree/2014/sep/23/bipolar-disorder-joy-10-things-you-should-never-say-to-someone-with-bipolar-disorder
- ↑ http://www.dbsalliance.org/site/PageServer?pagename=education_bipolar_types
- ↑ http://www.helpguide.org/articles/bipolar-disorder/helping-a-loved-one-with-bipolar-disorder.htm
- ↑ http://www.helpguide.org/articles/bipolar-disorder/helping-a-loved-one-with-bipolar-disorder.htm
- ↑ http://www.helpguide.org/articles/bipolar-disorder/helping-a-loved-one-with-bipolar-disorder.htm
- ↑ http://www.webmd.com/bipolar-disorder/helping-loved-one-with-bipolar
- ↑ http://www.dbsalliance.org/site/PageServer?pagename=education_screeningcenter
- ↑ http://www.nimh.nih.gov/health/topics/bipolar-disorder/index.shtml#part_145404
- ↑ http://newsinhealth.nih.gov/issue/May2010/Feature1
- ↑ http://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/mental-illness/in-depth/mental-health-providers/ART-20045530?p=1
- ↑ http://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/mental-illness/in-depth/mental-health-providers/ART-20045530?p=1
- ↑ http://www.webmd.com/bipolar-disorder/helping-loved-one-with-bipolar
- ↑ http://www.dbsalliance.org/site/PageServer?pagename=education_brochures_helping_friend_family
- ↑ http://www.helpguide.org/articles/bipolar-disorder/helping-a-loved-one-with-bipolar-disorder.htm
- ↑ http://www.dbsalliance.org/site/PageServer?pagename=wellness_personal_calendar
- ↑ http://www.helpguide.org/articles/bipolar-disorder/bipolar-disorder-signs-and-symptoms.htm
- ↑ http://www.theguardian.com/commentisfree/2014/sep/23/bipolar-disorder-joy-10-things-you-should-never-say-to-someone-with-bipolar-disorder
- ↑ http://www.helpguide.org/articles/bipolar-disorder/helping-a-loved-one-with-bipolar-disorder.htm
- ↑ http://newsinhealth.nih.gov/issue/May2010/Feature1
- ↑ http://www.webmd.com/bipolar-disorder/features/8-myths-about-bipolar-disorder?page=4
- ↑ http://link.springer.com/article/10.1007/s12017-009-8079-9
- ↑ http://onlinelibrary.wiley.com/doi/10.1111/j.1399-5618.2007.00386.x/abstract;jsessionid=4A4EC02F47D73D2D0F1E8ACB064AA0B1.f04t02?deniedAccessCustomisedMessage=&userIsAuthenticated=false
- ↑ http://www.webmd.com/bipolar-disorder/guide/bipolar-diet-foods-to-avoid
- ↑ http://www.webmd.com/bipolar-disorder/guide/bipolar-diet-foods-to-avoid?page=2
- ↑ http://www.webmd.com/bipolar-disorder/guide/bipolar-diet-foods-to-avoid?page=2
- ↑ http://www.webmd.com/bipolar-disorder/guide/bipolar-diet-foods-to-avoid?page=3
- ↑ http://europepmc.org/abstract/med/20051706
- ↑ http://www.sciencedirect.com/science/article/pii/S0165032706004927
- ↑ http://link.springer.com/article/10.1007/s12017-009-8079-9
- ↑ http://onlinelibrary.wiley.com/doi/10.1111/j.1399-5618.2007.00386.x/abstract;jsessionid=4A4EC02F47D73D2D0F1E8ACB064AA0B1.f04t02?deniedAccessCustomisedMessage=&userIsAuthenticated=false
- ↑ http://www.nimh.nih.gov/health/publications/bipolar-disorder-in-adults/index.shtml?rf#pub11
- ↑ http://www.dbsalliance.org/site/PageServer?pagename=peer_OSG
- ↑ http://www.dbsalliance.org/site/PageServer?pagename=peer_support_group_locator
- ↑ http://www.nami.org/Find-Support/NAMI-Programs
- ↑ https://caregiver.org/taking-care-you-self-care-family-caregivers
- ↑ http://www.nimh.nih.gov/health/topics/bipolar-disorder/index.shtml#part_145407
- ↑ http://www.helpguide.org/articles/bipolar-disorder/bipolar-disorder-signs-and-symptoms.htm
- ↑ http://www.dbsalliance.org/site/PageServer?pagename=education_brochures_helping_friend_family
- ↑ http://www.suicidepreventionlifeline.org/gethelp/someone.aspx
- ↑ The Washington Post: Distraught People, Deadly Results - Officers often lack the training to approach the mentally unstable, experts say (USA)
- ↑ Center for Public Representation on patterns of police violence against people with psychiatric disabilities
- ↑ Police Brutality's Hidden Victims: The Disabled