ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

การประสบกับความเครียดในระดับหนึ่งเป็นประจำถือเป็นเรื่องปกติและอาจจะมีประโยชน์กับตัวคุณด้วยซ้ำ ความเครียดที่รู้จักกันดีในนามของ “ปฏิกิริยาสู้หรือหนี” ช่วยให้เราพ้นจากอันตราย แต่ความเครียดที่มากเกินไปอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพและอาจจะส่งผลกระทบด้านลบต่อด้านอื่นๆ ของชีวิต [1] หาสิ่งที่ช่วยลดระดับความเครียดและเรียนรู้วิธีที่จะรับมือในสิ่งที่คุณควบคุมได้ การผสมผสานความเข้าใจที่ว่านี้เข้ากับวิถีชีวิตที่ดีต่อสุขภาพที่ทำให้คุณมีโอกาสได้ผ่อนคลายและสนุกสนานเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะช่วยให้ชีวิตของคุณไม่ถูกความเครียดครอบงำจนเกินไป

วิธีการ 1
วิธีการ 1 ของ 4:

ทำให้การจัดการความเครียดเป็นเป้าหมายตลอดชีวิต

ดาวน์โหลดบทความ
  1. คุณต้องคิดทบทวนเรื่องความเครียดของตัวเองเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงในชีวิตที่ช่วยให้คุณสามารถลดความเครียดและรับมือกับมันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ให้เวลาตัวเองได้สังเกตระดับความเครียดและจดบันทึกว่าใน 1 สัปดาห์คุณรู้สึกเครียดบ่อยแค่ไหน แน่นอนว่าปริมาณความเครียดที่คุณประสบนั้นจะแปรผันไปตามสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิต แต่การสังเกตความเครียดในช่วงแรกเริ่มเป็นวิธีที่ดีที่ทำให้คุณได้เริ่มคิดถึงความเครียดอย่างจริงจังสักที
    • สัญญาณของความเครียดได้แก่ อัตราการเต้นของหัวใจที่เร็วขึ้นและอาการเหงื่อแตก รวมทั้งกล้ามเนื้อเกร็ง ปวดหัว เหนื่อยล้า และการหายใจสั้นๆ [2]
    • ถ้าคุณสัมผัสได้ถึงสัญญาณเหล่านี้ ให้คิดว่าปฏิกิริยานี้เกิดขึ้นจากอะไร
  2. เมื่อคุณเริ่มสอดส่องและสังเกตระดับความเครียดของคุณแล้ว คุณก็ต้องพยายามหาว่าอะไรคือสิ่งที่กระตุ้นให้เกิดความเครียด ความเครียดเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ อะไรที่กระตุ้นให้คุณรู้สึกเครียด งาน ความสัมพันธ์ การเงิน ลูกๆ การระบุสาเหตุของความเครียดเป็นขั้นแรกของการรับมือกับความเครียด [3]
    • เช่นเดียวกับเหตุการณ์แย่ๆ ที่เห็นได้ชัดว่าก่อให้เกิดความเครียด เหตุการณ์ดีๆ ในชีวิตอย่างการแต่งงานหรือซื้อบ้านก็กระตุ้นให้เกิดความเครียดได้เช่นกัน [4]
    • เมื่อคุณระบุสาเหตุของความเครียดได้แล้ว ให้เขียนเป็นแผนผังลงในกระดาษเพื่อที่คุณจะได้เห็นภาพจุดต่างๆ ของความเครียด
    • คุณจะแยกเป็นปัจจัยระยะสั้นกับปัจจัยระยะยาวก็ได้
  3. พยายามหาเทคนิครับมือกับสิ่งที่กระตุ้นความเครียด. เมื่อคุณระบุที่มาของความเครียดได้แล้ว คุณก็เริ่มหาหนทางรับมือกับปัญหาได้เลย เริ่มจากการหาก่อนว่าด้านไหนของเหตุการณ์หรือสิ่งที่กระตุ้นความเครียดที่คุณสามารถควบคุมได้และให้สนใจเฉพาะสิ่งที่คุณแก้ไขได้เท่านั้น สาเหตุของความเครียดโดยทั่วไปก็มักจะเป็นเรื่องภาระและหน้าที่ต่างๆ ที่สุมกันเข้ามาจนคุณแทบไม่มีเวลาพักผ่อนหรือได้ผ่อนคลายตัวเองบ้าง [5]
    • คุณสามารถแก้ปัญหานี้ได้ด้วยการลดภาระหน้าที่ของตัวเองลงและตัดสินใจว่าคุณอยากจะใช้เวลาไปกับอะไรกันแน่ คุณจะเรียงลำดับตามความสำคัญก็ได้ [6]
    • มองตารางเวลาของตัวเองและเขียนเครื่องหมายลงบนช่วงเวลาที่คุณสามารถถอยออกมาเพื่อให้ตัวเองมีเวลาพักผ่อนและสนุกสนานบ้าง
  4. เมื่อคุณลดภาระหน้าที่ของคุณแล้ว ใช้โอกาสนี้เพื่อจัดระเบียบเวลาของตัวเองให้มากขึ้นและหาช่วงเวลาที่คุณไม่ต้องไปไหนหรือทำอะไร วิธีนี้จะทำให้คุณเห็นภาพชัดเจนขึ้นว่าคุณอยากจะใช้เวลากับการทำอะไรกันแน่ ซึ่งจะมีประโยชน์กับคุณในหลายๆ ด้าน อย่ากลัวที่จะให้คนอื่นทำหน้าที่แทนหรือยืดกำหนดการภารกิจต่างๆ ออกไป [7]
    • วางแผนเวลาแต่ก็ต้องเผื่อเวลาเพื่อความยืดหยุ่นด้วย การมีตารางเวลาที่ตายตัวมากเกินไปอาจยิ่งทำให้คุณเครียดมากขึ้นไปอีก
    • การมีช่วงเวลาว่างไว้ในตารางเวลาเปิดโอกาสให้คุณได้ผ่อนคลาย เวลาว่างแค่ครึ่งช่วงโมงตอนเย็นก็ช่วยคุณได้ [8]
  5. ถ้าคุณกำลังทุกข์ทรมานกับความเครียดและความวิตกกังวล อย่าคิดว่าตัวเองจะต้องอดทนและผ่านมันไปให้ได้ด้วยตัวคนเดียว ลองคุยกับเพื่อนหรือสมาชิกในครอบครัวที่ไว้ใจได้ว่าคุณรู้สึกอย่างไร การสื่อสารเป็นสิ่งที่สำคัญมากและช่วยให้คุณได้ปลดปล่อยความเครียดออกมา คุณไม่จำเป็นต้องนั่งลงเพื่อคุยอย่างจริงจังและบอกความลับที่ลึกที่สุดของคุณออกมาก็ได้ [9]
    • แค่การบ่นเรื่องเครียดๆ ออกมาก็ช่วยคลายความกดดันได้
    • ถ้าคุณคิดว่าการพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญน่าจะเป็นประโยชน์กับคุณ ให้ลองติดต่อที่ปรึกษาอาชีพหรือนักบำบัด เพราะบางครั้งการคุยกับคนแปลกหน้าก็ง่ายกว่า [10]
  6. เข้าใจว่าปัญหายากๆ ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยวิธีการง่ายๆ. การสังเกตระดับความเครียด หาสิ่งที่มากระตุ้นความเครียด และเริ่มลงมือเพื่อแก้ปัญหาเหล่านี้ช่วยให้คุณลดระดับความเครียดได้หลังจากผ่านไปสักระยะ แต่ไม่มีการแก้ปัญหาวิธีไหนที่สามารถปลดล็อกวิถีชีวิตที่เต็มไปด้วยความเครียดได้อย่างสมบูรณ์แบบในทันที พยายามผสมผสานวิธีการเหล่านี้โดยที่ยังมีอารมณ์ขันเกี่ยวกับความทุกข์ทรมานของชีวิตสมัยใหม่ การมองเห็นด้านตลกเป็นสิ่งที่ช่วยให้คุณอดทนต่อความล้มเหลวที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้มากขึ้นเลยทีเดียว [11]
    โฆษณา
วิธีการ 2
วิธีการ 2 ของ 4:

ตื่นตัวเพื่อให้ชีวิตเครียดน้อยลง

ดาวน์โหลดบทความ
  1. นักวิทยาศาสตร์อ้างว่า กิจกรรมที่ต้องออกแรงช่วยให้คนเรารับมือกับความเครียด ความหดหู่ในจิตใจ และความวิตกกังวลได้จากการเปลี่ยนแปลงของสารเคมีในสมองที่ช่วยทำให้อารมณ์ดีขึ้นได้ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอยังช่วยพัฒนาความเป็นอยู่ที่ดีโดยรวมได้ด้วยการเพิ่มความภาคภูมิใจในตนเองและการควบคุมตนเอง [12]
    • ผู้ใหญ่ควรพยายามกำหนดเวลาออกกำลังกายที่ใช้แรงปานกลางไว้ในตารางชีวิต 150 นาทีต่อสัปดาห์ [13]
    • หลังจากวันที่ยาวนาน แค่การเดินสั้นๆ ก็ช่วยให้คุณรู้สึกดีและทิ้งความเครียดของวันไว้ข้างหลังคุณได้
    • ใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการทำกิจกรรมออกแรงต่างๆ คุณไม่จำเป็นต้องวิ่งเป็นวงกลมหรือว่ายน้ำกลับไปกลับมา หลายครั้งที่การแข่งขันกีฬาเป็นทีมกลายเป็นวิธีการออกกำลังกายที่สนุกสนานมากกว่า
  2. เช่นเดียวกับการออกกำลังกายเป็นประจำ คุณต้องหาเวลาให้ตัวเองได้มีโอกาสทำสิ่งอื่นๆ ที่คุณชื่นชอบด้วย เช่น อาจจะเป็นการไปดูหนัง ไปดื่มกาแฟกับเพื่อน หรือเล่นกับน้องหมา การทำกิจกรรมสนุกๆ เหล่านี้ช่วยดึงสภาพแวดล้อมที่เคร่งเครียดออกไปจากตัวคุณและทำให้คุณมีโอกาสได้ผ่อนคลายบ้างช่วงหนึ่ง
    • ถ้าคุณสามารถสร้างสมดุลที่ดีในการชีวิตของคุณได้ คุณจะพบว่าระดับความเครียดของคุณลดลง
    • การมีสมดุลที่ดีระหว่างการงานและชีวิตนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญมากที่จะช่วยลดความเครียดและทำให้คุณทำสิ่งต่างๆ ได้ดีที่สุด
    • การเพิกเฉยต่อมิตรภาพมีแต่จะทำให้คุณเคร่งเครียดมากขึ้นในระยะยาว
    เคล็ดลับจากผู้เชี่ยวชาญ

    Laura Horne, MPH

    ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขศึกษา
    ลอร่าเป็นหัวหน้าพนักงานฝ่ายโปรแกรมที่ Active Minds องค์กรไม่แสวงผลกำไรระดับชาติที่คอยให้ความช่วยเหลือนักเรียนในประเด็นเรื่องสุขภาพและการศึกษา ก่อนหน้านั้น เธอเคยริเริ่มโครงการสุขภาพเพื่อชุมชนให้กับสมาคมพนักงานด้านสุขภาพแห่งชาติและที่มหาวิทยาลัยทูเลน เธอได้รับปริญญาโทด้านสาธารณสุขจากมหาวิทยาลัยทูเลน และมีใบรับรองว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านสุขศึกษาจากคณะกรรมการประเมินงานสุขศึกษาแห่งชาติ
    Laura Horne, MPH
    ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขศึกษา

    ใส่ใจในการดูแลตนเองเป็นประจำ ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขศึกษาอย่างลอร่า ฮอร์นบอกว่า: "การดูแลตนเองจะช่วยขยายสมรรถภาพของเราในการใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ และได้ประโยชน์กว่า มันยังเตือนทั้งคุณและคนอื่นว่าความต้องการของคุณนั้นมีอยู่และเป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญก่อนเพื่อน"

  3. เช่นเดียวกับการทำกิจกรรมที่คุณชื่นชอบ คุณควรมองหางานอดิเรกและกิจกรรมใหม่ๆ ที่คุณอาจจะชอบด้วย [14] โยคะเป็นอีกทางเลือกยอดเยี่ยมที่ผสมผสานกิจกรรมที่ต้องออกแรง เทคนิคการผ่อนคลาย และสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบเข้าไว้ด้วยกัน โยคะเป็นกิจกรรมที่ได้รับการพิสูจน์โดยการทดลองทางวิทยาศาสตร์แล้วว่า ช่วยผ่อนคลายความเครียดและความวิตกกังวลได้เป็นอย่างดี [15]
    • โยคะแบ่งออกได้เป็นหลายประเภท เหมาะสมกับทุกวัยและทุกสภาพร่างกาย เพราะฉะนั้นอย่าคิดว่าโยคะเหมาะกับคนหนุ่มสาวหรือคนที่แข็งแรงเท่านั้น [16]
    • มองหาคอร์สโยคะใกล้บ้านและพูดคุยกับครูสอนโยคะว่ามีสอนประเภทไหนบ้างก่อนลงเรียน
    โฆษณา
วิธีการ 3
วิธีการ 3 ของ 4:

รับประทานอาหารที่ดีและใช้ชีวิตในแบบที่ดีต่อสุขภาพ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. เช่นเดียวกับการออกกำลังกายเป็นประจำ การรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพอย่างสมดุลส่งผลอย่างมากต่อวิถีชีวิตที่เคร่งเครียดน้อยลง การเลือกรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพทำให้ร่างกายและอารมณ์ของคุณแข็งแรงขึ้น การดูแลตัวเองเชิงรุกจะกระตุ้นความภาคภูมิใจในตัวเอง ทำให้คุณมีพลังงานและควบคุมร่างกายของตัวเองได้มากขึ้น การรับประทานอาหารที่ดีช่วยให้ร่างกายของคุณทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น [17]
    • การรับประทานอาหารอย่างสมดุลก็คือ การรับประทานอาหารในแต่ละหมู่ตามสัดส่วนในจานอาหารที่กำหนดโดย FDA [18]
    • การใช้เวลาทำอาหารอร่อยๆ ที่ดีต่อสุขภาพในช่วงเย็นอาจเป็นวิธีที่ดีที่ช่วยผ่อนคลายความเครียดหลังจากผ่านพ้นวันที่หนักหนาไปแล้ว
  2. ผู้ใหญ่โดยเฉลี่ยต้องการการนอนเป็นเวลา 7-9 ชั่วโมงต่อคืน [19] การนอนหลับไม่เพียงพอไม่เพียงแต่ทำให้คุณรู้สึกเครียดมากกว่าเดิม แต่การอดนอนเรื้อรังยังอาจทำให้ความสามารถในการตัดสิน ความสามารถในการใช้เหตุผล รูปร่างหน้าตา ความต้องการทางเพศ และความสามารถในการทำงานหรือเรียนของคุณลดลง [20] เพิ่มชั่วโมงการนอนของคุณโดยทำตามคำแนะนำต่อไปนี้: [21]
    • กำหนดเวลาและเข้านอนตามตารางเวลาเข้านอนในแต่ละวัน
    • ทำกิจกรรมที่ผ่อนคลายก่อนเข้านอน เช่น อ่านหนังสือหรือฝึกการหายใจ
    • ปิดเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ
    • นอนหลับพักผ่อนในสภาพแวดล้อมที่ผ่อนคลาย
    • หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และกาเฟอีนที่อาจรบกวนการนอนของคุณได้
  3. การหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เกินปริมาณที่แนะนำต่อวันช่วยให้อารมณ์ของคุณดีขึ้น ผู้ชายไม่ควรดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำเกิน 3 หรือ 4 หน่วยต่อวัน ส่วนผู้หญิงนั้นไม่ควรดื่มเกิน 2 หรือ 3 หน่วยต่อวันเป็นประจำ การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อาจเย้ายวนใจโดยเฉพาะในเวลาที่คุณเครียด แต่แอลกอฮอล์ทำให้อารมณ์เหล่านั้นรุนแรงขึ้น ซึ่งจะทำให้คุณรู้สึกโกรธและก้าวร้าว
    • หนึ่งหน่วยแอลกอฮอล์เท่ากับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 25 มิลลิลิตรโดยประมาณ (ABV 40%) 1 ใน 3 ของแก้วเบียร์ (ABV 5 - 6%) หรือครึ่งหนึ่งของแก้วไวน์มาตรฐาน (175 มล.) (ABV 12%)
    • คุณสามารถดาวน์โหลดเครื่องมือดิจิทัลที่ช่วยให้คุณติดตามได้ว่าคุณบริโภคไปแล้วกี่หน่วย
    • ถ้าคุณรู้สึกว่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เริ่มจะกลายเป็นปัญหาของคุณ คุณควรปรึกษาแพทย์
  4. ถ้าคุณสูบบุหรี่ การลดปริมาณการสูบหรือเลิกบุหรี่ช่วยบรรเทาความเครียดและความวิตกกังวลได้ และยังทำให้คุณมีทัศนคติต่อการดำเนินชีวิตที่ดีขึ้นด้วย การไม่สูบบุหรี่นอกจากจะมีประโยชน์ต่อร่างกายตามที่รู้กันดีอยู่แล้ว ยังได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีประโยชน์ต่อสุขภาพจิตด้วยเช่นกัน แม้จะมีความเชื่อว่าการสูบบุหรี่ช่วยให้คุณรู้สึกผ่อนคลายได้ แต่ที่จริงแล้วการสูบบุหรี่นั้นเพิ่มความวิตกกังวลและความตึงเครียดให้กับคุณ
    • เมื่อผ่านไปสักระยะหนึ่ง คนที่สูบบุหรี่มีแนวโน้มที่จะมีอาการซึมเศร้าหรืออาการวิตกกังวลมากกว่า การลดปริมาณการสูบบุหรี่ช่วยทำให้อารมณ์ของคุณดีขึ้นได้ในระยะยาว [22]
    • นอกจากนี้การเลิกสูบบุหรี่ยังช่วยให้คุณประหยัดเงินได้อีกมาก ซึ่งจะช่วยลดความเครียดทางด้านการเงินด้วย ถ้าคุณเลิกสูบบุหรี่ 10 มวนต่อวัน คุณจะประหยัดเงินได้อย่างน้อย 20,000 บาทต่อปีเลยทีเดียว [23]
    โฆษณา
วิธีการ 4
วิธีการ 4 ของ 4:

ฝึกฝนเทคนิคการผ่อนคลาย

ดาวน์โหลดบทความ
  1. เช่นเดียวกับการเสริมสร้างรูปแบบการดำเนินชีวิตทั่วไปให้ดีขึ้นและการลดภาระหน้าที่ลงเพื่อเหลือเวลาให้ตัวเอง คุณอาจจะลองฝึกเทคนิคการผ่อนคลายบางอย่างเพื่อช่วยให้คุณรู้สึกผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น การทำสมาธิเป็นเทคนิคโบราณที่มีเป้าหมายคือเพื่อให้จิตใจสงบและช่วยให้คุณพอใจกับตนเอง แค่ลองนั่งเงียบๆ และจดจ่อไปที่ลมหายใจ
    • ทันทีที่มีความคิดแวบเข้ามาในหัว ให้พยายามเอาใจกลับไปจดจ่อที่ลมหายใจที่สม่ำเสมอของเรา
    • หรืออีกวิธีหนึ่งก็คือ ให้เอาใจจดจ่อไปที่สิ่งของที่วางอยู่ตรงหน้า หรือคุณอาจจะพยายามนึกภาพที่ช่วยให้จิตใจสงบ เช่น ทะเลที่มีคลื่นเอื่อยๆ ก็ได้
    • ช่วงแรกๆ คุณอาจจะรู้สึกว่ามันยาก แต่ยิ่งคุณฝึกสมาธิมากเท่าไหร่คุณก็จะยิ่งทำได้ดีขึ้นมากเท่านั้น
  2. ถ้าคุณคิดว่าการฝึกสมาธิอย่างเดียวมันยากเกินไป คุณก็อาจจะฝึกการหายใจลึกๆ เพื่อผ่อนคลายก็ได้ นั่งลงบนเก้าอี้สบายๆ ที่มีที่รองศีรษะ หรือนอนลงหงายฝ่ามือขึ้นและให้ขาทั้งสองข้างแยกกันเล็กน้อย เติมลมหายใจเข้าปอดแบบไม่ฝืน หายใจเข้าทางจมูก นับถึง 5 ขณะที่คุณหายใจเข้า
    • หายใจออกทางปาก นับถึง 5 ช้าๆ ทำซ้ำโดยควบคุมการหายใจให้เป็นจังหวะสม่ำเสมอ
    • หายใจโดยไม่ต้องหยุดพักหรือค้างลมหายใจเอาไว้ จากนั้นให้ทำจนกว่าคุณจะรู้สึกสงบและผ่อนคลาย
    • พยายามฝึกการหายใจลึกๆ 3 – 5 นาที วันละ 2 หรือ 3 ครั้ง [24]
  3. ถ้าคุณมีเวลามากหน่อย คุณก็อาจจะฝึกการผ่อนคลายกล้ามเนื้อด้วยก็ได้ การผ่อนคลายกล้ามเนื้อใช้เวลาประมาณ 20 นาที ช่วยให้คุณได้ยืดและคลายกล้ามเนื้อต่างๆ ซึ่งจะช่วยปลดปล่อยความตึงเครียดจากร่างกายและจิตใจ เมื่อคุณอยู่ในที่ๆ อบอุ่นและเงียบ ให้นั่งหรือนอนลงและเอาใจจดจ่อไปที่การหายใจอย่างสม่ำเสมอ การฝึกผ่อนคลายกล้ามเนื้อแต่ละส่วนจะช่วยให้คุณได้คลายความตึงเครียดจากกล้ามเนื้อบนใบหน้า ลำคอ ไหล่ หน้าอก แขน ขา ข้อมือ และมือ ผ่อนคลายกล้ามเนื้อแต่ละส่วนซ้ำ 2 – 3 รอบก่อนจะเปลี่ยนไปผ่อนคลายกล้ามเนื้อส่วนต่อไป
    • เริ่มจากการขยับคิ้วเข้าหากันเหมือนเวลาที่คุณขมวดคิ้ว ค้างไว้ 2-3 วินาทีแล้วปล่อย
    • ต่อไปก็ผ่อนคลายกล้ามเนื้อลำคอด้วยการค่อยๆ หมุนคอไปข้างหน้า ก้มคางลงไปที่หน้าอก ค้างไว้ 2-3 วินาทีก่อนที่จะหมุนศีรษะกลับไปตามเดิม
    • ยักไหล่ขึ้นไปที่หู ค้างไว้ แล้วค่อยเอาลง
    • สำหรับหน้าอก ให้หายใจลึกๆ ช้าๆ เข้าไปในกะบังลม จากนั้นหายใจออกช้าๆ ปล่อยให้หน้าท้องของคุณแฟบขณะที่ลมหายใจถูกปล่อยออกไป
    • จากนั้นยืดแขนไปข้างหน้าออกจากลำตัว ค้างไว้สักพักแล้วค่อยปล่อย
    • กางขาของคุณออก หันนิ้วเท้าออกจากลำตัว หุบขากลับเข้าหาลำตัวแล้วคลาย
    • สุดท้ายให้ยืดข้อมือด้วยการดึงมือเข้าหาตัวคุณ ยืดนิ้วต่างๆ รวมทั้งนิ้วโป้ง ค้างไว้แล้วค่อยคลาย [25]
    โฆษณา

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 4,872 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา