PDF download ดาวน์โหลดบทความ PDF download ดาวน์โหลดบทความ

ถ้าคุณกำลังระทมทุกข์กับปัญหาสิว คุณไม่ได้โดดเดี่ยวหรอก สิวนั้นเป็นอาการทางผิวหนังที่พบเห็นได้โดยทั่วไปจากการที่ไขมันกับเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วไปอุดตันรูขุมขน มันเกิดขึ้นได้บนใบหน้า, ตามหน้าอก, แผ่นหลัง, ไหล่ หรือบริเวณลำคอ สิวนั้นมีสาเหตุหลายประการ: กรรมพันธุ์, ฮอร์โมน และการผลิตไขมัน มีหลายวิธีที่คุณจะรักษาสิวให้หายเร็วและด้วยวิธีธรรมชาติ เรียนรู้วิธีการดูแลผิวที่ดี, ปรับปรุงอาหารการกิน และลองใช้การรักษาพวกสมุนไพรดู

ส่วน 1
ส่วน 1 ของ 4:

ดูแลรักษาผิวให้ดี

PDF download ดาวน์โหลดบทความ
  1. วิธีการรักษาสิวนั้นมีความแตกต่างกันไปตามแต่สภาพใบหน้าว่ารุนแรงเพียงไหน ส่วนใหญ่แล้วก็มีระดับการเป็นสิวปานกลาง แต่สิวที่มีระดับรุนแรงแบบเป็นก้อนหนองหรือเป็นก้อนนูนแดงอาจเกิดการบวมอักเสบขึ้นมาได้ สิวแบบนี้ต้องได้รับการรักษาในทันที [1] [2] [3] สิวชนิดที่พบเห็นได้ทั่วไปก็มี:
    • สิวหัวขาว (สิวอุดตันแบบรูปิด - closed comedones): จะเกิดขึ้นเมื่อมีฝุ่นผงหรือไขมันส่วนเกิน (sebum) ไปอุดค้างอยู่ใต้ชั้นผิวหนัง ก่อให้เกิดตุ่มกลมสีขาว
    • สิวหัวดำ (สิวอุดตันแบบรูเปิด - open comedones): จะเกิดขึ้นเมื่อรูขุมขนเปิดออก ทำให้ฝุ่นผงและไขมันส่วนเกินผุดขึ้นมาบนชั้นผิวหนัง สีดำนั้นเกิดจากปฏิกิริยาอ็อกไซด์เมื่ออากาศทำปฏิกิริยากับเมลานิน ซึ่งเป็นสารเม็ดสีในไขมันส่วนเกิน
    • สิวอักเสบ - Pimples (หรือ pustules): เป็นร่องรอยสิวที่ก่อตัวเมื่อฝุ่นผงหรือไขมันส่วนเกินอุดตันอยู่ใต้ชั้นผิวหนัง และก่อให้เกิดอาการอักเสบ, คัน, บวมแดงมาพร้อมกับหนอง หนองนั้นเป็นของเหลวเหนียวเหนอะสีเหลืองที่เกิดจากเซลล์เม็ดเลือดขาว (leukocytes) กับแบคทีเรียที่ตายแล้ว มักเป็นผลมาจากการอักเสบหรือติดเชื้อของเนื้อเยื่อในร่างกาย
    • สิวก้อนสีแดง (Nodules): เป็นสิวอักเสบที่เป็นก้อนแข็งขนาดใหญ่ที่เกิดลึกลงไปในชั้นผิวหนัง
    • สิวก้อนนูนแดงแบบซีสต์ (Cysts): เป็นสิวอักเสบชนิดที่มีหัวหนองและรู้สึกปวด ซึ่งเกิดลึกลงไปในชั้นผิวหนังและมักจะทำให้เกิดแผลเป็น
  2. การสูบบุหรี่สามารถทำให้เกิดสภาวะที่เรียกว่าสิวในผู้สูบบุหรี่ ซึ่งร่างกายไม่ตอบสนองต่อการอักเสบเพื่อจะรักษาผิวให้กลับคืนได้เร็วเท่ากับสิวธรรมดาทั่วไป ผู้สูบบุหรี่ยังมักจะเป็นสิวระดับปานกลางหลังจากผ่านช่วงวัยรุ่นมากกว่าคนปกติถึงสี่เท่า โดยเฉพาะผู้หญิงอายุระหว่าง 25-50 ปี การสูบบุหรี่ยังอาจทำให้ผิวหน้าเกิดอาการคันในผู้ที่มีผิวบอบบางอีกด้วย
    • เป็นที่ทราบกันดีว่าการสูบบุหรี่จะทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่นและมีริ้วรอยก่อนวัยอันควร ทั้งนี้เนื่องจากมันจะสร้างอนุมูลอิสระ ลดการผลิตคอลลาเจน และลดคุณภาพของโปรตีนบำรุงผิว [4]
  3. เศษฝุ่นสกปรกและแบคทีเรียบนมือสามารถไปอุดรูขุมขนและทำให้หน้าที่เป็นสิวยิ่งมีสภาพแย่ลงหากยังสัมผัสใบหน้าอยู่เนืองๆ ถ้าผิวรู้สึกคันระคายเคืองจากการเป็นสิว ให้ใช้แผ่นเช็ดหน้าชนิดไร้ส่วนผสมของน้ำมันเช็ดเบาๆ เพื่อขจัดคราบสกปรกและทำให้ผิวคืนสู่สภาพเดิม
    • อย่าบีบหรือกดหัวสิว ไม่งั้นอาจเกิดเป็นรอยแผลเป็นได้ การบีบสิวอักเสบอาจจะยิ่งทำให้แบคทีเรียแพร่กระจายมากขึ้นด้วย [5]
  4. เลือกผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้าที่เหมาะสม. ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้าสูตรบางเบาปราศจากโซเดียม ลอเรท ซัลเฟต (sodium laureth sulfate) โซเดียม ลอเรท ซัลเฟตเป็นสารซักฟอกและทำให้เกิดฟองซึ่งสามารถทำให้ผิวระคายเคือง ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้าหลายยี่ห้อที่ไร้สารเคมีเข้มข้น และใช้ส่วนผสมตามธรรมชาติ มีวางขายตามร้านขายยาทั่วไป [6] [7] [8]
    • สบู่ที่สากและจำพวกสครับผิวอาจทำให้ผิวระคายเคืองและทำให้สิวแย่ลงกว่าเดิมได้
  5. ล้างหน้าโดยใช้ปลายนิ้ว ตอนเช้าหนึ่งครั้งและตอนกลางคืนอีกหนึ่งครั้งจำไว้ว่าให้ใช้น้ำพออุ่นล้างทั่วหน้าหลังการทำความสะอาดเสร็จ จำกัดการล้างเพียงวันละสองครั้งและหลังจากทำกิจกรรมที่มีเหงื่อออก [9] [10] [11]
    • เหงื่อสามารถทำให้ผิวระคายเคือง ให้ล้างหน้าให้เร็วที่สุดหลังจากเหงื่อออก
  6. ทามอยส์เจอไรเซอร์ชนิดปราศจากน้ำมันถ้าหากคุณมีผิวแห้งหรือคัน ส่วนสารสมานผิวจะถูกแนะนำให้ใช้เฉพาะถ้าคุณมีผิวมัน และต่อให้เป็นเช่นนั้นก็ควรทาสารสมานผิวเฉพาะตรงจุดที่มันมากเท่านั้น ถ้าหากคุณต้องการจะใช้ผลิตภัณฑ์ขัดผิว ให้ถามหมอผิวหนังว่าอย่างไหนถึงจะเหมาะกับชนิดผิวของคุณ [12] [13] [14]
    • คนที่ไม่ได้มีสิวอักเสบ คือมีแต่สิวหัวขาวกับสิวหัวดำซึ่งไม่ก่อให้เกิดผื่นแดง สามารถใช้ผลิตภัณฑ์ขัดผิวสูตรบางเบาที่มีจำหน่ายทั่วไปได้ คนที่มีผิวแห้งและแพ้ง่ายควรจำกัดการขัดผิวแค่สัปดาห์ละครั้งหรือสองครั้ง ส่วนคนที่ผิวมันหนาสามารถขัดผิวได้ทุกวัน
    โฆษณา
ส่วน 2
ส่วน 2 ของ 4:

กินอาหารที่มีประโยชน์มากขึ้น

PDF download ดาวน์โหลดบทความ
  1. หลีกเลี่ยงเนื้อที่มีฮอร์โมนและสารประกอบแบบเดียวกันซึ่งจะทำให้ฮอร์โมนของคุณเสียสมดุลจนทำให้เกิดสิวขึ้นได้ ให้รับประทานเส้นใยอาหารเยอะๆ พวกผักและผลไม้สด อาหารที่อุดมด้วยวิตามิน เอ, ซี, อี และสังกะสี (ซิงค์) จะช่วยลดอาการรุนแรงของสิวผ่านทางคุณสมบัติต่อต้านการอักเสบของสารอาหาร แหล่งที่มีวิตามินเหล่านี้ชั้นดีได้แก่: [15] [16]
    • พริกแดงหวาน
    • คะน้า
    • ปวยเล้ง
    • ผักโขม
    • หัวผักกาดเขียว
    • มันหวาน (มันเทศ)
    • ฟักทอง
    • ฟักบัตเตอร์นัท
    • มะม่วง
    • เกรปฟรุต
    • แคนตาลูป
  2. จากการศึกษาพบว่าการบำบัดโดยรับประทานซิงค์สามารถรักษาสิวได้ [17] [18] ซิงค์เป็นแร่ธาตุสำคัญที่มีคุณสมบัติต่อต้านสารอนุมูลอิสระ มันจะช่วยปกป้องเซลล์ภายในร่างกายจากความเสียหายที่เกิดจากแบคทีเรียและไวรัส เป็นเรื่องปกติที่เราจะมีปริมาณซิงค์ในระดับต่ำ แต่การรับประทานวิตามินรวมและอาหารเพื่อสุขภาพก็ทำให้คุณได้รับซิงค์เพียงพอแล้ว ถึงแม้คุณอาจทานอาหารเสริมได้ แต่แหล่งอาหารที่มีซิงค์ก็คือ: [19]
    • หอยนางรม, กุ้ง, ปู และเชลล์ฟิช
    • เนื้อแดง
    • เนื้อสัตว์ปีก
    • ชีส
    • ถั่วลันเตา
    • เมล็ดทานตะวัน
    • ฟักทอง
    • เต้าหู้
    • มิโสะ
    • เห็ด
    • ผักใบเขียวปรุงสุก
    • ซิงค์ที่ดูดซึมได้ง่าย: ซิงค์ พิโคลิเนต (zinc picolinate), ซิงค์ ไซเตรต (zinc citrate), ซิงค์ อะซีเทต (zinc acetate), ซิงค์ ไกลซีเรต (zinc glycerate), และ ซิงค์ โมโนเมทิโอไนน์ (zinc monomethionine) ถ้าหากซิงค์ ซัลเฟตทำให้รู้สึกมวนท้อง คุณสามารถเปลี่ยนไปใช้ซิงค์รูปแบบอื่นอย่างซิงค์ ไซเตรตก็ได้
  3. จากการศึกษาพบว่าคุณอาจมีวิตามินในระดับต่ำจึงมีปัญหาสิวรุนแรง วิตามินเอเป็นสารที่ต่อต้านการอักเสบที่จะทำให้ฮอร์โมนสมดุลและอาจช่วยลดการผลิตไขมัน คุณสามารถเพิ่มปริมาณของวิตามินเอได้โดยการทานอาหารเพื่อสุขภาพและหลีกเลี่ยงไขมันชนิดเลวอาทิ มาร์การีน, น้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี, และอาหารแปรรูป [20]
    • วิตามินเอจะพบมากในแครอท, ผักใบเขียวและผลไม้ที่มีสีเหลืองหรือสีส้ม ถ้าคุณจะทานในรูปของอาหารเสริม ปริมาณที่แนะนำต่อวันคือ 10,000 to 25,000 IU (international units – หน่วยสากล) การบริโภควิตามินเอเกินขนาดอาจมีผลข้างเคียงที่เป็นพิษ เช่น มีผลต่อทารกในครรภ์ ฉะนั้นจงระมัดระวังในปริมาณที่บริโภค
  4. วิตามินซีสามารถเพิ่มอัตราการรักษาตัวเอง มันทำได้โดยการช่วยสร้างคอลลาเจน ซึ่งเป็นโปรตีนสำคัญที่ใช้ในการซ่อมแซมเนื้อเยื่อผิว, กระดูกอ่อน, เส้นเลือด และรักษาแผล คุณสามารถรับประทานวิตามินซี 2 ถึง 3 โดสให้ได้ปริมาณรวม 500 มก. ต่อวัน คุณยังสามารถเพิ่มอาหารที่อุดมวิตามินซีเข้าไปในการทานอาหารแต่ละวันได้ด้วย [21] แหล่งวิตามินซีตามธรรมชาติได้แก่:
    • พริกหวานสีแดงและสีเขียว
    • ผลไม้แบบซิตรัสอาทิเช่น ส้ม, ส้มโอ, เกรปฟรุต, มะนาว หรือน้ำผลไม้ซิตรัสที่คั้นสด
    • ปวยเล้ง, บร็อคโคลี่ และกะหล่ำดาว
    • สตรอเบอร์รี่และราสเบอร์รี่
    • มะเขือเทศ
  5. การดื่มชาเขียวไม่ได้เกี่ยวข้องกับการป้องกันสิวโดยตรง แต่มันมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระจำนวนมากซึ่งมีผลต่อการชะลอวัยและปกป้องดูแลผิว ซึ่งจะช่วยให้ผิวดูสดใสอ่อนเยาว์ขึ้น [22] [23] สำหรับการชงชาเขียวนั้น ให้ใส่ใบชาเขียว 2-3 กรัมลงในถ้วยที่ใส่น้ำร้อน (80-85 องศาเซลเซียส) สัก 3-5 นาทีชาเขียวสามารถนำมาดื่มได้สองสามครั้งต่อวัน
    • ชาเขียวยังอาจมีผลต้านอาการอักเสบที่ช่วยลดความเสี่ยงเป็นมะเร็ง การวิจัยบางชิ้นแสดงให้เห็นว่าชาเขียวนั้นมีประโยชน์อย่างยิ่งในการปกป้องผิวจากรังสียูวีอันเป็นอันตราย [24] [25]
    โฆษณา
ส่วน 3
ส่วน 3 ของ 4:

ใช้ยาสมุนไพร

PDF download ดาวน์โหลดบทความ
  1. น้ำมันทีทรีมักถูกใช้เป็นประจำในเรื่องของสิว, บาดแผล, แผลติดเชื้อ และแผลที่ผิวหนัง [26] สำหรับการรักษาสิว ให้ใช้น้ำมันทีทรีที่มีความเข้มข้น 5-15 เปอร์เซ็นต์ หยดลงบนก้อนสำลี 2-3 หยดและซับเบาๆ บริเวณที่เป็นสิว
    • ห้ามรับประทานน้ำมันทีทรี คุณยังควรไม่เปิดมันค้างโดนอากาศนานเกินไป น้ำมันทีทรีที่เกิดปฏิกิริยาอ็อกไซด์แล้วนั้นอาจก่อให้เกิดอาการแพ้ได้ง่ายกว่าน้ำมันทีทรีสด
  2. หยดน้ำมันโจโจบาลงบนก้อนสำลีสัก 5-6 หยดแล้วนำไปซับเหนือบริเวณสิว น้ำมันโจโจบานั้นสกัดมาจากเมล็ดของต้นโจโจบา มันมีคุณสมบัติคล้ายคลึงกับน้ำมันธรรมชาติ (ซีบัม) ที่ผิวคุณผลิตขึ้น แต่มันไม่ไปอุดรูขุมขนหรือทำให้เกิดน้ำมันส่วนเกิน [27]
    • น้ำมันโจโจบาจะทำให้ผิวชุ่มชื้นอยู่เสมอ มันมักไม่ก่อให้เกิดอาการระคายเคือง แต่ทางที่ดีก็ควรปรึกษาหมอผิวหนังก่อนใช้มันในกรณีที่คุณเป็นพวกผิวแพ้ง่าย
  3. น้ำมันจูนิเปอร์เป็นสารสมานผิวที่ปราศจากเชื้อโรคตามธรรมชาติ คุณสามารถใช้มันเป็นตัวทำความสะอาดใบหน้าและตัวปรับสภาพผิวเพื่อสลายรูขุมขนอุดตันและรักษาสิว, ผิวหนังอักเสบ หรือกลากได้ [28] ให้เหยาะน้ำมันลงบนก้อนสำลี 1-2 หยดหลังการล้างหน้า
    • หลีกเลี่ยงการใช้น้ำมันจูนิเปอร์มากเกินไป ไม่งั้นมันอาจทำให้ผิวระคายเคืองและทำให้สภาพแย่ลงกว่าเดิม
  4. การทาเจลว่านหางจระเข้ทุกวันช่วยฟื้นสภาพผิว คุณหาซื้อมันได้ตามร้านขายยาทั่วไป ว่านหางจระเข้เป็นพืชที่มีความชุ่มฉ่ำพร้อมคุณสมบัติต่อต้านเชื้อโรค ซึ่งใช้ได้ผลกับการรักษาสิวและลดอาการอักเสบ มันจะป้องกันแบคทีเรียจากแผลสิวติดเชื้อและเร่งกระบวนการเยียวยารักษา [29]
    • คนบางคนอาจแพ้ว่านหางจระเข้ หากเกิดรอยผื่นแดง ให้หยุดใช้และปรึกษาหมอผิวหนัง
  5. มองหาโลชั่นหรือครีมเกลือสมุทรที่มีโซเดียมคลอไรด์น้อยกว่า 1% ทาทิ้งไว้ 5 นาทีวันละหกครั้ง จากการศึกษาพบว่าเกลือสมุทรอาจมีคุณสมบัติต่อต้านการอักเสบ, ชะลอวัยและปกป้องผิวต่อรังสีอุลตราไวโอเล็ตที่เป็นอันตราย คุณสามารถใช้เกลือสมุทรเป็นมาสก์หน้าเพื่อลดความเครียดได้ด้วย [30] มองหาเกลือสมุทรและผลิตภัณฑ์เกลือสมุทรตามร้านขายเวชสำอางทั่วไป
    • คนที่มีสิวระดับเบาบางถึงระดับปานกลางสามารถใช้ผลิตภัณฑ์เกลือสมุทรได้อย่างไม่มีปัญหา คนที่มีผิวแห้ง, ผิวแพ้ง่าย หรือเป็นสิวระดับปานกลางขึ้นไปถึงระดับรุนแรงควรจะต้องพบหมอผิวหนังก่อนจะเริ่มทำการใช้เกลือสมุทร เนื่องจากมันอาจทำให้ผิวแห้งและระคายเคืองได้
    โฆษณา
ส่วน 4
ส่วน 4 ของ 4:

มองหาการดูแลจากมืออาชีพ

PDF download ดาวน์โหลดบทความ
  1. เลเซอร์และการใช้แสงบำบัดเป็นตัวเลือกที่ได้รับความนิยมในการรักษาสิว การใช้แสงบำบัดจะใช้แสงไฟรักษาแผลสิวอักเสบ, สิวแบบก้อนแดงและสิวก้อนซีสต์ [31]
    • การศึกษาแสดงว่าการใช้แสงบำบัดนั้นเป็นการรักษาที่ได้ผลในคนส่วนใหญ่ ให้ปรึกษาหมอผิวหนังเพื่อดูว่าวิธีไหนจะเหมาะกับคุณที่สุด
  2. การมีปริมาณของฮอร์โมนแอนโดรเจนสูง โดยเฉพาะในผู้หญิง อาจนำไปสู่การผลิตซีบัมส่วนเกินที่นำไปสู่การเกิดสิว [32] ซีบัมยังมีกรดไขมันที่กระตุ้นแบคทีเรียที่ทำให้เกิดสิว ส่วนสาเหตุอื่นๆ ที่อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนและส่งผลให้เกิดสิวก็มีการเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น, การตั้งครรภ์, ภาวะขาดประจำเดือน หรือมีการเปลี่ยนแปลงทางการรักษาด้วยยา
    • ทางที่ดีที่สุดที่จะรู้ว่าสิวคุณเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนหรือไม่นั้นคือการปรึกษาหมอผิวหนัง
  3. หมอผิวหนังสามารถวินิจฉัยสภาพผิวคุณและเสนอทางเลือกที่เหมาะในการรักษาสิวให้คุณได้ [33] [34] ทางเลือกโดยการศัลยกรรมก็มีการจี้สิวหัวขาวและสิวหัวดำหรือศัลยกรรมโดยจี้ด้วยความเย็นจัด (cryosurgery) ซึ่งจะมีการฉีดสเตียรอยด์เข้าไปในก้อนสิว ส่วนการกรอหน้าขัดผิว (Dermabrasion) ก็เป็นการศัลยกรรมที่ทำการกำจัดรอยแผลบนชั้นผิวและลดรูแผลเป็นจากสิวให้ตื้นลงโดยการกำจัดเซลล์ผิวหนังชั้นที่ตายแล้วออกไป ทั้งนี้อาจต้องเข้ารับการรักษาหลายครั้งขึ้นอยู่กับความรุนแรงของสภาพสิวบนใบหน้าคุณ
    • ถ้าคุณตกอยู่ในวงจรการเกิดสิวซ้ำแล้วซ้ำเล่า และได้ลองวิธีการรักษามาแล้วทุกรูปแบบ อย่ากลัวที่จะขอความช่วยเหลือ
    โฆษณา


เคล็ดลับ

  • หมอผิวหนังจะแนะนำให้คุณสระผมบ่อยๆ ถ้าคุณมีผมมัน น้ำมันของเส้นผมอาจไหลมาตรงหน้าผากหรือใบหน้าและทำให้สิวเห่อขึ้นมาได้
  • อย่าลงเครื่องสำอางในทันทีที่ล้างหน้าเสร็จ เนื่องจากมันจะอุดรูขุมขน ให้ใช้เครื่องสำอางชนิดไร้น้ำมันสำหรับผิวและผมของคุณ
  • อย่าใช้น้ำที่ร้อนหรือเย็นจนเกินไปเวลาล้างหน้า เพราะมันจะทำให้ผิวแห้ง ให้ใช้น้ำพออุ่นและลองไม่ใช้ผ้าเช็ดถูใบหน้า
  • ซิงค์อาจไปลดระดับของทองแดงในร่างกายถ้าคุณใช้มันนานเป็นเดือนๆ ดังนั้นแพทย์จะแนะนำให้ทานอาหารเสริมที่ให้ทองแดงปริมาณอย่างน้อย 2 มิลลิกรัม ไปพร้อมกับซิงค์ทุกวัน
  • เนื่องจากวิตามินอีและซิงค์เป็นสิ่งที่จำเป็นต่อการสร้างวิตามินเอ คุณจึงควรเพิ่มมันในอาหาร ปริมาณวิตามินอีที่แนะนำเมื่อทานร่วมกับวิตามินเอคือ 400-800 IU.
  • เวลาทาครีมรอบดวงตาให้ทาเบาๆ เพื่อผิวบริเวณนั้นบอบบาง
  • การทานซิงค์ครั้งละ 30 มิลลิกรัมวันละสามครั้งคือปริมาณที่แนะนำสำหรับผู้ป่วยเป็นสิวรุนแรง พอสิวอยู่ในสภาพที่ควบคุมได้แล้ว การทานเพื่อรักษาสภาพครั้งละ 10 ถึง 30 มิลลิกรัมต่อวันนับเป็นปริมาณที่เหมาะสม


โฆษณา

คำเตือน

  • คุณไม่ควรทานซิงค์ปริมาณสูงติดต่อกันหลายวันเว้นแต่แพทย์จะแนะนำ ให้ปรึกษาแพทย์ก่อนหาอาหารเสริมซิงค์มาทาน
  • ถ้าคุณไม่ได้สังเกตเห็นพัฒนาการของผิวหน้าหลังจากผ่านไป 8 สัปดาห์ ให้ปรึกษาหมอผิวหนัง
  • อย่าใช้เกลือสมุทรเสริมไอโอดีนหรือผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของไอโอดีนเนื่องจากมันอาจก่อให้เกิดการระคายเคือง ไม่ว่าจะโดยการรับประทานหรือทาบนผิว ทำให้สิวเห่อหนักกว่าเดิม


โฆษณา
  1. http://brown.edu/Student_Services/Health_Services/Health_Education/common_college_health_issues/acne.php
  2. http://www.aad.org/dermatology-a-to-z/health-and-beauty/general-skin-care/face-washing-101
  3. http://www.gannett.cornell.edu/cms/pdf/health/upload/Acne.pdf
  4. http://brown.edu/Student_Services/Health_Services/Health_Education/common_college_health_issues/acne.php
  5. http://www.aad.org/dermatology-a-to-z/health-and-beauty/general-skin-care/face-washing-101
  6. http://www.pacificcollege.edu/acupuncture-massage-news/om-essay-contest/om-essay-contest-2011/1117-acne-and-diet-by-alex-garcia-osuna.html
  7. http://www.hchs.edu/literature/Acne.pdf
  8. http://www.hchs.edu/literature/Acne.pdf
  9. http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/16029676
  10. http://umm.edu/health/medical/altmed/supplement/zinc
  11. http://www.hchs.edu/literature/Acne.pdf
  12. http://umm.edu/health/medical/altmed/supplement/vitamin-c-ascorbic-acid
  13. http://nccih.nih.gov/research/results/spotlight/022110.htm
  14. http://nccih.nih.gov/health/greentea
  15. http://nccih.nih.gov/research/results/spotlight/022110.htm
  16. http://nccih.nih.gov/health/greentea
  17. https://nccih.nih.gov/health/tea/treeoil.htm
  18. Michalun, V. M. , DiNardo J. (2014) Skin Care and Cosmetic Ingredients Dictionary, ISBN: 978-1-285-06079-8
  19. Michalun, V. M. , DiNardo J. (2014) Skin Care and Cosmetic Ingredients Dictionary, ISBN: 978-1-285-06079-8
  20. http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/23336746
  21. http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/21597673
  22. http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/14756640
  23. http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC2923944/
  24. http://www.uhs.umich.edu/acne
  25. http://www.womenshealth.gov/publications/our-publications/fact-sheet/acne.html

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 42,343 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา