ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

แม้โรคหวัดธรรมดาจะไม่ได้เกิดจากไวรัสที่ร้ายแรงมากนัก แต่มันก็ทำให้คุณเดือดร้อนไม่สบายตัวได้ สิ่งสำคัญในการรักษาโรคหวัดให้หายเร็วๆ คือการรู้ตัวแต่เนิ่นๆ ถ้าคุณคิดว่าตัวเองติดเชื้อหวัดมาแล้ว คุณต้องทำการป้องกันไว้ทันที กินวิตามินเพิ่ม รักษาคอ ล้างจมูก วิธีการเหล่านี้จะทำให้ร่างกายคุณมีประสิทธิภาพในการต่อสู้กับเชื้อหวัดมากขึ้น และอาจช่วยย่นระยะเวลาการป่วยได้ นอกจากทำตามวิธีดังกล่าวแล้ว ก็ควรพักและผ่อนคลายให้ได้มากที่สุด อย่ากินยาปฏิชีวนะ เพราะโรคหวัดเกิดจากเชื้อไวรัสไม่ใช่แบคทีเรีย ดังนั้นยาปฏิชีวนะก็ไม่ช่วยอะไร

วิธีการ 1
วิธีการ 1 ของ 4:

รักษาหวัดให้หายโดยเร็ว

ดาวน์โหลดบทความ
  1. คุณจะเริ่มแสดงอาการแทบจะทันทีหลังจากได้รับเชื้อไวรัส สัญญาณบ่งบอกอาการของหวัดธรรมดา ได้แก่ น้ำมูกไหล เจ็บคอ ไอ คัดจมูก ปวดเมื่อยตามตัวเบาๆ ตัวร้อนนิดๆ และมีอาการอ่อนเพลียเล็กน้อย [1] ถ้าคุณอยากรักษาโรคหวัดให้หายอย่างรวดเร็ว คุณก็ต้องเริ่มจัดการตั้งแต่เนิ่นๆ หลังจาก 12 ชั่วโมงแรกที่เป็นหวัด มันก็จะกระจายไปทั่วจนทำให้เป็นอยู่หลายวันได้ คุณต้องเสริมสร้างภูมิคุ้มกันร่างกายให้แข็งแรง
  2. กินยานี้เฉพาะเมื่อคุณมีอาการไอแห้ง ตัวอย่างยาแก้ไอ เช่น เดกซ์โทรเมทอร์แฟน (dextromethorphan) และโคเดอีน (codeine) แต่สำหรับโคเดอีนอาจต้องให้แพทย์สั่งจ่าย ผลข้างเคียงอาจทำให้ง่วงซึมและท้องผูก ส่วนเดกซ์โทรเมทอร์แฟนมีขายทั้งแบบยาเม็ดและยาน้ำ และอาจมาพร้อมกับยาขับเสมหะ [2] ถ้าคุณมีอาการไอแบบมีเสมหะ และไอเอาเสมหะออกมาด้วย อย่ากินยาแก้ไอ เพราะมันอาจไปเพิ่มโอกาสเสี่ยงของการติดเชื้อในปอดได้ ให้ลองถามหายาน้ำขับเสมหะจากเภสัชกรดู
  3. ยาลดน้ำมูกมีทั้งแบบน้ำและแบบเม็ด จะช่วยให้หลอดเลือดในเยื่อบุโพรงจมูกหดตัว และทำให้ทางเดินหายใจเปิดโล่ง ยาฟีนิลเอฟรีน (phenylephrine) อย่างซูดาเฟด พีอี (Sudafed PE) และยาซูโดอีเฟดรีน (pseudoephedrine) อย่างซูดาเฟด (Sudafed) เป็นยาลดน้ำมูกที่หาซื้อได้ตามร้านขายยาและช่วยเรื่องหวัดได้
    • คุณสามารถหาซื้อยาลดน้ำมูกในรูปแบบของสเปรย์พ่นจมูกได้เช่นกัน แค่พ่น 1-2 ครั้งก็จะรู้สึกดีขึ้นได้ ยาพ่นจมูกนี้จะมีตัวยาออกซีเมตาโซลีน (oxymetazoline) ฟีนิลเอฟรีน (phenylephrine) ไซโลเมตาโซลีน (xylometazoline) หรือแนฟาโซลีน (naphazoline) ควรใช้ตามคำแนะนำเท่านั้น การใช้เกิน 3-5 ครั้งต่อวันอาจทำให้ยิ่งรู้สึกคัดจมูกได้ [3]
    • ผลข้างเคียงของยาลดน้ำมูกคือ นอนไม่หลับ (มีปัญหาการนอนหลับ) เวียนหัว และความดันโลหิตเพิ่มขึ้น อย่าใช้ยาลดน้ำมูกแบบกินถ้าคุณมีปัญหาเกี่ยวกับหัวใจหรือความดันโลหิตสูง และควรใช้ภายใต้คำแนะนำของแพทย์ถ้าคุณเป็นโรคเบาหวาน มีปัญหาไทรอยด์ เป็นต้อหิน หรือต่อมลูกหมากมีปัญหา [4]
  4. ยาขับเสมหะมีขายทั่วไป จะช่วยทำให้โพรงจมูกโล่งโดยเจือจางน้ำมูกและละลายเสมหะที่ไปสะสมในปอด ช่วยให้คุณหายใจสะดวกขึ้น และรู้สึกโล่งสบายขึ้น
    • ยาขับเสมหะมีขายตามร้านขายยาใกล้บ้านคุณ มักจะมาในรูปแบบยาน้ำ แต่ก็สามารถพบได้ในแบบเม็ดหรือแบบผงด้วย ปัจจุบัน ยาขับเสมหะที่มีขายทั่วไปมีแค่ยาไกวเฟนิซิน (guaifenesin) ถ้าไปหาซื้อยาให้ดูส่วนผสมหลักตัวนี้ไว้ มิวซิเน็กซ์ (Mucinex) เป็นยี่ห้อยาขับเสมหะที่ขายตามร้านขายยาทั่วไปที่มีตัวยาไกวเฟนิซินอยู่ [5]
    • ควรระวังว่ายาขับเสมหะก็เหมือนยาตัวอื่นๆ คืออาจมีผลข้างเคียง อาการที่มักจะเกิดจากการกินยานี้ ได้แก่ คลื่นไส้ อาเจียน และง่วงซึม ถ้าคุณมีอาการใดตามที่กล่าวมา ควรหยุดกินยาขับเสมหะทันที [6]
  5. วิตามินซีเป็นที่เลื่องลือมานานถึงคุณสมบัติที่ช่วยป้องกันโรคหวัด แต่รู้ไหมว่ามันสามารถช่วยย่นระยะเวลาการป่วยได้ด้วย [7]
    • บริโภควิตามินซีให้มากขึ้นโดยการดื่มน้ำส้มคั้น และกินอาหารอย่างสตรอว์เบอร์รี่ กีวี่ และผักใบเขียว ซึ่งมีวิตามินซีสูง
    • คุณสามารถกินวิตามินซีเสริมได้เช่นกัน ซึ่งมีขายในรูปแบบเม็ดตามร้านขายยาหรืออาหารเพื่อสุขภาพ ปริมาณที่แนะนำคือ 90 มิลลิกรัมต่อวันสำหรับผู้ชาย และ 75 มิลลิกรัมต่อวันสำหรับผู้หญิง อ้างอิงจากสถาบันสุขภาพแห่งชาติของอเมริกา [8]
  6. ร่างกายคุณมีความสามารถในการต่อสู้กับเชื้อหวัด แต่แพทย์ก็สามารถสั่งจ่ายยาเพื่อช่วยบรรเทาอาการได้ แต่อย่าขอยาปฏิชีวนะจากแพทย์เพื่อรักษาโรคหวัด เพราะมันจะไม่ช่วยให้อาการดีขึ้นหรือลดเวลาการเจ็บป่วยได้เลย
    • ถ้าคุณมีอาการใดอาการหนึ่งดังต่อไปนี้ ควรรีบติดต่อแพทย์ทันที:
    • ปวดหู/สูญเสียการได้ยิน
    • ไข้ขึ้นสูงกว่า 103 องศาฟาเรนไฮต์ (39.4 องศาเซลเซียส)
    • มีไข้สูงกว่า 101 องศาฟาเรนไฮต์ (38.3 องศาเซลเซียส) นานเกิน 3 วัน
    • หายใจลำบาก/มีเสียงหวีด
    • น้ำมูกมีเลือดปน
    • มีอาการทั่วไปนานเกินว่า 7-10 วัน [9]
    • เจ็บคอและมีไข้ แต่ไม่ไอ และไม่มีน้ำมูก อาจเป็นโรคคออักเสบสเตรปโธรท ซึ่งควรรักษาด้วยยาปฏิชีวนะโดยเร็วเพื่อป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนกับหัวใจ
    • ไอและมีไข้ แต่ไม่มีน้ำมูก และไม่เจ็บคอ อาจเป็นอาการของโรคปอดอักเสบ ควรรักษาด้วยยาปฏิชีวนะเช่นเดียวกัน
    โฆษณา
วิธีการ 2
วิธีการ 2 ของ 4:

ลดอาการคัดจมูก

ดาวน์โหลดบทความ
  1. เป็นธรรมดาที่คุณอยากจะสั่งน้ำมูกเมื่อรู้สึกคัดจมูก แต่แค่ต้องระวังอย่าทำมากเกินไป การสั่งน้ำมูกอาจช่วยให้ของเหลวออกมาและโพรงจมูกโล่งขึ้นได้ก็จริง แต่ถ้าสั่งแรงหรือบ่อยเกินก็อาจทำให้เกิดผลเสียได้ [10]
    • ที่จริงแล้ว ผู้เชี่ยวชาญบางส่วนชี้ว่าการสั่งน้ำมูกอาจทำให้แรงดันในจมูกเพิ่มขึ้นเนื่องจากมีน้ำมูกสะสม ซึ่งจะทำให้เป็นอันตรายต่อโพรงจมูกมากขึ้นไปอีก [11] คุณสามารถหลีกเลี่ยงความเสี่ยงนี้ได้โดยการสั่งน้ำมูกเมื่อจำเป็นจริงๆ เท่านั้น และใช้วิธีที่ถูกต้อง
    • วิธีที่ถูกก็คือ ใช้นิ้วปิดรูจมูกข้างหนึ่งไว้ แล้วสั่งน้ำมูกเบาๆ จากอีกข้าง จากนั้นจึงสลับข้างกัน อย่าลืมล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่ฆ่าเชื้อหลังสั่งน้ำมูกเพื่อไม่ให้เชื้อไวรัสหวัดแพร่กระจาย [12]
    • ป้องกันไม่ให้จมูกระคายเคืองจากการสั่งน้ำมูกที่มากเกินไปด้วยการใช้ผ้าเช็ดหน้าคอตตอนนุ่มๆ และใช้ปิโตรเลียมเจลเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นหล่อเลี้ยงโพรงจมูก [13]
  2. ลองใช้ภาชนะใส่น้ำเกลือล้างจมูกเพื่อให้โพรงจมูกโล่ง. ใช้ขวดหรือภาชนะแบบใดก็ได้ที่มีปากขวดแคบใส่น้ำเกลือล้างจมูก เพื่อเจือจางและชะล้างน้ำมูกจากโพรงจมูก
    • ทำน้ำเกลือเองโดยผสมเกลือโคเชอร์ (kosher salt) ครึ่งช้อนชากับน้ำหนึ่งถ้วย
    • ใส่น้ำเกลือลงในภาชนะ เอียงศีรษะไปด้านหนึ่ง (เหนืออ่างล้างหน้า) นำปากภาชนะใส่ในรูจมูกข้างหนึ่งแล้วเท น้ำเกลือจะไหลเข้าไปในรูจมูกข้างนั้นก่อนจะไหลออกมาทางอีกข้าง พอน้ำหยุดไหลออกมาแล้วให้สั่งน้ำมูกเบาๆ และทำซ้ำอีกข้างหนึ่ง [14]
  3. ไอน้ำนั้นมีประโยชน์มากในการทำให้โพรงจมูกคุณโล่ง ความร้อนจากไอน้ำจะช่วยสลายเสมหะ ในขณะที่ความชุ่มชื้นจากน้ำจะช่วยบรรเทาอาการโพรงจมูกแห้ง [15] ใช้ไอน้ำตามวิธีดังต่อไปนี้ [16]
    • อบไอน้ำใบหน้าด้วยการต้มน้ำให้เดือด เทน้ำลงในชามแล้วเอาหน้าไปจ่อเหนือไอน้ำที่ลอยขึ้นมา ถือผ้าขนหนูไว้เหนือศีรษะเพื่อกักไอน้ำไว้ เติมน้ำมันหอมระเหยที่ช่วยให้จมูกโล่งสักสองสามหยด (เช่น ทีทรีหรือเปเปอร์มินต์) เพื่อให้ได้ผลมากที่สุด
  4. ใช่แล้ว แม้ว่าคุณจะรู้สึกไม่ค่อยสบาย แต่ก็ควรอาบน้ำตามปกติเพราะมันจะช่วยให้หายหวัดเร็วขึ้น เปิดน้ำให้ร้อนในระดับที่อาบได้สบาย และปล่อยให้ไอน้ำลอยเต็มห้องน้ำให้มากเท่าที่ทำได้ ถ้าความร้อนทำให้คุณรู้สึกอ่อนแรงหรือวิงเวียน ให้เอาเก้าอี้หรือม้านั่งพลาสติกเข้าไปไว้ในห้องน้ำด้วย
    • การอาบน้ำร้อนแบบมีไอน้ำเยอะๆ สามารถช่วยคุณตอนเป็นหวัดได้ดีมาก ไม่ใช่แค่ลดอาการคัดจมูก แต่ช่วยในการผ่อนคลายและให้ความอบอุ่นด้วย พยายามให้น้ำร้อนเท่าที่จะทำได้ ถ้าคุณอยากจะสระผม (ไม่ว่าจะในอ่างหรือใช้ฝักบัว) อย่าลืมเป่าผมให้แห้งด้วย เพราะผมชื้นๆ จะทำให้คุณสูญเสียความร้อนในร่างกาย ซึ่งจะไม่ดีเวลาเป็นหวัด
  5. ไม่มีอะไรจะสบายกว่าการได้ดื่มอะไรร้อนๆ ตอนคุณเป็นหวัดอีกแล้ว แต่นอกจากความอุ่นสบายนั้นแล้ว เครื่องดื่มร้อนๆ ยังช่วยให้จมูกคุณโล่งและบรรเทาอาการเจ็บคอได้อีกด้วย มันจึงเป็นวิธีรักษาหวัดที่เพอร์เฟกต์สุดๆ
    • ชาสมุนไพรอย่างคาโมมายล์และเปปเปอร์มินต์เป็นตัวเลือกที่ดี มันจะช่วยบรรเทาอาการและช่วยให้ชุ่มชื้น ชาธรรมดาและกาแฟจะช่วยให้คุณกระฉับกระเฉงขึ้นเวลาคุณมึนๆ แต่มันไม่ช่วยเติมความชุ่มชื้นให้ร่างกาย
    • วิธีรักษาหวัดอย่างหนึ่งที่มีมายาวนานและยังใช้ได้ดีก็คือเครื่องดื่มธรรมดาๆ ที่ทำจากน้ำอุ่น มะนาว และน้ำผึ้ง น้ำอุ่นๆ จะช่วยแก้คัดจมูก มะนาวจะช่วยเติมพลังให้ระบบภูมิคุ้มกัน ส่วนน้ำผึ้งช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอ แค่ใส่มะนาวฝานบางๆ ลงในถ้วยน้ำอุ่นและเติมน้ำผึ้งลงไปก็เสร็จแล้ว [17]
    • ซุปไก่ถูกเลือกให้เป็นอาหารบำรุงผู้ป่วยโรคหวัดมานาน แต่ไม่ใช่แค่เพราะมันอุ่นและกินง่าย มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รับรองแล้วว่าซุปไก่ช่วยจำกัดการผลิตเซลล์เม็ดเลือดขาวบางชนิดที่มีส่วนทำให้เป็นโรคหวัด [18]
    โฆษณา
วิธีการ 3
วิธีการ 3 ของ 4:

ให้ร่างกายได้พัก

ดาวน์โหลดบทความ
  1. วิธีหนึ่งที่จะยืดเวลาโรคหวัดให้นานออกไปเป็นวันๆ หรือเป็นสัปดาห์คือการใช้ชีวิตประจำวันตามปกติและไม่ให้เวลาร่างกายได้ฟื้นตัว ทางที่ดีที่สุดที่จะทำให้หายหวัดเร็วๆ คือลาหยุดสัก 2-3 วัน อยู่ในที่ที่อุ่นสบาย และให้เวลาร่างกายได้พักผ่อน
    • ถ้าคุณไม่อยากหยุดงาน ลองคิดถึงเพื่อนร่วมงานของคุณดู พวกเขาคงไม่อยากให้คุณไปแพร่เชื้อโรคในที่ทำงานหรอก การหยุดอยู่บ้านจะช่วยพวกเขาได้นะ
    • นอกจากนั้น ไวรัสหวัดธรรมดาจะโจมตีระบบภูมิคุ้มกันให้อ่อนแอ ทำให้คุณไวต่อการติดเชื้อโรคอื่นๆ หรือทำให้หวัดยิ่งแย่ลงได้ ดังนั้น การอยู่ในบ้านจึงเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยสุด อย่างน้อยก็จนกว่าคุณจะรู้สึกดีขึ้น
  2. อย่าลืมว่าร่างกายคุณกำลังพยายามต่อสู้กับเชื้อไวรัสอยู่ และมันต้องการพลังงานเพื่อเอาชนะให้ได้ การออกแรงมากเกินไปในการทำงานบ้าน ออกกำลังกาย เดินทาง หรือทำกิจกรรมที่ใช้แรงต่างๆ จะยิ่งยืดเวลาโรคหวัดและทำให้คุณรู้สึกแย่ลง ควรนอนตอนกลางคืนอย่างน้อยแปดชั่วโมงและงีบระหว่างวันบ่อยๆ [19]
    • ถ้าคุณนอนไม่หลับ ให้ลองห่มผ้าอุ่นๆ บนโซฟาและดื่มเครื่องดื่มร้อนๆ ใช้เวลานี้ดูหนังเรื่องโปรดหรืออ่านหนังสือที่ชอบก็ได้
    • เวลานอนให้ยกศีรษะขึ้นสูงโดยใช้หมอนหนุนเพิ่ม มันอาจจะรู้สึกแปลกถ้าคุณไม่ชิน แต่มุมที่ยกขึ้นนั้นจะช่วยระบายน้ำมูกให้จมูกโล่งได้ ถ้ามันทำให้ไม่สบายตัวจริงๆ ลองเสริมหมอนหนุนไว้ใต้ที่นอนหรือผ้าปูเตียงเพื่อไม่ให้มันสูงเกินไป [20]
  3. เมื่ออากาศหนาวต้องทำอย่างไร ทำร่างกายให้อบอุ่นไงล่ะ! แม้ว่าอากาศหนาวๆ หรือการนั่งตากลมจะไม่ใช่สาเหตุของโรคหวัด (มันเกิดจากไวรัสหวัดต่างหาก) การรักษาร่างกายให้อบอุ่นในช่วงฟื้นตัวจะช่วยได้ เปิดเครื่องควบคุมอุณหภูมิ จุดไฟ แล้วห่มผ้าให้อุ่นๆ ไม่นานคุณก็จะรู้สึกดีขึ้น
    • แม้ความร้อนจะมีประโยชน์ แต่ความร้อนแห้งๆ สามารถทำให้จมูกและคอที่อักเสบยิ่งระคายเคืองได้ คุณจัดการเรื่องนี้ได้ด้วยการใช้เครื่องทำความชื้นเพื่อเติมความชุ่มชื้นในอากาศ มันจะช่วยให้หายใจได้สะดวกขึ้น
    • แค่ต้องระวังว่าเครื่องทำความชื้นอาจทำให้เชื้อโรคหรือเชื้อราแพร่กระจายได้ [21]
  4. ทั้งการสั่งน้ำมูกและห่มผ้าจนเหงื่อออกจะทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำ ซึ่งจะทำให้อาการหวัดยิ่งแย่ลง นำไปสู่อาการปวดหัว คอแห้ง และระคายคอได้
    • พยายามดื่มน้ำให้มากกว่าปกติเวลาไม่สบาย ไม่ว่าจะเป็นน้ำชาร้อนๆ ซุป ผักผลไม้ที่มีน้ำเยอะๆ (แตงโม มะเขือเทศ แตงกวา สับปะรด) หรือแค่น้ำเปล่าธรรมดาก็ได้
    • วิธีง่ายๆ ในการเช็กภาวะขาดน้ำคือการตรวจปัสสาวะ ถ้าปัสสาวะสีอ่อนมากหรือเกือบใส แปลว่าคุณสบายดี แต่ถ้าเป็นสีเหลืองเข้ม แสดงว่าของเสียในร่างกายมีความเข้มข้นสูงและไม่ถูกเจือจาง ซึ่งเป็นสัญญาณบอกว่าคุณควรดื่มน้ำให้มากขึ้น
    โฆษณา
วิธีการ 4
วิธีการ 4 ของ 4:

รักษาอาการอื่นๆ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ถ้าคุณมีอาการปวดเมื่อยหรือมีไข้ สองตัวเลือกหลักๆ ของคุณคือยาอะเซตามิโนเฟน (หรือพาราเซตามอล) อย่างไทลินอล (Tylenol) และยากลุ่มเอ็นเสด (NSAIDs) หรือยาต้านการอักเสบชนิดที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ เช่น แอสไพริน (aspirin) ไอบูโพรเฟน (ibuprofen) หรือนาพรอกเซน (naproxen) ถ้าคุณเป็นโรคกรดไหลย้อนหรือโรคแผลในกระเพาะอาหาร ให้หลีกเลี่ยงยากลุ่มเอ็นเสด ถ้าคุณกินยากลุ่มนี้อยู่แล้วเพื่อรักษาโรคอื่นๆ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนจะกินอีก ห้ามกินเกินขนาดที่ได้ระบุไว้บนฉลากยา การกินยาชนิดใดมากเกินไปอาจทำให้เป็นพิษสะสมในตับได้ คุณคงไม่อยากเป็นโรคเพิ่มในขณะที่ต่อสู้กับอีกโรคหนึ่งอยู่ใช่ไหมล่ะ [22]
  2. การคัดจมูกไม่ใช่แค่อาการเดียวที่คุณต้องเผชิญเมื่อเป็นหวัด ยังมีคอแห้ง คันคอ หรือเจ็บคอที่น่าเบื่อพอๆ กันอีกด้วย วิธีง่ายๆ และเป็นธรรมชาติที่จะจัดการกับมันได้คือการบ้วนน้ำเกลือ น้ำจะช่วยทำให้คอชุ่มชื้น ในขณะที่คุณสมบัติฆ่าเชื้อโรคในเกลือจะช่วยรักษาการติดเชื้อ ทำน้ำเกลือได้โดยละลายเกลือ 1 ช้อนชาในน้ำอุ่น 1 แก้ว ถ้ามันรสชาติแย่เกินไปสำหรับคุณ ให้เติมผงฟูลงไปเล็กน้อยเพื่อลดความเค็มของเกลือลง บ้วนน้ำเกลือได้มากถึง 4 ครั้งต่อวัน โดยห้ามกลืนลงไป [23]
  3. ว่ากันว่าเอลเดอร์เบอร์รี่เป็นตัวเสริมภูมิต้านทานจากธรรมชาติชั้นดี มันจึงเป็นที่นิยมในฐานะยารักษาโรคหวัดจากธรรมชาติ เอลเดอร์เบอร์รี่มีสารฟลาโวนอยด์ซึ่งมีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ และช่วยป้องกันไม่ให้เซลล์ในร่างกายเกิดความเสียหาย อย่างไรก็ตาม ยังมีการศึกษาจำนวนน้อยมากในมนุษย์ นักวิจัยจึงยังไม่ทราบว่ามันใช้ได้ผลมากน้อยแค่ไหน คุณสามารถกินเอลเดอร์เบอร์รี่ได้หลายวิธี ดังนี้ [24]
    • กินน้ำเชื่อมเอลเดอร์เบอร์รี่ 1 ช้อนทุกเช้า หาซื้อได้จากร้านขายอาหารเพื่อสุขภาพทั่วไป
    • เติมสารสกัดเอลเดอร์เบอร์รี่ 2-3 หยด (หาได้จากร้านขายอาหารเพื่อสุขภาพเช่นกัน) ลงในน้ำเปล่าหรือน้ำผลไม้
    • หรือดื่มชาเอลเดอร์เบอร์รี่ เครื่องดื่มร้อนๆ ที่มีดอกเอลเดอร์กับใบเปปเปอร์มินต์
  4. น้ำผึ้งดิบเป็นอาหารเสริมภูมิต้านทานจากธรรมชาติที่ดีมาก คุณสมบัติที่ต้านเชื้อไวรัสและช่วยปลอบประโลมคอที่อักเสบทำให้มันกลายเป็นส่วนผสมหลักในยาธรรมชาติรักษาโรคหวัดหลายตัวเลยทีเดียว [25]
    • คุณจะกินน้ำผึ้งดิบเปล่าๆ หนึ่งช้อน หรือจะใส่ลงในน้ำอุ่นหรือชาก็ได้ วิธีรักษาหวัดที่ดีอีกอย่างหนึ่งก็คือดื่มนมหนึ่งแก้วใส่ผงขมิ้นหนึ่งช้อน แล้วตามด้วยน้ำผึ้งหนึ่งช้อนทันที ลองหาซื้อน้ำผึ้งดิบจากแหล่งท้องถิ่นของคุณ มันจะช่วยให้ร่างกายคุณสร้างภูมิต้านทานการแพ้ที่เหมาะกับพื้นที่ที่คุณอยู่ [26]
  5. กระเทียมมีผลดีต่อสุขภาพมากมาย เพราะมีฤทธิ์เป็นยาต้านจุลชีพ ไวรัส และยาปฏิชีวนะอย่างหนึ่ง มีหลักฐานชี้ว่ากระเทียมสดสามารถช่วยบรรเทาอาการหวัด ย่นระยะเวลาการป่วย และเสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันได้ แถมยังช่วยป้องกันโรคหวัดได้ด้วย [27]
    • กระเทียมสามารถกินในแบบอาหารเสริมได้ แต่ถ้าจะให้ได้ผลดีที่สุดควรกินแบบสด ทุบกระเทียมสักกลีบแล้วทิ้งไว้ที่อุณหภูมิห้อง 15 นาที นี่จะทำให้สารที่ชื่ออัลลิซิน (allicin) ปล่อยออกมา มันมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อซึ่งทำให้กระเทียมมีประโยชน์สูงสุด
    • คุณจะกินกระเทียมเปล่าๆ (ถ้ากระเพาะคุณแข็งแรง) หรือจะผสมกับน้ำผึ้งหรือน้ำมันมะกอกนิดหน่อยแล้วทาบนแครกเกอร์ก็ได้ [28]
  6. อาหารเสริมจากธรรมชาติบางชนิดเชื่อว่าช่วยเรื่องโรคหวัดได้ แม้มันจะไม่ได้รักษาหวัดหรือยับยั้งอาการ แต่มันช่วยให้หายหวัดเร็วขึ้นได้ ตัวอย่างเช่น
    • เอคินาเชียเป็นอาหารเสริมสมุนไพรซึ่งเชื่อกันว่ามีฤทธิ์ต้านไวรัส ช่วยรักษาอาการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ ว่ากันว่ากินในแบบเม็ดจะช่วยลดระยะเวลาการเป็นหวัด หากกินตั้งแต่แรกๆ ที่เริ่มออกอาการ [29]
    • ธาตุซิงค์หรือสังกะสีก็เป็นสารจากธรรมชาติอีกอย่างหนึ่งที่มีการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ยืนยันว่าช่วยย่นระยะเวลาของโรคหวัดโดยป้องกันไม่ให้ไวรัสแพร่พันธุ์ สามารถกินในแบบเม็ด ยาอม และน้ำ [30]
    • โสมเป็นยารักษาโรคหวัดมาตั้งแต่สมัยโบราณ มีการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์แล้วว่าช่วยลดระยะเวลาของโรคหวัด และยังเสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันอีกด้วย กินได้ทั้งแบบอาหารเสริมหรือจะนำรากมาต้มเป็นชาก็ได้ [31]
    โฆษณา

สิ่งของที่ใช้

  • กระดาษทิชชู่
  • ยา
  • น้ำสำหรับอาบ
  • เตียง
  • เครื่องดื่มร้อนๆ
  • หนังหรือหนังสือ (หรืองานอดิเรกอื่นๆ ที่ไม่ต้องออกแรง)
  • น้ำเปล่า
  1. http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/10671347
  2. http://www.nytimes.com/2009/02/10/health/10real.html?_r=1&
  3. http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/10671347
  4. http://www.nlm.nih.gov/medlineplus/ency/article/000678.htm
  5. http://www.fda.gov/ForConsumers/ConsumerUpdates/ucm316375.htm
  6. http://www.webmd.com/cold-and-flu/8-tips-to-treat-colds-and-flu-the-natural-way
  7. http://www.nhs.uk/Conditions/Cold-common/Pages/Treatment.aspx
  8. http://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/common-cold/in-depth/health-tip/art-20048631
  9. http://www.humanillnesses.com/Infectious-Diseases-He-My/Influenza.html
  10. http://www.medicalnewstoday.com/articles/252516.php
  11. http://www.nlm.nih.gov/medlineplus/ency/article/003051.htm
  12. http://www.mayoclinic.com/health/cool-mist-humidifiers/AN01577
  13. http://www.nlm.nih.gov/medlineplus/druginfo/meds/a681004.html
  14. http://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/common-cold/in-depth/cold-remedies/art-20046403
  15. http://umm.edu/health/medical/altmed/herb/elderberry
  16. http://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/common-cold/expert-answers/honey/faq-20058031
  17. http://www.naturalnews.com/035493_raw_honey_health_benefits_antibacterial.html
  18. http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmedhealth/PMH0013804/
  19. http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmedhealth/PMH0013804/
  20. http://www.webmd.com/cold-and-flu/features/four-natural-cold-remedies-do-they-work?page=2
  21. http://www.nlm.nih.gov/medlineplus/druginfo/natural/967.html
  22. http://www.nlm.nih.gov/medlineplus/druginfo/natural/967.html

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 3,000 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา