ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

ไม่ว่าคุณจะอายุเท่าไร คุณจะอยู่ที่ไหน หรือเป้าหมายในอาชีพการงานของคุณคืออะไร มันอาจจะเป็นไปได้ว่าเป้าหมายสูงสุดของชีวิตคุณคือการใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและประสบความสำเร็จ ซึ่งการมีชีวิตที่ประสบความสำเสร็จนั้นก็ไม่ใช่แค่การมีเงินทองหรือมีชื่อเสียง เพราะจริงๆ มันหมายถึงการเดินตามเส้นทางที่ตัวเองชอบ ใช้ชีวิตแบบมีจุดหมาย และมีความสุขไปกับชีวิตที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนั่นเอง

ส่วน 1
ส่วน 1 ของ 4:

พัฒนาเส้นทางสู่ความสำเร็จ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ก่อนหน้าที่คุณจะประสบความสำเร็จได้ คุณจะต้องกำหนดให้ได้ก่อนว่าสำหรับคุณแล้วความสำเร็จหมายถึงอะไร แม้ว่ามันอาจจะต้องใช้เวลาหลายปีกว่าคุณจะรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่คุณอยากทำจริงๆ ในชีวิต แต่การที่คุณรู้ว่าตัวเองหลงใหลในเรื่องอะไร มีความสนใจแบบไหน และให้คุณค่าในสิ่งใดนั้น จะช่วยทำให้คุณสามารถตั้งเป้าหมายและทำให้ชีวิตของตัวเองมีความหมายได้ ดังนั้น ให้คุณลองถามตัวเองด้วยคำถามต่อไปนี้ดู
    • คุณอยากจะทิ้งอะไรไว้ให้กับคนรุ่นหลังเห็น?
    • คุณอยากจะให้คนอื่นจดจำคุณในแบบไหน?
    • คุณอยากจะทำชุมชนที่ตัวเองอยู่ให้ดีขึ้นอย่างไร?
    • มีเรื่องอะไรที่น่าสนใจสำหรับตัวคุณบ้าง? ตัวอย่างเช่น ให้คุณลองนึกถึงวิชาที่คุณชอบเรียนที่โรงเรียน แล้วให้ถามตัวเองว่าทำไมคุณถึงชอบวิชาพวกนั้น? [1]
    • อย่างเช่น ถ้าคุณชอบวิชาการแสดงละครเพลง ให้คุณลองคิดดูว่า ที่คุณชอบวิชานี้ก็เพราะว่าคุณชอบดนตรีหรือเปล่า หรือเป็นเพราะว่าคุณชอบทำงานร่วมกับคนกลุ่มใหญ่ที่มีเป้าหมายร่วมกันหรือไม่?
  2. ทำลิสต์เป้าหมายของตัวเองไว้ รวมถึงสิ่งที่คุณอาจจะทำเพื่อบรรลุเป้าหมายเหล่านั้นด้วย. เช็คให้แน่ใจว่าคุณกำหนดทั้งเป้าหมายระยะสั้นและเป้าหมายระยะยาวเอาไว้แล้ว โดยให้พยายามคิดให้เกินไปกว่าเรื่องของเงินและเป้าหมายในอาชีพ จากนั้นเขียนออกมาเป็นไทม์ไลน์ว่าคุณอยากจะทำแต่ละส่วนให้สำเร็จในช่วงเวลาไหน [2]
    • ตั้งเป้าหมายด้วยหลักการ SMART ขึ้นมา ซึ่งหลักการของเป้าหมายนี้ก็หมายถึงเป้าหมายที่มีความชัดเจน (specific) วัดผลได้ (measurable) ทำได้จริง (achievable) สมเหตุสมผล (relevant) และมีกำหนดเวลาที่แน่นอน (time-bound)
    • ให้คุณแบ่งเป้าหมายใหญ่ออกเป็นส่วนย่อย อย่างเช่นถ้าหากเป้าหมายของคุณคือการออกไปเจอกับโลกภายนอก คุณก็อาจจะตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะเก็บเงินให้ได้สักก้อน แล้วเดินทางไปยังประเทศต่างๆ ที่คุณตั้งเป้าไว้ก็ได้
  3. เพื่อที่จะทำความฝันของตัวเองให้สำเร็จและสามารถกลายเป็นคนที่คุณจะอยากให้ตัวเองเป็นนั้น คุณต้องเริ่มต้นจากการใส่ใจในสิ่งที่ตัวเองทำก่อน ฉะนั้น ลองถามตัวเองดูก่อนว่า “สิ่งที่ฉันทำอยู่ตอนนี้มันกำลังจะพาฉันไปในที่ที่ฉันต้องการในชีวิตหรือเปล่า?" [3]
    • หากคุณรู้สึกว่าตัวเองเบื่อหน่ายอยู่ตลอดเวลา ชอบฝันกลางวันเกี่ยวกับเรื่องในอนาคตหรือเรื่องในอดีต หรือนั่งนับเวลาถอยหลังจนหมดวัน นั่นอาจจะเป็นเพราะว่าใจและสมาธิของคุณไม่ได้อยู่กับสิ่งที่ตัวเองทำอยู่ก็เป็นได้
    • ถนอมเวลาของคุณเอาไว้ พยายามใช้เวลาว่างของตัวเองไปกับการทำอะไรที่คุณชอบจริงๆ ดีกว่าที่จะเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ ตัวอย่างเช่น แทนที่คุณจะใช้เวลาในวันหยุดสุดสัปดาห์ของคุณไปกับการดูทีวี ให้คุณแบ่งช่วงเวลาเหล่านั้นให้กับงานอดิเรกหรือไม่ก็ใช้เวลาอยู่กับคนที่คุณรักและเพื่อนใหม่จะดีกว่า
    • ให้คุณวัดผลลัพธ์จากการมีส่วนร่วมกับเป้าหมายนั้น ไม่ใช่แค่วัดจากการบรรลุเป้าหมายเฉยๆ จำไว้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณทำไม่จำเป็นต้องให้ผลตามแบบแผนเสมอไป แต่สิ่งต่างๆ ที่คุณทำควรจะเป็นสิ่งที่น่าทำอยู่เสมอและคุณทำแล้วมีความสุข
  4. การวางแผนเพียงอย่างเดียวนั้นยังไม่พอ เพราะการรักษาคำพูดของตัวเองก็สำคัญเช่นเดียวกัน หากคุณบอกใครสักคนไปว่าคุณกำลังจะทำบางสิ่งบางอย่าง คุณก็ต้องทำสิ่งนั้นให้ได้ และก็เช่นเดียวกัน อย่าไปบอกใครว่าคุณกำลังจะทำอะไร ถ้าคุณยังไม่แน่ใจว่าคุณจะทำได้หรือเปล่า คุณต้องซื่อสัตย์กับขีดจำกัดของตัวเองด้วย [4]
    • หลีกเลี่ยงการยกเลิกแผนการต่างๆ ที่วางไว้ และพยายามอย่าล้มเลิกแผนสองครั้งซ้อนกับคนๆ เดียวกัน
    • สร้างจุดหมายให้ตัวเอง และยึดมั่นไปกับมัน เขียนเป้าหมายของตัวเองลงบนกระดาษไว้ แล้วเอาไปแขวนหรือติดในที่ที่คุณมองเห็นได้ง่ายๆ
    โฆษณา
ส่วน 2
ส่วน 2 ของ 4:

บรรลุความสำเร็จภายนอก

ดาวน์โหลดบทความ
  1. การศึกษานั้นให้ทั้งความรู้ ทักษะ และความน่าเชื่อถือที่จะทำให้คุณบรรลุศักยภาพสูงสุดของตัวคุณเองได้ ซึ่งในแง่ของความสำเร็จทางด้านการเงินก็มีสถิติที่แสดงให้เห็นว่า ยิ่งคุณมีการศึกษามากเท่าไร (หมายถึง ระดับปริญญาที่คุณได้) แนวโน้มที่คุณสามารถจะสร้างรายได้ได้เยอะก็จะมีมากขึ้นตามไปด้วย [5]
    • ยกตัวอย่างเช่นในประเทศสหรัฐอเมริกาในปี 2011 รายได้เฉลี่ยต่อสัปดาห์ของคนที่จบการศึกษาระดับมัธยมปลายจะอยู่ที่ 638 เหรียญ ในขณะที่รายได้ของคนที่จบการศึกษาระดับปริญญาตรีอยู่ที่ 1053 เหรียญ และในปีเดียวกัน คนที่จบการศึกษาระดับปริญญาโทและเอกจะมีรายได้อยู่ที่ 1263 เหรียญและ 1551 เหรียญตามลำดับ
    • การศึกษาในทุกรูปแบบไม่จำเป็นต้องเป็นแบบทางการก็ได้ เพราะการฝีกงานและการเข้าโปรแกรมฝึกอบรมระยะยาวก็ทำให้คุณมีเงินเดือนที่สูงขึ้นได้เหมือนกัน ซึ่งการมีประกาศนียบัตรในสาขางานที่คุณทำอยู่นั้น จะสามารถช่วยเพิ่มเงินเดือนให้คุณได้
    • นอกจากนี้อย่าลืมที่จะหาความรู้เพิ่มเติมตามความพอใจของตัวเองด้วย เพราะยิ่งคุณรู้เกี่ยวกับโลกที่คุณอยู่มากเท่าไร คุณก็จะยิ่งมีคำถามมากขึ้นเท่านั้น และนั่นก็จะทำให้คุณเป็นคนที่สนใจในสิ่งต่างๆ มากขึ้นไปด้วย
  2. การเรียนรู้ที่จะบริหารจัดการด้านการเงินของตัวเองนั้นจะช่วยทำให้คุณสามารถมั่นใจในเสถียรภาพทางการเงินของตัวเองได้เมื่อเวลาผ่านไป โดยที่ไม่ต้องกังวลถึงรายได้ของตัวเองมากนัก [6]
    • คอยบันทึกรายจ่ายของตัวเองเอาไว้ และคอยเช็ครายการเงินฝากถอนในบัญชีเงินฝากของคุณให้บ่อยๆ เพื่อดูว่าคุณใช้เงินไปกับส่วนไหนบ้าง การทำแบบนี่จะช่วยป้องกันไม่ให้คุณใช้จ่ายเกินตัวและทำให้มั่นใจด้วยว่ารายการเงินฝากถอนในบัญชีเงินฝากของคุณนั้นถูกต้องแล้ว
    • ทำความเข้าใจกับรายได้จริงๆ ของตัวเองด้วย โดยเวลาที่คุณคำนวณรายได้ของตัวเอง อย่าลืมคิดถึงเรื่องภาษีประเภทต่างๆ ที่จะหักออกจากยอดรวมของรายได้คุณด้วย และอย่ามองข้ามการหักค่าจิปาถะอื่นๆ อีกเช่น เบี้ยประกันสุขภาพ พันธบัตรออมทรัพย์ และค่าชำระเงินกู้ด้วย ซึ่งตัวเลขที่คำนวณได้ก็คือจำนวนเงินสุทธิของคุณ ซึ่งมันเป็นจำนวนเงินที่คุณจะเอากลับบ้านไปกับคุณนั่นเอง
    • คอยเก็บออมเงินเอาไว้ โดยในทุกๆ เดือน คุณควรจะฝากเงินบางส่วนไว้ในบัญชีออมทรัพย์ของตัวเอง หรือคุณอาจจะลองขอร้องให้นายจ้างของคุณโอนเงินจำนวนหนึ่งของเงินค่าจ้างคุณเข้าในบัญชีคุณโดยตรงเลยก็ได้
    • ให้คุณลงทุนอย่างระมัดระวัง หากที่ที่คุณทำงานอยู่มีแผนออมเงินเพื่อการเกษียณอายุให้ ให้คุณนำเงินส่วนที่คุณไม่ได้ใช้ไปลงทุนในส่วนนั้นซะ
  3. การผลัดเลื่อนงานสำคัญที่ต้องทำออกไปจนถึงนาทีสุดท้ายอาจจะนำพาคุณไปสู่ความเครียดโดยไม่จำเป็นได้ นอกจากนี้โอกาสที่จะทำให้เกิดข้อผิดพลาดและความประมาทก็จะมีสูงขึ้นตามไปด้วย ดังนั้น ให้คุณบริหารจัดการเวลาของตัวเองให้ดี เพื่อที่คุณจะได้มีเวลาพอที่จะทำสิ่งต่างๆ ให้เสร็จลงอย่างมีประสิทธิภาพ
    • ใช้สมุดจดบันทึกตารางเวลาในการช่วยบริหารจัดการเวลาในแต่ละวัน สัปดาห์ และเดือน
    • ตั้งการแจ้งเตือนบนสมาร์ทโฟนของคุณเอาไว้ และใช้ประโยชน์จากเครื่องตั้งเวลาในสมาร์ทโฟนของคุณเพื่อทำให้การบริหารเวลาของคุณดีขึ้นกว่าเดิมซะเลย
    • ทำลิสต์เกี่ยวกับสิ่งที่คุณต้องทำในวันนั้นๆ และทำเครื่องหมายถูกไว้เวลาที่ทำงานใดงานหนึ่งเสร็จแล้ว การทำแบบนี้จะช่วยให้คุณสามารถจัดระเบียบเวลาและมีแรงกระตุ้นได้อยู่เสมอ
    โฆษณา
ส่วน 3
ส่วน 3 ของ 4:

บรรลุความสำเร็จภายใน

ดาวน์โหลดบทความ
  1. หากคุณมัวแต่ยึดติดอยู่กับอดีต หรือมัวแต่ฝันถึงเรื่องอนาคต คุณก็จะพลาดอะไรหลายๆ อย่างที่อยู่ในปัจจุบันไป จำไว้ว่าอดีตและอนาคตนั้นก็เหมือนกับภาพลวงตา และชีวิตจริงก็คือสิ่งที่อยู่ตรงนี้และตอนนี้นั่นเอง
    • ให้คุณรับรู้ถึงความคิดด้านลบด้วย เพื่อที่คุณจะได้สามารถเดินหน้าต่อไปและมีความสุขกับปัจจุบันได้ หากความคิดลบๆ ผุดขึ้นมาในหัวของคุณ ให้คุณรับรู้มันเอาไว้ และติดป้ายเอาไว้เลยว่าความคิดเหล่านั้นคือความคิดด้านลบ จากนั้นก็ปล่อยให้มันจางหายไปเอง [7]
    • พยายามใส่ใจรายละเอียดเล็กน้อยรอบๆ ตัวให้เป็นนิสัย อย่างเช่น ยินดีและซาบซึ้งไปกับความรู้สึกจากแสงแดดที่มากระทบผิวคุณ ความรู้สึกใต้ฝ่าเท้าเวลาที่คุณเดินบนพื้น หรือผลงานศิลปะในร้านอาหารที่คุณกำลังทานอยู่ก็ได้ ซึ่งการสังเกตถึงสิ่งเหล่านี้จะช่วยทำให้จิตใจที่ไม่อยู่กับเนื้อกับตัวของคุณสงบลงได้ และทำให้คุณสามารถยินดีไปกับทุกช่วงเวลาที่คุณใช้อยู่
  2. อย่าเอาชีวิตตัวเองไปเปรียบเทียบกับชีวิตของคนอื่น. น่าเสียดายที่บางคนชอบวัดความสำเร็จของตัวเองด้วยการเอาไปเปรียบเทียบกับความสำเร็จของคนอื่นๆ ที่อยู่รอบตัวพวกเขา ฉะนั้น หากคุณอยากจะรู้สึกถึงความสำเร็จและความสุข คุณก็ต้องมองเห็นคุณค่าของชีวิตตัวเองก่อน
    • หลายคนมักมีนิสัยชอบเปรียบเทียบจุดต่ำของชีวิตตัวเองกับจุดสูงสุดของชีวิตคนอื่น ฉะนั้น ให้คุณจำไว้ว่า ไม่ว่าชีวิตคนอื่นจะดูสมบูรณ์แบบขนาดไหน แต่เบื้องหลังนั้น ทุกคนก็ล้วนต้องรับมือกับเรื่องเศร้าโศก ความไม่มั่นคง และความยากลำบากในรูปแบบต่างๆ เหมือนกันทั้งสิ้น [8]
    • แทนที่คุณจะมัวแต่เปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นที่ดูมีชีวิตที่ดีกว่าคุณ ให้คุณลองคิดถึงคนไร้บ้าน ป่วยโรคเรื้อรัง หรืออยู่แบบยากจนดู สิ่งนี้จะช่วยทำให้คุณเห็นคุณค่าในสิ่งที่ตัวเองมี มากกว่าที่จะทำให้คุณรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่ตัวเองเป็นอยู่
  3. ไม่ว่าคุณจะประสบความสำเร็จในชีวิตมากแค่ไหน คุณจะไม่มีวันมีความสุขได้เลย หากคุณชอบไปโฟกัสอยู่กับสิ่งที่คุณไม่มี ฉะนั้น ให้คุณสละเวลาส่วนหนึ่งในแต่ละวันเพื่อยินดีไปกับสิ่งต่างๆ ที่ตัวเองมีอยู่แล้ว โดยให้คิดนอกเหนือไปจากแค่เรื่องสิ่งของนอกกาย เช่น ให้คุณเห็นคุณค่าของคนที่คุณรัก รวมถึงเก็บถนอมความทรงจำดีๆ เอาไว้
    โฆษณา
ส่วน 4
ส่วน 4 ของ 4:

บ่มเพาะความสำเร็จในทุกแง่มุมของชีวิตคุณ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. การมีสุขภาพกายที่ดีจะช่วยเสริมให้คุณมีสุขภาพจิตที่ดีตามไปด้วย ฉะนั้น ให้คุณทานอาการให้ครบทุกหมู่และเช็ดให้ดีว่าคุณไม่ได้ขาดสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายไป และให้ลองดูว่าอะไรที่เป็นสาเหตุของปัญหาทางกายต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นกับตัวคุณ เช่น การขาดพลังงานหรือไม่มีสมาธิ และให้คุณจัดการปัญหาเหล่านี้ด้วยการปรึกษากับแพทย์ นักโภชนาการ และผู้เชี่ยวชาญทางด้านสุขภาพ นอกจากนี้ ให้คุณออกกำลังกายให้เพียงพอ โดยให้เลือกออกกำลังกายในรูปแบบที่คุณชอบ
  2. ถ้าคุณมีโอกาสที่จะแจ้งเกิด ให้คุณคว้าโอกาสนั้นไว้ หากคุณกังวลว่าตัวเองจะไม่มีเวลาและมีพลังงานพอสำหรับโอกาสดีๆ เหล่านั้น ให้คุณถามตัวเองดูว่า “สิ่งนี้จะช่วยให้ฉันเข้าถึงเป้าหมายสูงสุดได้หรือเปล่า?” ถ้าเกิดว่าใช่ ให้คุณตัดเป้าหมายอื่นๆ ทิ้งไป และเดินหน้าคว้าโอกาสนั้นเอาไว้เลย
    • จำไว้ว่า โอกาสบางโอกาสมักจะมาแค่เพียงหนเดียว คุณไม่สามารถเก็บเอาไว้ใช้ทีหลังได้
    • นี่ไม่ได้หมายความว่า คุณควรจะทิ้งสมบัติทั้งหมดที่ตัวเองมี หรือละทิ้งความมั่นคงทุกอย่างในชีวิตของตัวเองออกไป แต่นี่หมายถึงว่า คุณควรจะตอบตกลงเมื่อใดก็ตามที่คุณได้รับโอกาสที่จะทำให้ชีวิตคุณก้าวหน้าต่อไป [9]
  3. ให้คุณสร้างมิตรภาพกับคนที่คุณชื่นชอบเพราะด้วยหลายๆ เหตุผล โดยอาจจะเป็นเพราะว่าพวกเขานั้นเป็นคนทีมีความสุข เป็นมิตร ใจกว้าง และประสบความสำเร็จในชีวิตหรือในทางอื่นๆ ก็ได้ ฉะนั้น ให้คุณทำความรู้จักกับคนที่ประสบความสำเร็จในสิ่งที่คุณอยากจะทำให้สำเร็จ หรือไม่ก็คนที่กำลังอยู่บนเส้นทางที่กำลังไปสู่เป้าหมายเดียวกันกับคุณก็ได้ และอย่าปล่อยให้ความอิจฉาเข้ามาขวางทางของคุณ จำไว้ว่าไม่มีความสำเร็จของใครที่จะมาเป็นตัวขัดขวางความสำเร็จของคุณได้หรอก [10]
    • เมื่อคุณกำลังจะสร้างมิตรภาพกับใครสักคน ให้คุณถามตัวเองดูว่าคนๆ นั้นทำให้คุณมีแรงผลักดัน มองในแง่บวก และมีความมั่นใจหรือเปล่า หรือว่าพวกเขาทำให้คุณรู้สึกเหนื่อยหน่าย มืดมน หรือไร้ความสามารถกันแน่ ฉะนั้น ให้เลือกใช้เวลาอยู่กับคนที่มองในแง่บวก อย่าอยู่กับคนที่คอยแต่จะมาดูดพลังงานจากตัวคุณออกไปจากตัว
    • หากคุณมีเพื่อนหรือคนในครอบครัวที่มักจะทำให้คุณรู้สึกแย่ ให้คุณจำกัดเวลาในการอยู่กับคนเหล่านั้นซะ
    • มองหาใครสักคนในหมู่คนที่คุณชื่นชอบเพื่อขอคำแนะนำ หากคุณคิดว่าคุณควรจะเรียนรู้จากใครสักคนจริงๆ ให้คุณขอคำแนะนำจากพวกเขาเลย
  4. สร้างขอบเขตระหว่างคุณและคนอื่น เอาไว้ด้วย. ให้คุณคอยสนับสนุนความต้องการของตัวเองและเอาใจใส่คนอื่นๆ ด้วย แต่อย่ายอมรับคำดูถูกเหยียดหยามจากใครเด็ดขาด จำไว้ว่า การเป็นคนดีไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้องยอมรับความรุนแรงหรือคำพูดหรือการกระทำแบบดูหมิ่นของคนอื่น [11]
    • และอย่าลืมเคารพขอบเขตที่คนอื่นๆ สร้างขึ้นระหว่างตัวคุณและตัวพวกเขาเองด้วย ฟังในสิ่งที่คนที่คุณรักพูดเมื่อใดก็ตามที่พวกเขาบอกคุณว่าต้องการพื้นที่ส่วนตัว หรืออยากจะทำอะไรคนเดียว
    โฆษณา

เคล็ดลับ

  • คอยสร้างแรงบันดาลใจให้ตัวเองจากบางสิ่งเข้าไว้ ไม่ว่าจะเป็นดนตรี รูปถ่าย แฟชั่น เหตุการณ์ปัจจุบัน ฯลฯ จำไว้ว่า ไม่มีอะไรที่จะมาจุดไฟในตัวคุณได้ดีไปกว่าแรงบันดาลใจดีๆ อีกแล้ว
  • การมีโรลโมเดลที่ดีให้ชีวิตตัวเองจะช่วยทำให้คุณมีแรงกระตุ้นอยู่ตลอดเวลาและนำพาคุณไปยังเส้นทางที่ถูกต้องได้ โดยโรลโมเดลของคุณอาจจะเป็นคนที่คุณรู้จักหรือไม่รู้จักเป็นการส่วนตัวก็ได้ ดังนั้น ให้คุณเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องราวชีวิตของคนที่คุณยกให้เป็นโรลโมเดล แล้วพยายามปรับจริยธรรมในการทำงานของคนๆ นั้นมาใช้ดู
โฆษณา

คำเตือน

  • อย่าอิจฉาในความสำเร็จของคนอื่น แต่ให้คุณพยายามให้มากๆ เพื่อที่จะได้ไปถึงจุดที่สูงที่สุดของตัวเองจะดีกว่า
โฆษณา

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 10,521 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา