ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

คุณสัญญากับตัวเองว่าคราวนี้ฉันจะเอาจริงล่ะนะ! คุณอดทนทานสลัด ออกไปจ๊อกกิ้ง และนั่งแทะโปรตีนบาร์อย่างสุขใจได้ใน 3 วันแรก แต่พอ 2-3 วันถัดไป คุณกลับมานอนตีพุงตักไอติมวอลล์เข้าปากซะนี่ เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้อยู่ร่ำไป เพราะ “คุณขาดแรงบันดาลใจ” นั่นล่ะตัวการปัญหา อ๊ะ อ๊ะ แต่ไม่ต้องกังวลไป เพราะถ้าคุณมุ่งมั่นทำสุดแรงใจ คุณจะสามารถเปลี่ยนปัญหาโยโย่ เป็นเสียงไชโยกับหุ่นเพรียวเปรี้ยวจี๊ดได้ในที่สุด คอนเฟิร์ม!!

วิธีการ 1
วิธีการ 1 ของ 3:

เริ่มกิจวัตรสร้างแรงบันดาลใจ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. การพูดว่า “ฉันจะลดน้ำหนัก 20 กิโลให้ได้ใน 2 สัปดาห์” เรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน “เพราะน้ำหนักของคนเราไม่ได้เข้ามาแบบพรวดพราด มันจึงออกไปแบบพรวดพราดไม่ได้เช่นเดียวกัน” และถ้าคุณตั้งเป้าหมายที่ทำสำเร็จไม่ได้จริงล่ะก็ สุดท้ายมันจะทำให้คุณหมดกำลังใจเสียเอง
    • ลองปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ ว่าคุณควรตั้งเป้าลดน้ำหนักให้ได้สัปดาห์หรือเดือนละกี่กิโลจึงจะเป็นไปได้จริง เพราะสิ่งที่ดีสำหรับใครบางคนอาจทำร้ายใครบางคนก็ได้ ซึ่งคงต้องพิจารณากันหลายปัจจัย ทั้งน้ำหนัก อายุ ความหนักเบาของกิจกรรม เพศ และอื่นๆ อีกมากมาย
    • หาเทรนเนอร์สักคน (เราจะพูดถึงรายละเอียดเรื่องนี้กันในภายหลัง) เมื่อร่างกายฟิตแอนด์เฟิร์มขึ้น คุณจะรู้ได้ว่าตัวเองมีศักยภาพที่จะทำอะไรได้บ้าง หรือบางครั้งคุณอาจไม่รู้จริงๆ ว่าอะไรที่เป็นไปได้และเป็นไปไม่ได้สำหรับคุณ แต่เทรนเนอร์เก่งๆ สามารถช่วยวางแผนการและเป้าหมายที่จะช่วยให้คุณไปถึงขีดศักยภาพสูงสุดของคุณได้ในที่สุด
    • โดยปกติ ยิ่งคุณลดน้ำหนักได้ช้าเท่าไหร่ เจ้าน้ำหนักตัวร้ายก็จะยิ่งหายไปถาวรเท่านั้น ในทางตรงข้าม การที่น้ำหนักลดฮวบฮาบ นั่นหมายความว่าร่างกายของคุณกำลังเข้าสู่ภาวะอดอยาก ซึ่งจะนำคุณเข้าสู่วงจรบ้าบอ นั่นคือ มันจะทำให้ระดับเมตาบอลิซึมของคุณลดลง ทำให้คุณรู้สึกอึดอัดไม่สบาย จนทนไม่ไหวตบะแตกในที่สุด
    • น้ำหนัก 1 ปอนด์ (0.45 กก.) เท่ากับ 3,500 แคลอรี่ นั่นหมายความว่าถ้าคุณลดแคลอรี่ได้วันละ 500 แคลอรี่ แม้ไม่ได้ออกกำลังเลยแม้แต่นิดเดียว คุณก็สามารถลดได้ถึง 1 ปอนด์ต่อสัปดาห์แล้ว
  2. การมีเพื่อนร่วมหัวจมท้ายจะทำให้คุณได้รับพลังแห่งทีมเวิร์ค ที่สำคัญการมีใครสักคนคอยให้กำลังใจ เป็นที่พึ่ง และไปออกกำลังกายเป็นเพื่อนจะทำให้คุณไม่ล้มเลิกความตั้งใจง่ายๆ
    • ถ้าจะให้ดีที่สุด ลองหาเพื่อนที่มีเป้าหมายและสุขภาพคล้ายๆ กัน เช่น ถ้าคุณเป็นผู้หญิงวัย 45 ที่กำลังพยายามลดน้ำหนักให้ได้ 20 กิโล อาจจะไม่เหมาะสักเท่าไหร่ถ้าจะชวนเพื่อนร่วมงานวัย 21 ที่อยากลดแค่ 10 กิโลมาร่วมขบวนการ
    • คุณยังสามารถหาเพื่อนร่วมขบวนการผ่านอินเทอร์เน็ตได้อีกด้วย เดี๋ยวนี้มีเว็บไซต์ลดน้ำหนักเยอะแยะที่มีบริการหาคู่หูร่วมสลายไขมัน ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นบริการที่เลิศสุดๆ โดยเฉพาะสำหรับคนที่หาเพื่อนเหมาะๆ ใกล้ตัวมาร่วมขบวนการไม่ได้จริงๆ หรือไม่อยากให้คนใกล้ตัวล่วงรู้ปฏิบัติการลับของคุณ
    • คู่หูต้องเป็นคนที่คุณถูกใจไม่เกลียดชัง เพราะถ้าคุณไม่ชอบคู่หูของคุณเองแล้วล่ะก็ นอกจากเขาหรือเธอคนนั้นจะทำให้การออกกำลังกลายเป็นประสบการณ์อันเลวร้าย มันยังทำให้คุณไม่มีกะจิตกะใจจะไปต่ออีกต่างหาก
    • คนๆ นั้นอาจจะช่วยให้คุณทานอาหารดีๆ มากขึ้น ทำให้ออกกำลังกายได้มากขึ้น หรืออาจจะทั้งคู่ ขึ้นอยู่กับว่าคุณตั้งกฎลดน้ำหนักไว้อย่างไร เพราะความจริงแค่มีเพื่อนร่วมช้อปปิ้งก็ช่วยได้แยะแล้ว! เพียงแต่ต้องเลือกคนที่ทำให้คุณรู้สึกดีขึ้นเมื่อนึกถึงเส้นทางแห่งการลดน้ำหนัก ไม่ใช่คนที่จะทำให้มันกลายเป็นสมรภูมิแห่งการแข่งขัน
  3. ไม่ว่าคุณจะมีเพื่อนร่วมขบวนการหรือไม่ การเข้าคลาสลดน้ำหนักถือเป็นอีกหนึ่งการตัดสินใจที่ดี โดยอาจจะเป็นคลาสใหญ่ๆ ที่จะทำให้คุณได้เพื่อนร่วมขบวนการเพิ่มอีกสัก 30 คน กับโค้ชอีก 1 คน ที่สำคัญคลาสส่วนใหญ่มักจะต้องจ่ายเงินล่วงหน้าเสียด้วย และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งเทคนิคในการบังคับให้ตัวเองไปเข้าคลาส เพราะถ้าไม่ไปคงเสียดายเงินแย่
    • เดี๋ยวนี้มีคลาสออกกำลังกายอยู่หลายรูปแบบ แต่ไม่มีคลาสไหนจะใช่สำหรับทุกคนหรอกนะ ข่าวดีก็คือเดี๋ยวนี้คุณมีตัวเลือกมากกว่าแต่ก่อนเยอะ คุณไม่จำเป็นต้องไปโรงยิมหรือเข้าฟิตเนสอย่างใครเขา เพราะการไปลงเรียนขี่ม้า หัดตีปิงปอง หรือรำไท้เก๊กที่สวนสาธารณะก็ถือเป็นการเข้าคลาสด้วยกันทั้งนั้น
    • หาระดับที่เหมาะกับคุณ ตัวอย่างเช่น โรงเรียนสอนโยคะแต่ละแห่งอาจจะมีคลาสออกกำลังกายหลายรูปแบบ ทั้งคลาสสำหรับผู้มีประสบการณ์ สำหรับนักกีฬาที่เข้าแข่งขันอย่างจริงจัง สำหรับผู้หญิงตั้งครรภ์ สำหรับผู้เริ่มต้น สำหรับคุณพ่อคุณแม่และลูกๆ และอื่นๆ อีกมากมาย
    • ลองฝึกทักษะใหม่ๆ โลกใบใหญ่ของเรามีทักษะที่ต้องอาศัยแรงกายอีกมากมายให้คุณออกไปสำรวจ ความจริงการวิ่งธรรมดาๆ ก็ถือเป็นการออกกำลังกายที่ดี แต่บางคนอาจจะอยากลอง “เรียนรู้” อะไรใหม่ๆ อาจจะเป็นเรียนเต้นซัลซ่า คาราเต้ ปีนผา หรือว่าระบำหน้าท้อง
  4. การได้เขียนความสำเร็จในแต่ละขั้นจะทำให้สิ่งที่คุณทำดูเป็นชิ้นเป็นอันมากขึ้น โดยจะเขียนในรูปแบบใดก็ได้ แต่เราจะหยิบยกมาแนะนำกันสัก 2 วิธี
    • ลองทำบล็อกส่วนตัวเกี่ยวกับการออกกำลังกาย (และอาหาร) ไว้สำหรับเขียนสิ่งที่คุณทำในแต่ละวัน ปริมาณแคลอรี่ที่เผาผลาญได้ ตอนนี้คุณเข้าใกล้เป้าหมายแค่ไหนแล้ว หรืออาจจะเป็นเมนูอาหารที่เลือกทำ และถ้าคุณมีเพื่อนร่วมขบวนการล่ะก็ ลองแชร์ให้เขาหรือเธอได้อ่านเพื่อเป็นการเพิ่มแรงฮึดให้คุณต้องทำอะไรสักอย่างในทุกๆ วัน
    • ลองทำบล็อกสาธารณะ บล็อกประเภทนี้จะได้รับการเผยแพร่สู่ชาวเน็ตทั่วโลก เรียกได้ว่าทุกคนจะล่วงรู้ปฏิบัติการทั้งหมดของคุณ (แน่นอน.. ถ้ามีคนอ่านนะ) การทำบล็อกประเภทนี้จะช่วยกระตุ้นให้คุณอยากเติมความสร้างสรรค์ให้กับเส้นทางลดน้ำหนักของคุณ นอกจากเรื่องราวเหมือนอย่างที่เราจะเขียนลงในบล็อกส่วนตัวแล้ว ที่นี่คุณอาจจะเขียนเล่าถึงความรู้สึกของคุณเกี่ยวกับการออกกำลังกาย อุปสรรคที่กำลังเผชิญ หรือความรู้สึกเมื่อทำได้สำเร็จไปอีกขั้น เพียงแต่ต้องกระตุ้นให้ตัวเองเขียนอย่างต่อเนื่อง!
  5. ถ้าคุณมีแต่เพื่อนที่ชอบคุยข่ม หรือชอบชวนไปกินชานมไข่มุกแทนออกกำลังกาย การหาเทรนเนอร์สักคนอาจจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับคุณ แต่ต้องพยายามหาคนที่เข้ากับบุคลิกนิสัยของคุณได้สักหน่อย เพราะถ้าเทรนเนอร์ทำให้คุณรู้สึกแย่ คุณคงต้องแกล้งป่วยไม่เว้นแต่ละวันเป็นแน่
    • ฟิตเนสส่วนใหญ่จะมีเทรนเนอร์คอยให้ความช่วยเหลืออยู่แล้ว และคุณอาจโชคดีได้ลองเข้าคลาสเบื้องต้นฟรีสัก 2-3 ครั้ง ลองถามคนรู้จักว่ามีเทรนเนอร์ที่ไหนดีๆ บ้าง ที่สำคัญอย่าลืมเลือกคนที่มีความรู้เกี่ยวกับการออกกำลังกายจริงๆ และเคารพในเป้าหมายการลดน้ำหนักของคุณ
    • เทรนเนอร์บางคนจะลดราคาถ้าหากลูกค้าเข้าเล่นเป็นกลุ่มเล็กๆ คุณอาจหาเพื่อนไปร่วมเพื่อประหยัดเงิน
  6. การมี “วันครบกำหนด” อย่างเป็นทางการสำหรับการฝึกร่างกายจะทำให้คุณมีเป้าหมายที่ชัดเจนที่ต้องทำให้สำเร็จ แต่ก็ต้องเป็นสิ่งที่คุณสนุกกับการได้ทำและเหมาะกับสมรรถภาพทางร่างกายของคุณด้วยเช่นกัน
    • เข้าร่วมการแข่งขันวิ่งผลัดเป็นทีมใกล้ๆ บ้าน
    • เข้าร่วมการแข่งขันวิ่งมินิมาราธอน 5 กิโลเมตร
    • ตั้งเป้าว่าจะไปดำน้ำสน็อกเกิลช่วงวันหยุดหน้าให้ได้
    • ตั้งเป้าว่าจะต้องไต่เขาที่สวนสาธารณะใกล้บ้านขึ้นไปจนสุดให้ได้
    • ต้องเอาชนะคู่ต่อสู้ในการแข่งฟันดาบครั้งหน้าให้ได้
    • ฉันจะต้องเซิ้งหมอลำโชว์ในงานแต่งลูกชายให้ได้
    • เดี๋ยวนี้มีโปรแกรมฝึกและแอพมากมายเป็นตัวช่วยสำหรับคุณ เช่น "Couch to 5K" ที่ช่วยกระตุ้นให้คุณเดินบ้างวิ่งบ้างสลับกันไป การพักเดินบ้างไม่ใช่เรื่องผิดแต่อย่างใด! นอกจากนี้ยังมีเว็บไซต์ wingnaidee.com [1] และ forrunnersmag.com [2] ที่รวบรวมรายการงานวิ่งหลายหลายรูปแบบในไทยมาให้คุณเลือก แค่คลิ๊กเดียวก็สมัครเข้าร่วมงานได้แล้ว ทีนี้คุณก็ไม่เหลือข้ออ้างให้บ่ายเบี่ยงแล้วล่ะ
  7. การโพสต์ภาพถ่ายสมัยเด็กๆ สมัยที่ยังผอม สมัยที่ยังฟิตเปรี๊ยะ หรือภาพอะไรก็แล้วแต่ในอดีตล้วนแต่ไม่ได้อะไรนอกจากจะบั่นทอนกำลังใจของคุณเอง “แม้คุณจะลดน้ำหนักได้สำเร็จ คุณก็ไม่สามารถกลับไปเป็นเหมือนอย่างเมื่อก่อนได้” ที่สำคัญการเปรียบเทียบตัวคุณในวัย 50 กับสมัยวัยรุ่นคงไม่แฟร์กับตัวคุณในปัจจุบันสักเท่าไหร่ เพราะยังไงวัยรุ่นก็สามารถเผาผลาญแคลอรี่ได้เร็วกว่า และมันก็เป็นสมัยที่คุณยังไม่มีลูก ยังไม่มีปัญหาสุขภาพรุมเร้า และเป็นช่วงเวลาที่คุณมี “เวลาว่าง” ไปออกกำลังกายมากกว่าอีกต่างหาก เพราะฉะนั้น ลองหันมาโพสต์ภาพที่สื่อถึงสิ่งที่สามารถกระตุ้นหรือสร้างแรงบันดาลใจให้กับตัวคุณในวันนี้ได้แทนจะดีกว่า ตัวอย่างเช่น
    • ภาพที่ถ่ายเมื่อไม่นานมานี้ที่คุณคิดว่าคุณดูดี ไม่จำเป็นต้องเป็นภาพที่คุณดูผอมเพรียว ขอแค่เป็นภาพที่คุณดูมีความสุข ดูผ่อนคลาย หรือกำลังทำอะไรติงต๊องอยู่ก็ได้ ขอแค่เป็นสิ่งที่คุณภูมิใจ เป็นอะไรที่ทำให้คุณมีความสุขและยิ้มได้เมื่อได้มอง เพราะความรู้สึกดีๆ ที่เกิดขึ้นเมื่อมองไปยังตัวคุณเองจะทำให้คุณรู้สึกอยากดูแลตัวเองมากขึ้น
    • ภาพถ่ายสถานที่สุดโปรดกับกิจกรรมที่ได้ออกแรง อาจจะเป็นเกาะสุดโปรดที่คุณชอบโดดไปพายเรือคายัค ทะเลที่ชอบแวะไปว่ายน้ำบ่อยๆ หรือภาพถ่ายตอนคุณเข้าเส้นชัยในการแข่งวิ่ง
    • ภาพเพื่อนๆ ครอบครัว หรือคนที่คุณรัก เวลาที่มอง คุณจะได้บอกตัวเองว่าฉันจะต้องดูแลตัวเองเพื่อที่ฉันจะได้ดูแลและอยู่กับคนเหล่านี้ไปอีกนานๆ
    • คำคมสร้างแรงบันดาลใจ อาจจะเป็นคำกล่าวในไบเบิล ธรรมะจากพระไตรปิฎก คำพูดจากในหนัง หรือข้อความที่ใครสักคนเขียนให้ในหนังสือรุ่น ทุกแรงบันดาลใจสามารถขับเคลื่อนให้คุณก้าวต่อไปได้
  8. บางคนอาจกำลังพยายามไดเอทเพื่อให้ใส่เสื้อผ้าสวยๆ ได้ (ส่วนใหญ่มักจะเป็นชุดเดรสหรือกางเกงเอวบาง) ความจริงแล้วนี่ไม่ใช่เป้าหมายที่ดีสักเท่าไร เพราะการต้องลองสวมชุดเดิมซ้ำๆ อาจกลายเป็นการบั่นทอนกำลังใจของคุณเสียเอง อีกอย่าง แทนที่จะเลือกชุดที่ช่วยขับให้คุณดูดี สิ่งที่คุณกำลังทำตอนนี้คือคุณกำลังยัดเยียดให้เสื้อผ้าเป็นตัวตัดสินสิ่งที่คุณรู้สึกเกี่ยวกับตัวเอง และพาลทำให้คุณไม่ชอบรูปร่างของตัวเองในที่สุด และเมื่อไรที่คุณรู้สึกแย่กับรูปร่างของตัวเอง มันอาจจะทำให้คุณดูแลตัวเองไม่ดีเท่าที่ควร
    • หลายคนคิดว่าถ้าเราใส่ชุดที่ทำให้รู้สึกอึดอัดรัดติ้วอยู่ตลอด มันจะเป็นเครื่องเตือนให้เราไม่ออกนอกลู่นอกทางระหว่างที่กำลังไดเอท แต่นี่ถือเป็นความคิดที่ผิด เพราะความรู้สึกอึดอัดไม่ได้สร้างแรงบันดาลใจเสมอไป บ่อยครั้งสิ่งเหล่านี้กลับทำให้เรารู้สึกไม่มีความสุขและอับอายกับรูปร่างของตัวเอง และยิ่งท้อแท้กับความอ้วนของตัวเองมากเข้าไปอีก และความเศร้าเหล่านี้ก็มักจะทำให้คุณกลับไปกิน กิน แล้วก็กินมากกว่าเก่า จนไม่เหลือแรงใจจะไปออกกำลังกายอีกต่อไป ด้วยเหตุนี้ แทนที่เสื้อผ้าสวยๆ จะเป็นแรงบันดาลใจให้คุณอยากผอม มันจึงกลายเป็นต้นตอของความทุกข์เสียเอง
    • อีกหนึ่งความคิดผิดๆ คือการซื้อเสื้อผ้าขนาดที่พอดีกับน้ำหนักที่ตั้งใจจะลดให้ได้ แต่รู้หรือไม่ว่าความจริงแล้วขนาดเสื้อผ้ามันไม่ค่อยจะมีมาตรฐานสักเท่าไร (โดยเฉพาะเสื้อผ้าของคุณผู้หญิง) และวิธีการตัดเย็บก็มีผลต่อความพอดีและลุคที่ได้อยู่มากพอตัว อีกอย่าง ชุดเดรสเบอร์ S ที่เคยใส่สมัยม.ปลายก็ไม่น่าจะใช่เป้าหมายที่เข้าท่าสำหรับสาววัย 45 สักเท่าไหร่
    • อย่าคิดมากกับการต้องโละตู้เสื้อผ้าเพื่อ “ตั้งต้นใหม่” “แค่กำจัดชุดทั้งหมดที่ไม่พอดีและไม่ช่วยขับเน้นรูปร่างของคุณในตอนนี้” และออกไปหาซื้อชุด “เบอร์เล็กๆ” ที่คุณ “ตอนนี้” ใส่แล้วสวย ในระหว่างที่กำลังลดน้ำหนักอย่างสมเหตุสมผล คุณจะค่อยๆ รู้สึกดีกับตัวเองมากขึ้น แถมนี่ยังเป็นการดำเนินชีวิตตามคติอยู่กับปัจจุบัน ใช้ชีวิตในแต่ละวันให้ดีที่สุดอีกด้วย
  9. ป่าวประกาศให้ครอบครัว รูมเมท และผองเพื่อนรู้แผนการของคุณ. การสร้างความรับผิดชอบให้กับตัวเองถือเป็นหนึ่งกุญแจสำคัญที่จะทำให้แผนการสำเร็จลุล่วง เพราะเมื่อไหร่ที่รู้สึกว่าเรื่องราวของคุณจะไปถึงหูคนอื่นในไม่ช้า มันจะทำให้คุณพยายามตัดสินใจอย่างชาญฉลาดมากขึ้น ที่สำคัญ คนใกล้ตัวคุณสามารถให้กำลังใจและให้ความช่วยเหลือระหว่างทางได้อีกด้วย
    • อย่างไรก็ตาม คุณไม่จำเป็นต้องเผยจุดอ่อนให้เป็นเป้าโจมตีของทุกคนรอบตัว เพราะใครบางคนอาจไม่เหมาะจะมาข้องเกี่ยวกับแผนการลดน้ำหนักของคุณสักเท่าไหร่ ความจริงการเล่าแผนการให้ฟังเฉพาะคนที่คุณรู้สึกสบายใจก็ถือว่าใช้ได้แล้วล่ะ เพราะคนบางคนก็ไม่ถนัดให้กำลังใจสักเท่าไหร่ เอาแต่วิจารณ์ไม่ใส่ใจ หรืออาจไม่เหมาะที่จะล่วงรู้แผนการของคุณ
    • และก็เช่นเดียวกัน คุณอาจจะอยากให้แผนการของคุณรู้ถึงหูเฉพาะบางคนเท่านั้น ตัวอย่างเช่น คุณอาจจะโพสต์ภาพอาหารที่ทานระหว่างวันหรือการออกกำลังกายของคุณลงใน Facebook คล้ายๆ กับที่ทำในบล็อก แต่คุณคิดว่าเพื่อนใน Facebook จะอยากอัพเดตข่าวคราวมื้อเช้าที่คุณทานวันนี้กันทุกคนรึเปล่า หรือแน่ใจใช่ไหมว่าอยากให้เพื่อนที่ทำงานทุกคนรู้น้ำหนักของคุณ และถ้าคุณเกิดโดดคลาสเต้นซุมบ้า พี่สาวของคุณจะมาแสดงความคิดเห็นเชิงต่อว่า แทนที่จะให้คำแนะนำดีๆ รึเปล่า สรุปก็คือ บางครั้งการเปิดให้เห็นเฉพาะบางคนอาจจะเป็นความคิดที่ดีกว่า
    • เมื่อคนอื่นรู้แผนการลดน้ำหนักของคุณจะทำให้พวกเขาวางแผนปรับตัวได้ เช่น ถ้าคุณกำลังไดเอทและอยู่ในช่วงออกกำลังกาย คุณอาจจะชวนเพื่อนไปเที่ยวทะเลในวันหยุดที่คุณเกิดมีอารมณ์อยากเดินเล่นริมหาด แต่ไม่อยากเข้าไปเฉียดร้านขายไอศกรีม
  10. เข้าไปอ่านหนังสือ บล็อก หรือเรื่องราวความสำเร็จของคนอื่นๆ. การได้เห็นว่าคนอื่นอีกนับร้อยกำลังเดินอยู่บนเส้นทางเดียวกัน สามารถเพิ่มกำลังใจให้คุณได้อย่างล้มหลามเลยทีเดียว เรื่องบางเรื่องอาจโดนใจคุณแบบสุดๆ ที่สำคัญคุณอาจจะอยากเห็นว่าคนอื่นเขายังทำกันได้และก็ทำได้สำเร็จซะด้วย
    • เรื่องราวของผู้ที่ลดน้ำหนักได้สำเร็จสามารถหาอ่านได้ทุกที่ ลองอ่านเรื่องราวของสาวน้อยวัย 21 ที่ลดน้ำหนักได้ถึง 19 กิโลกรัม [3] หรืออีกหนึ่งสาวที่สามารถลด 30 กิโลได้ภายใน 4 เดือน [4] และสำหรับผู้เริ่มต้น ลองอ่านเรื่องราวของหนึ่งหนุ่มที่มาแชร์ประสบการณ์การลดน้ำหนักอย่างถูกวิธีให้เราได้อ่านกัน [5]
  11. มนุษย์เราได้วิวัฒนาการจนก้าวผ่านจุดที่ “เรา” สามารถฝึก “ตัวเราเอง” ได้แล้ว แต่ก็ยังไม่พัฒนาจนแก่กล้าพอที่จะทำให้เรา “ไม่” ถูกยั่วยุจากเล่ห์กลทางการค้า แต่ถ้าสามารถคิดค้นระบบให้รางวัลที่มีประสิทธิภาพขึ้นมาได้ สมองของคุณจะไม่หลุดพ้นกำมือของคุณอีกอย่างแน่นอน
    • บางคนอาจอยากลองคิดหาระบบให้คะแนนใหม่ๆ เช่น ให้คะแนนตัวเองทุกครั้งที่ตัดสินใจเลือกสิ่งที่ดีให้กับตัวเอง (อาจจะเป็นอาหารหรือการออกกำลังกาย) และเมื่อทำได้ครบ 100 คะแนน ลองให้รางวัลให้ตัวเองได้ทำอะไรที่อยากทำจริงๆ (อาจจะเป็นไปนวดสปาหรือเดินช้อปปิ้ง) แต่อย่าเผลอให้คะแนนกับการตัดสินใจที่ทำร้ายสุขภาพ อย่างการไป McDonalds หรือซื้อขนมที่มีน้ำตาลสูง! เพราะมันจะทำให้สิ่งที่คุณเพียรพยายามมาทั้งหมดสูญเปล่า [6]
    • บางคนอาจอยากลองให้เงินรางวัลกับความสำเร็จของตัวเอง เช่น หยอดเงินใส่กระปุกทุกครั้งที่คุณมีวันดีๆ และเงินจำนวนนี้จะเป็นรางวัลสำหรับซื้ออะไรก็ได้ที่คุณเล็งไว้
    • คุณไม่จำเป็นต้องรอจนกระทั่งแผนการเสร็จสมบูรณ์จึงจะให้รางวัลตัวเองได้! ลองตั้งเป้าหมายเล็กๆ ระหว่างทาง เช่น ระยะทางที่วิ่งได้ ปริมาณแคลอรี่ที่กำจัดได้ จำนวนน้ำหนักที่ลดลง หรืออาจจะเป็นจำนวนวันที่สามารถหักห้ามใจไม่นอกลู่นอกทาง เพราะการให้รางวัลอย่างต่อเนื่องจะทำให้คุณเห็นความคืบหน้าของตัวเองอยู่ตลอด
  12. การลงโทษอาจจะไม่น่าพิศมัย แต่ก็เป็นแรงจูงใจที่ดีได้เช่นเดียวกัน ตัวอย่างเช่น ถ้าทำไม่ได้ตามเป้าที่วางไว้ คุณจะต้องบริจาคเงินให้กับพรรคการเมืองที่คุณไม่ชอบ หรือให้เงินกับคนในครอบครัว หรือต้องทำงานบ้านที่แสนเกลียด
    • ฝากเงินจำนวนนั้นไว้กับเพื่อน (ถ้าคุณไม่เชื่อใจว่าตัวเองจะทำได้อย่างที่พูด) บอกเพื่อนไปเลยว่าถ้าคุณทำไม่ได้อย่างที่ตั้งเป้าไว้ ให้พวกเขาเอาเงินไปบริจาคให้กับองค์กรที่คุณไม่ชอบได้เลย เพื่อนตัวดีคงจะเต็มใจช่วยคุณอย่างแน่นอน!
  13. รู้หรือไม่ว่า ถ้าความคิดที่วนเวียนอยู่ในหัวของคุณเต็มไปด้วยคำว่า “ฉันอ้วนเกินไป ฉันคงลดไม่ได้แน่ๆ” คุณกำลังทำสิ่งที่จะทำให้คำทำนายของคุณกลายเป็นจริงขึ้นมา แต่เมื่อไหร่ที่หันมาคิดบวก คุณจะเริ่มเชื่อว่าคุณเองก็สามารถทำอะไรยากๆ ให้สำเร็จได้เหมือนกัน เพราะคุณรู้สึกดีกับตัวเองมากขึ้น คุณรู้ว่าคุณทำได้ และคุณก็ทำได้จริงๆ ซะด้วย
    • ถ้าการเปลี่ยนตัวเองเป็นคนมองโลกในแง่ดีมันยากเกินไป (ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติสุดๆ) ลองหาเวลาสัก 2-3 นาทีต่อวันเพื่อฝึกสิ่งนี้โดยเฉพาะ ในระหว่างนี้ ถ้าความคิดลบๆ เกิดแวบเข้าในหัว ให้หยุดและเริ่มใหม่ ลองคิดดูซิว่าคุณชอบอะไรในตัวเองบ้าง หรือคนอื่นบอกว่าเขาชอบอะไรในตัวคุณ หรือคุณทำอะไรเก่งบ้าง เมื่อฝึกไปนานๆ เข้า มันจะง่ายขึ้นและง่ายขึ้นเองตามธรรมชาติ เหมือนกับเรื่องอื่นๆ นั่นแหละ
    โฆษณา
วิธีการ 2
วิธีการ 2 ของ 3:

สร้างแรงบันดาลในการลดน้ำหนักและออกกำลังกาย

ดาวน์โหลดบทความ
  1. การเริ่มต้นกับเรื่องง่ายๆ มักจะดีกว่าการกดดันตัวเองด้วยเป้าหมายหนักๆ ทั้งที่ยังไม่พร้อม โดยเฉพาะเมื่อคุณไม่ได้ลงมือทำอะไรมาสักพักหรือเริ่มอายุมากแล้ว อีกอย่าง การตั้งเป้าหมายใหญ่ทั้งที่ร่างกายยังไม่พร้อม อาจลงเอยด้วยการทำให้ร่างกายบาดเจ็บหรือเกิดอุบัติเหตุจนคุณต้องพับแผนออกกำลังกายเก็บไป เพราะฉะนั้น จงทำเฉพาะสิ่งที่แน่ใจว่าสามารถทำได้เพื่อให้ร่างกายปรับตัวตามทัน
    • หากไม่ได้ออกกำลังมาสักระยะแล้ว ควรเริ่มจากอะไรเล็กๆ ดูก่อน ลองใช้เวลาสักสัปดาห์ประเมินความฟิตของตัวคุณเอง เมื่อพอจับทางได้แล้วว่าอะไรยากง่ายสำหรับคุณ ก็เริ่มออกสตาร์ทจากจุดนั้นได้เลย และควรอัพระดับความยากคราวละไม่เกิน 10% เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาตามมาทีหลัง
  2. ทำให้การลดน้ำหนักกลายเป็นเรื่องสนุกที่มีอะไรใหม่ๆ ให้ลองทุกครั้ง. เช่น คุณอาจจะวิ่งวันละ 5 กิโล สัปดาห์ละ 3 วันมาพักใหญ่แล้ว แต่อีกแค่ 5 กิโลที่อยากจะลดก็ยังไม่มีวี่แววจะโผล่มาซักที นี่อาจจะเป็นเพราะคุณและร่างกายของคุณเริ่มเบื่อกับกิจวัตรเดิมๆ แล้วก็ได้ ลองหันไปเล่นกีฬาหลายๆ ชนิดสลับกันไป หรือหาคลาสเรียนที่คุณสนใจ หรืออาจจะตั้งเป้าหมายใหม่ในการออกกำลังกาย
    • วิธีการลดน้ำหนักที่ดีที่สุดคือการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ “ร่วมกับ” การเล่นเวท [7] และถ้าคุณกำลังทำแค่อย่างใดอย่างหนึ่งล่ะก็ นี่อาจจะเป็นตัวการปัญหาของคุณก็ได้
    • ถ้าคุณเกลียดวิธีการออกกำลังกายที่ใช้อยู่ แสดงว่านั่นอาจไม่ใช่วิธีที่เหมาะสำหรับคุณ เช่น คุณเลือกที่จะวิ่งเพราะเห็นว่ามันเป็นวิธีการออกกำลังกายที่ดี ซึ่งก็จริง แต่ถ้าคุณเกลียดการวิ่ง ก็ไม่ต้องไปวิ่งหรอก เพราะถ้าคุณเกลียดสิ่งที่คุณทำ คุณจะทำมันได้ไม่ต่อเนื่อง เพราะฉะนั้นหันมาลงแรงลงเวลากับกิจกรรมที่ทำแล้วคุณรู้สึกดีจะดีกว่า เผลอๆ มันอาจจะกลายเป็นงานอดิเรกตลอดชีพของคุณไปเลยก็ได้
    • ปรับเปลี่ยนกิจวัตรที่ทำซ้ำๆ เดิมๆ! การปรับเปลี่ยนกิจวัตรทุกๆ 2-3 เดือน จะทำคุณให้คุณไม่รู้สึกเบื่อหน่าย แถมยังช่วยป้องกันไม่ให้ร่างกายได้รับความเสียหายจากการใช้ส่วนเดิมซ้ำๆ
    • นอกจากนี้ คุณยังสามารถปรับเปลี่ยนโปรแกรมให้เข้ากับฤดูกาล เช่น การออกไปวิ่งช่วงหน้าร้อนอาจจะทำได้สบายๆ แต่ถ้าเป็นหน้าฝนก็คงจะไม่ไหวนะ
  3. รู้หรือไม่ว่าการบอกตัวเองหรือคนอื่นว่าคุณ “ไม่กิน” อาหารบางอย่าง แทนที่จะบอกว่า “กินไม่ได้” ก็ช่วยเพิ่มเปอร์เซ็นที่คุณจะมุ่งมั่นทำปณิธาณให้สำเร็จได้แล้ว
    • และก็เช่นเดียวกัน คุณควรมองว่าการออกกำลังกายเป็นส่วนหนึ่งของกิจวัตรประจำวัน ไม่ใช่สิ่งที่คุณจำต้องปฏิบัติ
  4. ถ้าเอาแต่พุ่งเป้าไปที่น้ำหนักที่ลดได้ คุณอาจต้องรอพักใหญ่กว่าจะเห็นความสำเร็จสักระลอก เพราะฉะนั้น ลองเปลี่ยนเป้าเป็นตัวเลขที่คุณสามารถเห็นพัฒนาการได้ในทุกๆ วัน เช่น หลังจากเดินไปได้แค่อาทิตย์เดียว คุณคงเก็บก้าวได้เป็น “หมื่นๆ” ก้าวแล้ว ช่างเป็นตัวเลขที่ฟังดูยิ่งใหญ่สุดๆ ไปเลยว่าไหม!
    • เวลาแบบนี้แหละที่คุณสามารถใช้บล็อกให้เป็นประโยชน์ ลองเขียนตัวเลขทั้งหมดลงไปในบล็อก เมื่อทำไปได้ไม่นาน คุณจะเริ่มเสพติดความรู้สึกหลังจากได้เห็นตัวเลข และอยากจะเห็นตัวเลขกองพะเนินเป็นภูเขาไวๆ ลองคิดดูสิว่าคุณจะรู้สึกดีขนาดไหนเมื่อเห็นว่าตัวเองวิ่งมาแล้วตั้ง 25 กิโลเมตร ลดได้ตั้ง 4,500 แคลอรี่ และนับรวมๆ กันแล้วได้ตั้ง 30,000 ก้าว! [8]
    • ไม่รู้จะนับก้าวยังไงใช่ไหม ง่ายนิดเดียว หาซื้อเครื่องนับก้าวเลย
  5. ถ้าตลอดทางไปซูเปอร์มาร์เก็ตคุณต้องคอยหลบสายตาไม่ให้ป๊ะเข้ากับมุมขายไอศกรีม นั่นหมายความว่าคุณอาจกำลังก่อหายนะให้กับตัวเอง เพราะวันนั้นคงจะมาถึงในไม่ช้า วันที่คุณไม่สนใจเสียงเตือนของนางฟ้า ทิ้งคุณครูกาละแมร์ และตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่ากูลิโกะจะเป็นเพื่อนเลิฟคนใหม่ของคุณ วิธีการที่จะทำให้วันนั้นไม่ผุดขึ้นมา คืออย่ากดดันตัวเองมากเกินไป ให้ตัวเองได้หายใจหายคอบ้างเป็นครั้งคราว
    • อย่าพูดกับตัวเองว่า “ฉันกินไอ้นั่นไม่ได้ ฉันกำลังไดเอทอยู่” เพราะมันจะทำให้คุณรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังอดอยาก ลองเปลี่ยนเป็นทานแค่ ¼ ของที่ทานเป็นประจำ แต่อาศัยทานช้าๆ และพักดื่มน้ำเป็นระยะๆ เพราะโดยธรรมชาติแล้ว การดื่มน้ำมากขึ้นและทานช้าลงจะช่วยลดความอยากอาหารของเราได้
    • รู้หรือไม่ว่า สีน้ำเงิน/ฟ้าเป็นยาระงับความอยากอาหารชั้นดี [9] ถ้าอยากลองใช้กลโกงจิตใจ ลองตักอาหารใส่จานสีน้ำเงินดูสิ
  6. การลดน้ำหนักเป็นสิ่งที่ทำให้คุณรู้สึกหงุดหงิดได้ง่ายๆ เพราะมันไม่เคย! ไม่เคยเลยที่จะลดได้ง่ายและเร็วทันใจคุณสักที คุณอาจรู้สึกว่าตัวเองทุ่มสุดใจให้เกินร้อยไปแล้วในช่วง 2 สัปดาห์สุดท้าย แต่พอขึ้นตาชั่งเท่านั้นแหละ คุณกลับพบว่าน้ำหนักเจ้ากรรมดันลดไปแค่ครึ่งกิโล เราทุกคนล้วนเคยผ่านจุดๆ นั้นมาแล้ว และเข้าใจดีว่ามันแย่ขนาดไหน การปล่อยให้ความคิดลบๆ ประเดประดังเข้ามาอาจจะเป็นเรื่องง่าย แต่ห้าม! ห้ามยอมจำนนต่อความคิดชั่วร้ายพวกนั้นเป็นอันขาด เพราะพวกมันคือตัวการดูดความตั้งใจของคุณ
    • หันมาสนใจพัฒนาการของคุณแทนดีกว่า บล็อกที่คุณเฝ้าทำมาตั้งนานก็สวยดีนะ แถมยังเป็นเครื่องพิสูจน์ได้ว่าคุณมาถูกทางแล้ว ลองย้อนกลับไปอ่านบทความเก่าๆ ดูสถิติที่คุณเคยทำไว้ และเก็บความกังวลใจไว้ทีหลัง เพราะตอนนี้เป็นเวลาของการตัดสินใจอย่างถูกต้องเท่านั้น
  7. หลายๆ คนชอบอ้างว่า “ก็ฉันไม่มีเวลา” หรือ “การออกกำลังกายมันน่าเบื่อเกิน!” แต่นแตนแต๊น.. ข่าวสั้นวันนี้มีว่า “การออกกำลังกายหลักสูตรเข้มข้นแบบช้าสลับเร็วสามารถทำได้ภายในไม่กี่นาที แถมยังเผาผลาญแคลอรี่ได้ท่วมท้น” เพราะฉะนั้น ข้ออ้างของคุณก็เป็นอันตกไป
    • สิ่งที่คุณต้องทำก็แค่ออกกำลังกายอย่างหนักเป็นระยะเวลาสั้นๆ ในช่วงพัก ความจริงการบอกว่าวิธีนี้จะทำให้คุณเผาผลาญแคลอรี่ได้นั้นออกจะฟังดูน้อยไปหน่อย เพราะอันที่จริงในเชิงปฏิบัติ มันจะทำให้แคลอรี่หายวับโดยที่คุณไม่ทันตั้งตัวเลยทีเดียว [10] คุณจะใช้เครื่องมืออะไรก็ได้ แต่ตัวอย่างง่ายๆ คือการใช้ลู่วิ่งไฟฟ้า โดยวิธีการคือ เริ่มจากการเดินประมาณ 2-3 นาที ต่อด้วยการเร่งสปีดจนถึง 90% ของอัตราการเต้นของหัวใจประมาณ 30 วินาที แล้วกลับมาเดินเหมือนเดิมอีก 1 นาที ปิดท้ายด้วยการกลับไปเร่งสปีดสุดแรงเกิดอีก 30 วินาที [11] ทำอย่างนี้สัก 8-10 รอบ จากนั้นน่ะเหรอ? ไม่มีอะไรแล้ว “แค่นี่แหละ”
    • ก่อนที่จะทดลองใช้วิธีนี้ ถ้าคุณกังวลเกี่ยวกับปัญหาสุขภาพ ถึงจะแค่นิดเดียวก็ควรปรึกษาแพทย์ก่อน และวิธีการนี้ไม่เหมาะสำหรับคนใจไม่สู้นะ อย่าหาว่าไม่เตือน
  8. การเริ่มต้นวิ่ง ไปฟิตเนส หรือการเข้าคลาสจะง่ายขึ้นอีกแยะถ้าคุณมีของใหม่ๆ ให้ได้ลอง คุณอาจจะหารองเท้าเทนนิสคู่ใหม่ หูฟังอันใหม่ หรืออาจจะแค่ชุดออกกำลังกายใหม่ๆ อะไรก็ได้ที่จะช่วยเติมรสชาติให้กับการออกกำลังกายของคุณ!
    โฆษณา
วิธีการ 3
วิธีการ 3 ของ 3:

ทำให้เป็นกิจวัตร

ดาวน์โหลดบทความ
  1. จำเกณฑ์การให้รางวัลที่เราพูดไปก่อนหน้านี้ได้ใช่ไหม โอเค.. งั้นก็จับมันมาใช้ได้เลย โดยจะใช้สักกี่ครั้งก็ได้ตามที่ใจปรารถนา เพราะไม่มีใครบอกว่าคุณจะให้รางวัลตัวเองได้ก็ต่อเมื่อทำเป้าหมายใหญ่ๆ ได้สำเร็จนี่จริงไหม แล้วเป้าหมายเล็กๆ ล่ะ? เรามาตั้งรางวัลเล็กๆ ให้กับเป้าหมายเล็กๆ ของเราหน่อยเป็นไร
    • โกงให้อยู่ในขอบเขต คุณสามารถให้รางวัลตัวเองได้ทานอะไรตามใจปากบ้างนานๆ ครั้ง เพราะถ้าไม่ยอมอะลุ่มอล่วยบ้าง สุดท้ายคุณอาจจะรู้สึกเหมือนโกโก้ปั่นราดวิปครีมหรือขนมเลย์สัก 4-5 ชิ้นเป็นสิ่งเดียวในโลกที่คุณโหยหา เพราะฉะนั้น คุณอาจจะอนุญาตให้ตัวเองตามใจปากได้เมื่อวิ่งครบตามเป้าหนึ่งๆ ขอแค่อย่าทำให้มันทุกวันแค่นั้นพอ!
  2. เมื่อร่างกายเริ่มกระฉับกระเฉงมากกว่าแต่ก่อนมากแล้ว คงถึงเวลาที่คุณต้องผ่อนคลายในเวลาที่พอเหมาะ หาเวลาเล็กๆ ในวันของคุณ อาบน้ำฝักบัวให้นานสมใจ หรืออาจจะปลีกตัวไปงีบเติมพลังงานก็ได้ เพราะคุณคู่ควรที่จะได้รับมัน
  3. เมื่อไหร่ที่รู้สึกว่าการขุดตัวเองไปออกกำลังกายเริ่มจะยากเย็นขึ้นทุกที ภาพถ่ายเหล่านี้จะช่วยเตือนให้คุณจำได้ว่าคุณสู้อุตส่าห์มาไกลขนาดไหน เพราะฉะนั้น อย่าลืมถ่ายภาพตัวคุณในวันแรก และทุกๆ สัปดาห์ต่อไป มาดูกันซิว่าหุ่นของคุณเปลี่ยนแปลงไปยังไงบ้าง
    • เมื่อเริ่มสังเกตเห็นพัฒนาการที่ชัดเจนแล้ว คุณอาจจะลองแปะภาพเหล่านี้ไว้ในห้องหรือทั่วบ้าน เพื่อให้จำได้ขึ้นใจว่าคุณมาไกลขนาดไหน แล้วจะมาทำลายเอาง่ายๆ ตอนนี้เนี๊ยนะ!
  4. อย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้ว่าเราควรออกกำลังกายให้หลากหลายเข้าไว้ ในเชิงเดียวกัน เมื่อไหร่ที่คุณเริ่มกลายเป็นมือโปรรุ่นใหญ่ในการใช้ชีวิตสายเฮลตี้ ลองสร้างนิสัยใหม่ๆ ดีๆ ให้กับชีวิตหน่อยเป็นไร อาจจะทดลองเป็นชาวมังสวิรัติ ทานวิตามิน หรือหากิจวัตรกลางแจ้งทำสักอาทิตย์ คุณในเวอร์ชันใหม่จะชอบทำอะไรกันนะ?
    • หัดจับตะหลิวทำอาหาร (ถ้าไม่ได้ทำเป็นประจำอยู่แล้ว) การควบคุมได้ว่าอะไรจะตกถึงท้องคุณบ้างคงจะสนุกสุดๆ ไปเลยว่าไหม นอกจากจะทำให้ชีวิตของเพื่อนๆ และคนในครอบครัวดีขึ้นได้แล้ว คุณยังได้ฝึกปรือทักษะใหม่ แถมยังทำให้การทานอาหารเพื่อสุขภาพง่ายขึ้นอีกแยะ
  5. ความจริงหัวข้อนี้ควรจะอยู่ด้านบนๆ ของหน้านี้ รู้ไว้เลยว่าคุณ “จะพบเจอกับความล้มเหลวซ้ำๆ” อย่างแน่นอน มันเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้และเกิดกับ “ทุกคน” สิ่งเดียวที่คุณทำได้คือต้องลุกขึ้นมาอีกครั้ง ถ้าคุณพลาดการออกกำลังกายไป 1 วัน การจะไปให้ถึงจุดเดิมอีกครั้งจะยากยิ่งกว่าเก่าถ้าคุณพลาดอีกเป็นวันที่ 2
    • การมุ่งมั่นทำให้ได้ถึงจุดๆ หนึ่งนั้นยากกว่าการยอมถอยหลังหลายเท่า การไม่ไปออกกำลังกายแค่ 1 สัปดาห์อาจทำให้คุณถอยหลังกลับไปสู่จุดที่คุณอยู่เมื่อ “2 สัปดาห์” ที่แล้ว เมื่อไรที่อารมณ์อยากนอนกลิ้งบนเตียงไปทั้งเช้ามารบกวนหัวใจ ให้นึกถึงสิ่งนี้เข้าไว้ ว่าผลที่ตามมาจะเป็นยังไงในอีก 2-3 วันข้างหน้า
  6. แน่นอนว่าคงต้องเขียนกันยาว อันที่จริงคุณไม่จำเป็นต้องลงทุนจรดปากกาลงบนสมุด แค่เขียนลงในหัวข้อหนึ่งบนบล็อกของคุณก็ถือว่าใช้ได้แล้ว เพียงแต่ต้องไม่ลืมเก็บส่วนหนึ่งของบันทึกไว้สำหรับเรื่องราวเจ๋งๆ ที่คุณกำลังทำ เพราะมันจะทำให้คุณรู้สึกดีสุดๆ ที่ได้ใส่เรื่องราวเหล่านั้นลงไป
    • เมื่อไหร่ที่รู้สึกว่าวันนี้ไม่เห็นมีอะไรสำเร็จเลยสักอย่าง ลองย้อนถึงสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น เช่น วันนี้มีอะไรมายั่วใจจนคุณเกือบไขว้เขวแต่สุดท้ายก็หลุดพ้นมาจนได้ และนอกจากสิ่งที่คุณทำ ให้ลองคิดถึงสิ่งที่คุณไม่ได้ทำด้วยเช่นกัน
  7. บัวขาวยังมีเพลงประจำตัวได้ (พอจะนึกกันออกใช่ไหม) แล้วทำไมคุณจะมีบ้างไม่ได้ล่ะ เพราะทุกคนคงต้องมีอะไรสักอย่างเป็นสัญญาณบอกว่าได้เวลาขึ้นสังเวียน แล้วคุณล่ะ.. เพลงประจำตัวของคุณคือเพลงอะไร?
    • เจียดเวลาหาเพลงสัก 15 เพลงที่จะปลุกความฮึกเหิมในตัวคุณได้ การมีรายการเพลงที่ช่วยกระตุ้นคุณได้ในไม่กี่วินาทีนับเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับเส้นทางการฝึกของคุณ
  8. เวลานี้มาถึงแล้ว! กางเกงพวกนั้นกำลังจ่อรอที่ประตู วันที่คุณลดน้ำหนักตามเป้าหมายได้สำเร็จ วันที่เสื้อผ้าตัวเก่าไม่จำเป็นสำหรับคุณอีกต่อไป ได้เวลาบริจาคเสื้อผ้าด้วยจิตใจเมตตาและอหังการ์ในความสำเร็จแล้ว ยินดีด้วย!
    • คุณสามารถบริจาคเสื้อผ้าให้กับองค์กรที่เหมาะสม นอกจากนี้ ลองคิดดูสิว่าคุณจะสละเวลาไปให้ความรู้กับคนอื่นๆ ได้บ้างรึเปล่า คุณน่าจะรู้จักคนอย่างน้อย 5-6 คน ที่กำลังเผชิญกับเรื่องราวเหมือนๆ กัน ลองคิดดูว่าคุณจะช่วยพวกเขาได้อย่างไรบ้าง
    โฆษณา

เคล็ดลับ

  • น้ำถือเป็นสิ่งสำคัญมาก อย่าลืมดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว
  • อย่าลืมยึดหลักความเป็นจริง ถ้าคุณมีเพื่อนที่ผอมผิดแผกจากคนทั่วไปและเกิดอยากผมให้ได้อย่างนั้นบ้าง จงลืมมันซะเถอะ! หันไปหาแรงบันดาลใจใหม่เป็นใครสักคนที่มีโครงร่างคล้ายๆ กันและดูหุ่นดี วิธีการนี้ช่วยได้เยอะเลยล่ะขอบอก
  • คิดบนฐานของความเป็นจริงเข้าไว้ ความงามนั้นขึ้นอยู่กับสายตาผู้มอง มาตรฐานความงามไม่มีอยู่จริงบนโลกใบนี้ และการเป็นคนสวยก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้องมีตัวเลขน้อยๆ แปะติดหุ่น
  • อย่าท้อ! เมื่อไหร่ที่รู้สึกท้อแท้ ลองระบายเรื่องที่คุณกำลังเผชิญให้เพื่อนสนิทฟัง พวกเขาจะรับฟังและพยายามหาวิธีช่วย จงอย่าอายที่จะเล่าเรื่องเหล่านี้ให้คนที่คุณรักฟัง เพราะพวกเขาก็รักคุณเหมือนกัน!
  • หาเพื่อนไปช้อปปิ้งสักคน คนที่จะไม่ยอมให้คุณซื้ออะไรที่ไม่ดีต่อสุขภาพ หรือโทรหาใครสักคนที่ทำให้คุณไม่อยากทานเค้กอีกเป็นชิ้นที่ 3
  • อย่าเริ่มต้นด้วยการทานอาหารเสริมลดน้ำหนัก จงออกสตาร์ทด้วยการออกกำลังกายและวางแผนการลดน้ำหนักอย่างสุขภาพดี แน่นอนว่ามันอาจต้องใช้เวลา 2-3 เดือน แต่คุณจะลดได้แบบถาวร เชื่อได้เลย
  • พยายามทานข้าวที่บ้านให้บ่อยขึ้น เพราะคุณไม่รู้ว่าพ่อครัวแม่ครัวที่ร้านใส่อะไรลงไปในอาหารของคุณบ้าง แต่ที่บ้านคุณจะรู้ได้แบบเป๊ะๆ เลยว่ามีอะไรลงไปในเมนูของคุณบ้าง
โฆษณา

คำเตือน

  • อย่าอัดของหวานเข้าปากเมื่อรู้สึกเศร้าหรือหมดแรงใจ! จงเข้มแข็งเข้าไว้ อารมณ์เหล่านั้นจะผ่านพ้นไปในที่สุด
  • หากมีปัญหาสุขภาพ ไม่ว่าจะเกี่ยวกับอะไร ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ ก่อนที่เริ่มปรับเปลี่ยนอาหารหรือวิธีการออกกำลังกายแบบฉับพลัน


โฆษณา

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 22,043 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา