ดาวน์โหลดบทความ
ดาวน์โหลดบทความ
เครื่องหมายอะพอสทรอฟี (apostrophe) นั้นจะถูกใช้ด้วยสองเหตุผล: เพื่อแสดงว่าตัวอักษรที่อยู่ในตำแหน่งนั้นหายไป และเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ กฎการใช้อะพอสทรอฟีนั้นแตกต่างกันไปตามประเภทของคำ อะพอสทรอฟีจะช่วยให้การเขียนของคุณชัดเจนและกระชับ
ขั้นตอน
-
ใช้เครื่องหมายอะพอสทรอฟีเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของกับคำนามเฉพาะ. เครื่องหมายอะพอสทรอฟีที่มี "s" ตามหลังคำนามเฉพาะบ่งชี้ว่าบุคคล สถานที่ หรือวัตถุเป็นเจ้าของของคำนามอะไรก็ตามที่ตามหลังชื่อของเขา เช่น "Mary's lemons" เรารู้ว่าเลมอนเป็นของแมรี่เพราะมี ' s ตัวอย่างอื่นก็เช่น "China's foreign policy" และ "the orchestra's conductor"
- ความเป็นเจ้าของสำหรับคำนามเฉพาะบางตัวอาจออกมาพิกลได้ อย่าง "Sunday's football game" จริงๆ แล้วถือว่าไม่ถูกต้องเสียทีเดียว (เพราะวันอาทิตย์ไม่อาจแสดงความเป็นเจ้าของได้) แต่ก็เป็นที่ยอมรับทั้งในภาษาพูดและภาษาเขียน ส่วน "A hard day's work" ก็ถูกต้องสมบูรณ์แบบเช่นกัน ทั้งๆ ที่วันไม่สามารถแสดงความเป็นเจ้าของได้
-
มีความต่อเนื่องเวลาใช้อะพอสทรอฟีหลังคำที่ลงท้ายด้วย "s. " เวลาที่ชื่อของใครสักคนลงท้ายด้วยตัว "s" เป็นที่ยอมรับกันว่าสามารถใช้อะพอสทรอฟีโดยไม่ต้องมี "s" เพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ แต่นักสัทศาสตร์ที่ใช้รูปแบบของสำนักชิคาโกยังเลือกที่จะเติม "s" หลังเครื่องหมายอะพอสทรอฟี [1] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง [2] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- โปรดสังเกตความแตกต่างในวิธีการใช้:
- ยอมรับได้ : Jones' house; Francis' window; Enders' family
- แบบที่ถูกต้องกว่า : Jones's house; Francis's window; Enders's family
- ไม่ว่าคุณจะเลือกเขียนแบบไหน ให้เขียนแบบนั้นตลอด ไม่สำคัญว่าคุณจะเลือกแบบอะไร ตราบเท่าที่คุณใช้มันคงเส้นคงวา
- โปรดสังเกตความแตกต่างในวิธีการใช้:
-
อย่าใช้อะพอสทรอฟีเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของเวลาใช้ "it". "China's foreign policy" นั้นถูกต้อง แต่สมมติว่าคนอ่านทราบแล้วว่าคุณกำลังพูดถึงประเทศจีน และคุณเริ่มจะใช้สรรพนามแทนที่ประเทศนั้นด้วยคำว่า "it" หากคุณกำลังอ้างอิงสิ่งที่เป็นกรรมสิทธิ์ของจีนทำนองนี้ ให้ใช้ว่า "its foreign policy"
- เหตุผลสำหรับเรื่องนี้ก็คือเพื่อหลีกเลี่ยงความสับสนระหว่าง "its" ที่ใช้แสดงความเป็นกรรมสิทธิ์ กับ "it's" เวลาใช้เป็นคำกร่อนของ "it is" หากคุณไม่แน่ใจว่าเมื่อไหร่จะต้องใช้อะพอสทรอฟี ลองพูดประโยคนั้นด้วยคำ "it is" หรือ "it has" ถ้าฟังดูแล้วไม่เข้าที (แบบ "it is foreign policy" ไม่สามารถใช้แทนที่ "China's foreign policy"), งั้นก็ตัดอะพอสทรอฟีทิ้งได้เลย
-
ใช้อะพอสทรอฟีเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของโดยคำนามพหูพจน์. ความผิดพลาดอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นบ่อยเวลาใช้อะพอสทรอฟีสำหรับกลุ่มที่เป็นพหูพจน์ก็คือ เวลาที่ผู้คนต้องการพูดถึงสิ่งที่เป็นกรรมสิทธิ์ของครอบครัว เช่น สมมติว่าครอบครัวสมาร์ทที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเป็นเจ้าของเรือลำหนึ่ง เรือลำนั้นจะใช้ว่า "the Smarts' boat" ไม่ใช่ "the Smart's boat" เพราะคุณกำลังพูดถึงสมาชิกทุกคนในครอบครัวสมาร์ท คุณจึงเริ่มด้วยการใช้คำว่า "Smarts" เนื่องจากสมาชิกของครอบครัวสมาร์ททุกคน (ตีว่าอย่างนั้น) เป็นเจ้าของเรือร่วมกัน คุณจึงเติมอะพอสทรอฟีตามหลัง "s"
- หากนามสกุลของครอบครัวนั้นลงท้ายด้วย "s," ให้ทำมันเป็นพหูพจน์ก่อนเติมอะพอสทรอฟี เช่น หากคุณต้องการพูดถึงครอบครัววิลเลี่ยมส์ พวกเขาจะกลายเป็น "the Williamses" ในรูปแบบพหูพจน์ เวลาจะอ้างถึงสุนัขของพวกเขา คุณจึงใช้ว่า "the Williamses' dog" แต่ถ้าเกิดนามสกุลแปรเป็นพหูพจน์แล้วดูพิลึกกึกกือ ให้เลี่ยงประเด็นโดยการใช้ว่า "the Williams family" และ "the Williams family's dog"
- หากคุณต้องการแจกแจงว่าใครเป็นเจ้าของสิ่งนั้นบ้าง ให้รู้ว่าต้องใส่อะพอสทรอฟีตรงไหน เช่น ถ้าทั้งจอห์นกับแมรี่เป็นเจ้าของแมวตัวหนึ่ง คุณจะเขียนว่า "John and Mary's cat" — ไม่ใช่ "John's and Mary's cat" "John and Mary" ถือเป็นนามวลีร่วม ดังนั้นจึงต้องใช้อะพอสทรอฟีตัวเดียว
โฆษณา
-
โดยทั่วไป อย่าใช้อะพอสทรอฟีเพื่อแสดงความเป็นพหูพจน์. การใช้คำอะพอสทรอฟีเป็นคำพหูพจน์ผิดๆ นั้นเรียกกันว่า อะพอสทรอฟีของเจ้าของร้านของชำ (greengrocer's apostrophe) เนื่องจากพ่อค้าของชำมักเป็นพวกที่ใช้ผิดมากที่สุด (หรืออย่างน้อยก็เห็นได้บ่อยที่สุด) [3] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง ถ้าคุณมีแอปเปิลมากกว่าหนึ่งผล ให้เขียนว่า apples , ไม่ใช่ apple's
- มีข้อยกเว้นสำหรับการใช้แบบนี้คือในกรณีที่จะทำให้อักษรตัวเดียวเป็นพหูพจน์ ดังนั้นหากจะถามว่าทำไมถึงมีตัว i หลายตัวในคำว่า "indivisibility" คุณจะต้องใช้ว่า Why are there so many i's in the word "indivisibility"? ประโยคนี้ถูกต้อง ขึ้นอยู่กับว่าคุณถามใคร [4] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง ทั้งนี้ก็ด้วยเหตุผลของความกระจ่างชัดเจน เพื่อคนอ่านจะได้ไม่หลงนึกว่ามันคือคำว่า "is" อย่างไรก็ดี ในการใช้แบบสมัยใหม่นั้น ที่นิยมเลือกใช้จะเป็นการหลีกเลี่ยงการเติมอะพอสทรอฟี แล้วหันไปใส่เครื่องหมายอัญประกาศรอบตัวอักษรเดี่ยวตัวนั้นก่อนจะทำให้มันเป็นพหูพจน์แทน: Why are there so many "i"s in the word "indivisibility"?
- หลีกเลี่ยงปัญหาของจำนวนตัวเลขน้อยๆ ไปด้วยกันโดยการใช้สะกดเป็นคำแทน: "ones" แทนที่ "1's," "fours" แทนที่ "4's" หรือ "nines" แทนที่ "9's" ใช้สะกดคำแทนตัวเลขในจำนวนที่ต่ำกว่าสิบลงมา
-
รู้ว่าจะต้องใช้อะพอสทรอฟีสำหรับคำย่อและปีอย่างไร. สมมติว่าคุณใช้อักษรย่อแทนคำนามอย่างเช่น CD การจะทำ CD ให้เป็นพหูพจน์นั้น ใช้ "CDs," ไม่ใช่ CD's" ตรรกะแบบเดียวกันครอบคลุมถึงการใช้ปี แทนที่จะเขียนว่า "Spandex was popular in the 1980's," ให้ใช้ "1980s"
- เวลาเดียวที่อะพอสทรอฟีสมควรใช้ในปีหนึ่งเดียวคือเมื่อมันถูกใช้แทนตัวเลขที่ข้ามไป เช่น หากคุณต้องการจะเขียนย่อปี 2005 ให้สั้นลง คุณต้องเขียนว่า '05 ในกรณีนี้ อะพอสทรอฟีจะทำหน้าที่เหมือนเป็นตัวแทนที่การย่อคำและใช้เป็นการเขียนลัด
โฆษณา
-
ใช้อะพอสทรอฟีในการย่อคำ. บางครั้งอะพอสทรอฟีจะใช้เพื่อแสดงตัวอักษรที่หายไปหนึ่งตัวหรือมากกว่านั้น โดยเฉพาะในการเขียนแบบไม่เป็นทางการ เช่น คำว่า "don't" เป็นคำย่อของ "do not"; ตัวอย่างอื่นๆ ก็อาทิเช่น "isn't," "wouldn't," และ "can't" การย่อคำยังใช้ได้กับคำกริยา "is," "has," และ "have" เช่น เราสามารถเขียนว่า "She's going to school" แทนที่จะเป็น "She is going to school"; หรือ "He's lost the game" แทนที่ "He has lost the game"
-
พึงตระหนักในกับดักของ its/it's. ใช้อะพอสทรอฟีกับคำว่า "it" เพียงเมื่อคุณต้องการย่อแทนคำว่า "it is" หรือ "it has ความที่ It นั้นเป็นคำสรรพนาม และคำสรรพนามก็มีรูปแบบการแสดงความเป็นเจ้าของที่ไม่ต้องใช้อะพอสทรอฟี เช่น "That noise? It's just the dog eating its bone" มันอาจจะดูชวนสับสน แต่มันก็ดำเนินรอยตามรูปแบบเดิมเหมือนกับการแสดงความเป็นเจ้าของของคำสรรพนามอื่นๆ: his, hers, its, yours, ours, theirs
-
หลีกเลี่ยงการย่อคำที่ไม่มีอยู่จริง. หลายๆ คนใช้การย่อคำอย่างไม่เป็นทางการ อย่างเช่น "shouldn't've" หรือ "'ought" คำย่อเหล่านี้ไม่ใช่คำย่อที่ถูกต้องแท้จริง จึงสมควรเลี่ยงที่จะใช้มันในงานเขียนอย่างเป็นทางการ อีกข้อผิดพลาดที่ควรหลีกเลี่ยงคือการใช้ชื่อคนในคำย่อ เช่น ถ้าคุณใช้ "Bob's" ในฐานะคำย่อของ "Bob is" อย่างนี้ไม่ถูกต้อง คำว่า "Bob's" นั้นควรจะต้องเป็นการแสดงความเป็นเจ้าของ ไม่ใช่คำย่อ ส่วนการย่อโดยใช้คำสรรพนามนั้นไม่ผิดอะไร เช่น "he's" หรือ "she's"โฆษณา
เคล็ดลับ
- หากเกิดไม่แน่ใจ จำไว้เสมอว่าอะพอสทรอฟีมักใช้ในคำนามเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ หลีกเลี่ยงการใช้อะพอสทรอฟีในเรื่องอื่น
- สำหรับชื่อเดี่ยวๆ ที่ลงท้ายด้วย "s," รูปแบบการเขียนแบบชิคาโกจะเติม "s" หลังอะพอสทรอฟี อย่างเช่นใน "Charles's bike" หากงานเขียนของคุณต้องการให้คุณยึดหลักการเขียนแบบใดแบบหนึ่ง ก็ทำตาม ทั้งสองรูปแบบล้วนได้รับการยอมรับ เพียงแต่ให้เลือกใช้แบบเดียวตลอดทั้งชิ้นงาน
- The Elements of Style โดย Strunk กับ White เป็นคู่มือแนะนำการเขียนและการใช้เครื่องหมายวรรคตอนที่กะทัดรัด หามาติดมือไว้สักเล่มเวลาเขียนและใช้อ้างอิงเวลาเกิดไม่แน่ใจ
โฆษณา
คำเตือน
- เวลาที่คำลงท้ายด้วย "y," อย่างเช่นใน "try," ให้ระมัดระวังเวลาเปลี่ยนรูปคำกริยา เช่น "try" ไม่ได้กลายเป็น "try's" แต่ต้องใช้ว่า " Tries " ถึงจะถูก
- การโยนทุกอย่างไปใส่อะพอสทรอฟีแสดงให้เห็นว่าคนเขียนไม่ได้เข้าใจกฎของการแสดงความเป็นเจ้าของ กฎการย่อคำ และคำพหูพจน์ ถ้าไม่แน่ใจ ให้เลือกด้านการไม่ใส่อะพอสทรอฟีดีกว่า
- อย่าใช้อะพอสทรอฟีหรือเครื่องหมายอัญประกาศสำหรับการเน้นคำ เช่น บนป้ายโฆษณาที่บอกว่า: Joe Schmo, the "best" realtor in town! มันทำให้คำว่า "best" ดูมีน้ำเสียงประชดประชันและไม่เป็นจริง แทนที่จะเป็นการเน้นมันขึ้นมา
- อย่าใส่อะพอสทรอฟีภายในชื่อของคุณบนซองที่อยู่ส่งกลับ หากนามสกุลของคุณคือ "Greenwood," ใช้คำว่า " The Greenwoods " ถูกต้อง ในขณะที่ " the Greenwood's " นั้นผิด เพราะ "The Greenwoods" แสดงที่พำนักอาศัยของคนมากกว่าหนึ่งคนที่ใช้นามสกุลกรีนวูด ไม่ใช่แสดงความเป็นเจ้าของ
- อย่าใช้คำว่า "Her's" โดยเด็ดขาด Her's ไม่ใช่คำ เหมือนที่คุณจะไม่ใช้คำว่า "him's" จำไว้ว่าคำสรรพนามที่แสดงความเป็นเจ้าของไม่จำเป็นต้องมีอะพอสทรอฟี: his, hers, its, yours, ours, theirs
โฆษณา
ข้อมูลอ้างอิง
- ↑ http://www.chicagomanualofstyle.org/qanda/data/faq/topics/PossessivesandAttributives.html?old=PossessivesandAttributives01.html
- ↑ http://www.bartleby.com/141/strunk.html# 1
- ↑ http://www.wordspy.com/words/greengrocersapostrophe.asp
- ↑ http://www.english-test.net/forum/ftopic14784.html
- The Elements of Style on bartleby.com
โฆษณา