ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

การข้ามผ่านแต่ละช่วงของชีวิตนั้นเป็นเรื่องยาก คุณจะต้องเจอกับการสูญเสีย คุณจะเสียความสัมพันธ์ คุณจะต้องเผชิญกับความเจ็บปวดทั้งทางกายและทางใจ แต่เมื่อคุณเปลี่ยนกรอบความคิดเพื่อโอบกอดการเปลี่ยนแปลง สร้างทัศนคติที่เป็นบวก และให้ความสำคัญกับเครือข่าย คุณจะไม่เพียง ข้าม ผ่านแต่ละช่วงของชีวิตได้เท่านั้น แต่คุณจะ บิน ผ่านมันไปได้อย่างสวยงามด้วย

วิธีการ 1
วิธีการ 1 ของ 4:

โอบกอดการเปลี่ยนแปลง

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ยอมรับว่าการเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้. ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน ฤดูกาล อากาศ แนวโน้ม เทคโนโลยี อะไรก็แล้วแต่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา พึงรู้ว่าไม่มีอะไรยืนยงไปตลอดกาล ถ้าคุณกำลังเผชิญกับช่วงเวลาแย่ๆ รู้ว่ามันจะไม่อยู่กับคุณตลอดไป ในอีกแง่หนึ่งถ้าชีวิตของคุณตอนนี้ดีเป็นพิเศษ จงขอบคุณสำหรับสิ่งดีๆ แต่ก็ให้รู้ไว้ว่าวันที่ยากลำบากกว่านี้จะต้องกลับมาอีกแน่นอน [1]
    • วิธีที่จะเลิกมองว่าการเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่ "แย่" ก็คือ การรู้ว่าตัวคุณและทุกคนที่คุณเจอก็เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ไม่ว่าคุณจะเจอพวกเขาเมื่อวันก่อนหรือสัปดาห์ที่แล้ว แต่ละครั้งที่คุณเจอเขา คุณก็จะได้เห็นตัวเขาในเวอร์ชั่นใหม่กว่าที่เปลี่ยนแปลงไป เวลาผันผ่าน พวกเขาเจอประสบการณ์ใหม่ๆ มีไอเดียใหม่ๆ มนุษย์ไม่ใช่สิ่งคงที่เหนือกาลเวลา ชีวิตก็เช่นกัน [2]
  2. ถ้าความคาดหวังของคุณสูงเกินไปและอุดมคติเกินไป คุณก็จะต้องผิดหวังกับผลลัพธ์ตลอดเวลา เมื่อไหร่ก็ตามที่ความคาดหวังตายตัวมากเกินไป คุณก็จะไม่มีที่ให้กับการเติบโตหรือการเปลี่ยนแปลงเลย แต่ถ้าคุณตั้งความคาดหวังที่สมเหตุสมผลมากขึ้น คุณก็จะมีความภาคภูมิใจในตัวเองที่สูงขึ้นและสามารถปรับตัวเพื่อรับมือกับสิ่งที่จะเข้ามาในชีวิตได้มากขึ้น [3]
    • ตัวอย่างของความคาดหวังที่อุดมคติเกินไปก็อาจจะเป็น "อยู่มหาวิทยาลัยฉันจะต้องได้ A ทุกวิชา" ในขณะที่ความคาดหวังตามความเป็นจริงมากขึ้นก็อาจจะเป็น "ถ้าจะเรียนมหาวิทยาลัยให้ได้เกรดดีๆ ฉันจะต้องตั้งใจมากๆ"
    • คุณสามารถจัดการให้ความคาดหวังของคุณตั้งอยู่บนความเป็นจริงมากขึ้นได้โดยการประเมินอยู่เสมอว่า คุณสามารถทำตามความคาดหวังนั้นได้ไหมและมีทางเลือกอะไรบ้าง แทนที่จะสนใจอยู่กับแค่ผลลัพธ์ใดผลลัพธ์หนึ่ง [4]
    • ถ้ามีใครมาคาดหวังเกินจริงกับคุณ ให้พูดกับคนๆ นั้นและอธิบายว่า ความกดดันที่จะต้องทำตามความคาดหวังให้ได้นั้นส่งผลกับคุณอย่างไร คุณอาจจะพูดประมาณว่า “เวลาที่ใครมาคาดหวังอะไรในตัวผม ผมรู้สึก ___ ทุกที”
  3. การเรียนรู้จากประสบการณ์เป็นการเรียนรู้ผ่านการลงมือทำ หรือผ่านการค้นพบและการสำรวจ คุณอาจจะพูดข้อเท็จจริงอะไรให้นักเรียนฟังก็ได้ แต่ส่วนมากเด็กก็มักจะลืม คุณอาจจะสอนวิชานั้นๆ อย่างกระตือรือร้นและเด็กก็อาจจะจำเนื้อหาได้ แต่ถ้าคุณให้เด็กมีส่วนร่วมและให้เด็กได้ผ่านประสบการณ์จากวิชานั้นๆ พวกเขาจะได้เรียนรู้อย่างแท้จริง ในด้านการศึกษาเด็กจะผ่านการเรียนรู้จากประสบการณ์ผ่าน 6 ขั้นตอน ซึ่งขั้นตอนเหล่านี้สามารถนำมาใช้นอกห้องเรียนได้
    • สร้างประสบการณ์/สำรวจ – ในกรณีนี้ ขั้นตอนนี้ก็คือการแค่ “ใช้ชีวิต” และสั่งสมประสบการณ์
    • แบ่งปัน/ทบทวน- พูดคุยถึงปฏิกิริยาและการสังเกตเกี่ยวกับประสบการณ์ใดประสบการณ์หนึ่งในชีวิตกับเพื่อนๆ กับที่ปรึกษา หรือในสมุดบันทึก คิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นและสิ่งที่คุณค้นพบ
    • ประมวลผล/วิเคราะห์- ระบุว่าสิ่งสำคัญของประสบการณ์ชีวิตนั้นๆ คืออะไร เกิดปัญหาอะไรขึ้น ปัญหาเหล่านั้นแก้ไขได้อย่างไร มีประเด็นอะไรที่เกิดขึ้นซ้ำๆ บ้าง
    • สรุป- เชื่อมโยงประสบการณ์นี้เข้ากับประสบการณ์อื่นๆ เพื่อให้เห็นถึงแนวโน้ม ตระหนักว่ามีหลักการความจริงของชีวิตโผล่ขึ้นมาบ้างไหม
    • ใช้- ตัดสินใจว่าคุณจะใช้สิ่งที่คุณได้เรียนรู้จากประสบการณ์นั้นๆ ในสถานการณ์เดียวกันหรือสถานการณ์ที่ต่างออกไปได้อย่างไร
  4. ให้ตัวเองได้ อยู่กับปัจจุบัน . การพยายามนึกถึงแต่อนาคตมากเกินไปหรือจมอยู่กับอดีตมากเกินไปอาจทำให้คุณพลาดสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในตอนนี้ก็ได้
    • ในการฝึกอยู่กับปัจจุบันนั้น ให้คุณฝึกการเจริญสติ การเจริญสติสามารถฝึกตอนไหนหรือที่ไหนก็ได้ เป็นการฝึกอยู่กับสถานที่และเวลาในปัจจุบัน
    • ถ้าคุณเป็นมือใหม่ การฝึกเจริญสติ สามารถทำได้โดยการนั่งบนเก้าอี้สบายๆ คว่ำมือไว้บนตัก จ้องไปที่พื้นที่อยู่ห่างจากคุณไป 4 – 6 ฟุตหรือที่กำแพงตรงหน้า
    • หายใจลึกๆ แค่นั่งและจดจ่อไปที่สภาพแวดล้อมรอบข้าง สังเกตเสียง กลิ่น หรือสัมผัสบนผิวของคุณ หายใจต่อไปและจดจ่ออยู่กับลมหายใจขณะที่คุณหายใจเข้าและหายใจออกเบาๆ
    • ถ้าคุณสังเกตว่าตัวเองกำลังติดอยู่ในความคิด ก็แค่รับรู้ว่าตัวเองกำลังคิดอยู่ และกลับมาจดจ่อที่ลมหายใจเหมือนเดิม ฝึกทำแบบนี้ทุกวัน วันละ 20 – 30 นาที การฝึกจะช่วยให้คุณสามารถฝึกเจริญสติที่ไหนก็ได้เพื่อให้ตัวเองได้อยู่กับปัจจุบัน [5]
    โฆษณา
วิธีการ 2
วิธีการ 2 ของ 4:

สร้างทัศนคติที่เป็นบวก

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ตระหนักถึงพลังของการคิดบวกและเลือกที่จะคิดบวก. ว่ากันว่าสิ่งที่กำหนดละติจูดของชีวิตไม่ใช่ความฉลาด แต่เป็นทัศนคติต่างหาก พูดอีกอย่างก็คือคุณจะไปได้สูงแค่ไหนหรือไกลแค่ไหนนั้นเกี่ยวพันกับวิธีที่คุณเลือกที่จะมองชีวิต สถานการณ์ และผู้คนเป็นอย่างมาก การมีทัศนคติที่เป็นบวกทำให้สุขภาพกายและสุขภาพใจของคุณดีขึ้น รวมทั้งช่วยให้ชีวิตของคุณยืนยาวได้จริงๆ [6]
  2. [7] การมองโลกในแง่ดีอาจกลายเป็นคุณสมบัติของคุณได้ด้วยการแค่เปลี่ยนสิ่งที่คุณพูดกับตัวเอง ในการที่จะ คิดบวกให้มากขึ้น นั้น คุณจะต้องรู้ก่อนว่าอะไรคือการวิจารณ์ตัวเองเชิงลบ
    • หยิบกระดาษมา 1 แผ่นแล้วพับครึ่งในแนวตั้ง ฝั่งซ้ายให้เขียนความเชื่อที่จำกัดตัวเองและความเชื่อเชิงลบที่เข้ามาในหัวของคุณ ซึ่งอาจจะเป็น “ชีวิตฉันมันห่วยแตก” หรือ “น้ำหน้าอย่างฉันจะไปรักใครได้”
    • ช่วงระยะเวลาหลายๆ วัน ให้ “รับฟัง” ความคิดของคุณ สังเกตความคิดที่ทำให้คุณรู้สึกแย่หรือคิดลบมากเป็นพิเศษ จากนั้นให้เขียนเพิ่มลงไปในรายการ [8]
  3. ความคิดเชิงลบอาจมีพลังทำลายล้างความหวังของคุณ แต่ถ้าคุณเอาแว่นขยายส่องความเชื่อนั้นดีๆ คุณอาจจะคิดขึ้นว่าได้ว่า ความคิดเหล่านั้นไม่เป็นเหตุเป็นผลเลย ในแต่ละความเชื่อที่ทำร้ายตัวเอง ให้คุณถามคำถามเหล่านี้ออกมาดังๆ เพื่อค้านความเชื่อเหล่านั้น: [9]
    • ฉันหาเหตุผลมาสนับสนุนความเชื่อนี้ได้จริงๆ หรือเปล่า ในเมื่อคุณไม่สามารถล่วงรู้อนาคตได้ คุณก็ไม่สามารถพูดอย่างเป็นเหตุเป็นผลได้ว่า คุณคงรักใครไม่ได้
    • มีหลักฐานอะไรที่บอกว่าความเชื่อนี้ผิดไหม คุณเคยรักใครมาก่อนหรือเปล่า
    • มีหลักฐานอะไรที่บอกว่าความเชื่อนี้จริงไหม อย่าลืมนะว่าคุณไม่สามารถล่วงรู้อนาคตได้
    • สิ่งที่เลวร้ายที่สุดที่อาจเกิดขึ้นได้คืออะไรถ้าเหตุการณ์ “แย่ๆ” นี้เกิดขึ้น ถ้ามันเกิดขึ้น คุณก็อยู่ตัวคนเดียว
    • สิ่งดีๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้คืออะไรถ้าเหตุการณ์ “แย่ๆ” นี้เกิดขึ้น คุณก็อาจจะได้เรียนรู้ที่จะรักตัวเองมากขึ้นและได้อยู่กับสิ่งที่ตัวเองรักไปตลอดชีวิต
  4. การยืนยันตัวเองเป็นคำพูดเชิงบวกที่มีประโยชน์ที่อธิบายถึงเป้าหมายที่คุณปรารถนา การย้ำคำพูดยืนยันตัวเองเชิงบวกจะสร้างความรู้สึกขึ้นในเบื้องลึกของจิตใจ หยิบกระดาษที่พับไว้แผ่นนั้นมา จากนั้นด้านขวามือให้เขียนคำพูดยืนยันตัวเองที่เปลี่ยนความเชื่อเชิงลบที่จำกัดตัวเองเหล่านั้นให้กลายเป็นความเชื่อเชิงบวกที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ พูดคำพูดเหล่านี้ซ้ำๆ เป็นประจำ
    • “ชีวิตฉันมันห่วยแตก” ให้เปลี่ยนเป็น “ชีวิตของฉันตอนนี้มันอาจจะดูแย่ แต่ช่วงเวลาแย่ๆ ก็ทำให้ฉันเข้มแข็งขึ้น”
    • ”น้ำหน้าอย่างฉันจะไปรักใครได้” ให้เปลี่ยนเป็น “ตอนนี้ฉันรู้สึกเหงา แต่มันจะไม่เป็นอย่างนี้ไปตลอดหรอก”
  5. กรอบความคิดของการขอบคุณนั้นช่วยให้คุณได้พัฒนาทัศนคติที่เป็นเชิงบวกมากยิ่งขึ้น แทนที่จะจมอยู่กับภาระ ให้คุณสนใจไปที่เรื่องดีๆ ในชีวิต คนที่รู้สึกขอบคุณนั้นมีสุขภาพกายที่ดีกว่า มีสุขภาพจิตที่ดีขึ้น มีระดับความเห็นอกเห็นใจมากขึ้นและมีความก้าวร้าวลดลง นอนหลับได้ดีขึ้น มีความภาคภูมิใจในตนเองมากขึ้น และมักจะสร้างมิตรภาพใหม่ๆ [10] แสดงการขอบคุณให้มากขึ้นด้วยการ :
    • เขียนลงไป เริ่มเขียนบันทึกขอบคุณ
    • บอกคนอื่นเวลาที่คุณซาบซึ้งกับสิ่งที่พวกเขาทำให้
    • ทำสมาธิและจดจ่ออยู่กับจิตวิญญาณของการขอบคุณ
  6. บางครั้งเราก็ติดกับอยู่ในหลุมวิกฤติชีวิตจนพาตัวเองขึ้นมาไม่ได้ การ "ติดกับ" อาจทำให้เราไม่สามารถมองสถานการณ์ได้ตามความเป็นจริง ดังนั้นเราจึงไม่เจอวิธีแก้ไขปัญหา แต่กลับหลงทางอยู่กับเหตุการณ์ทางอารมณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น ถอยกลับมาหนึ่งก้าวและเฝ้ามองชีวิตจากสายตาของคนนอก [11]
    • ลองนึกว่าถ้าเกิดสถานการณ์นี้ขึ้นกับเพื่อนร่วมงานหรือเพื่อนสนิท คุณจะแนะนำให้คนๆ นี้รับมือกับสถานการณ์อย่างไร คุณมีความคิดเชิงลบหรือความคาดหวังที่ไม่เป็นจริงหรือไม่
    โฆษณา
วิธีการ 3
วิธีการ 3 ของ 4:

ให้ความสัมพันธ์กับเครือข่าย

ดาวน์โหลดบทความ
  1. การอยู่ท่ามกลางคนคิดบวกจะช่วยแพร่ความคิดบวกให้คุณด้วย ยิ่งไปกว่านั้นไม่ว่าคุณจะข้ามผ่านขั้นตอนไหนในชีวิต กลุ่มสนับสนุนที่แข็งแกร่งจะช่วยให้คุณมองโลกตามความเป็นจริงและมีความหวัง การอยู่ท่ามกลางคนที่มีทัศนคติที่ดีจะทำให้คุณมีโอกาสที่จะมีความสุขและประสบความสำเร็จมากยิ่งขึ้น [12]
    • มองหาคนที่มีอิทธิพลเชิงบวกในชีวิตของคุณ คนพวกนี้คือคนที่ฝึกการขอบคุณและมองหาความเบิกบานอย่างกระตือรือร้นในทุกๆ วัน
    • ตัดขาดความสัมพันธ์หรือสร้างระยะห่างระหว่างคุณกับคนที่มีอิทธิพลเชิงลบ คนพวกนี้คือคนที่จมปลักอยู่กับปัญหาหรือภาระ พวกเขามักจะไม่ค่อยหัวเราะหรือยิ้ม และคุณก็อาจจะติดอารมณ์บูดบึ้งจากพวกเขาได้
  2. ถ้าคุณเชื่อว่าการที่คุณเกิดมานั้นมันมีเหตุผล มันมีเป้าหมายที่สูงส่งกว่า การเชื่อมโยงกับด้านจิตวิญญาณของตัวเองอาจช่วยสร้างปัจจัยป้องกันตัวเองในช่วงเวลายากลำบากให้แก่คุณ
    • คนที่มีความเชื่อเรื่องจิตวิญญาณหรือนับถือศาสนามันจะเลือกวิถีชีวิตที่ดีต่อสุขภาพมากกว่า ทั้งในด้านการรับประทานอาหาร การหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ก่อให้เกิดความเสี่ยง เช่น ขับรถโดยไม่คาดเข็มขัดนิรภัย และละเว้นจากการสูบบุหรี่ ดื่มสุรา หรือเสพยาเสพติด ยิ่งไปกว่านั้นความเชื่อเรื่องจิตวิญญาณยังให้ระบบสนับสนุนทางสังคมที่ให้กำลังใจคุณและช่วยคลายความเครียดด้วย [13]
    • ความเชื่อเรื่องจิตวิญญาณไม่จำเป็นต้องเกี่ยวข้องกับศาสนาที่เป็นรูปธรรมหรือปรัชญา ความเชื่อทางศาสนาจะเป็นอะไรก็ได้แล้วแต่คุณจะจำกัดความ พัฒนาความเชื่อเรื่องจิตวิญญาณด้วยการฝึกฝนการให้อภัย ฝึกการทบทวนตัวเอง ใช้ธรรมชาติและศิลปะในการเชื่อมโยงกับพลังที่เหนือกว่า และฝึกการมีเมตตาต่อตนเอง [14]
  3. การเชื่อมโยงที่หล่อหลอมผ่านการกุศลนั้นเป็นการเชื่อมโยงกับผู้อื่นที่สร้างผลลัพธ์เชิงบวกให้แก่ทั้งสองฝ่าย การช่วยเหลือผู้อื่นอาจช่วยเพิ่มความพึงพอใจในชีวิต ทำให้เรารู้สึกถึงความหมายของการมีชีวิตอยู่ เพิ่มความรู้สึกถึงความสามารถในตนเอง ลดความตึงเครียด และทำให้อารมณ์ของเราดีขึ้น [15]
    • ถ้าไม่รู้ว่าจะช่วยอย่างไร ตัวอย่างก็เช่น ช่วยดูแลลูกให้เพื่อนบ้านที่ไม่ค่อยได้ออกไปไหนกับสามีนัก สอนลูกพี่ลูกน้องตัวเล็กเล่นเครื่องดนตรี เป็นอาสาสมัครที่โรงทาน บริจาคของเล่นให้เด็กที่ขาดแคลนในช่วงวันหยุด
  4. การข้ามผ่านแต่ละช่วงของชีวิตนั้นจะง่ายขึ้นเมื่อคุณรู้ว่า เมื่อไหร่ที่คุณต้องการความช่วยเหลือและรู้ว่าจะขอความช่วยเหลือได้อย่างไร การขอความช่วยเหลือสามารถสร้างความผูกพันที่แข็งแกร่งและยังช่วยให้เพื่อนๆ หรือคนในครอบครัวรู้สึกมีความสามารถมากขึ้นด้วย [16] เรามักเข้าใจผิดว่าการขอความช่วยเหลือทำให้เราดูอ่อนแอ หรือประเมินความต้องการที่จะช่วยเหลือของคนอื่นต่ำเกินไป [17]
    • ลองคิดถึงงานบางอย่างที่คุณสามารถขอความช่วยเหลือได้
    • ลองนับความช่วยเหลือที่เคยมีคนหยิบยื่นให้คุณในอดีต
    • จับคู่ความต้องการที่เฉพาะเจาะจงของคุณกับความสามารถหรือความสนใจของคนที่เสนอตัวจะช่วย เช่น ถ้าคุณมีเพื่อนที่ชอบทำขนม และคุณก็สามารถใช้ความสามารถนี้ในการวางแผนจัดงานปาร์ตี้ได้ เธออาจจะตื่นเต้นที่ได้ช่วยก็ได้
    • สุดท้ายแล้วให้พูดออกมาตรงๆ เพราะคำขอร้องที่กำกวมมักไม่ได้รับความช่วยเหลือ เช่น คุณน่าจะได้รับความช่วยเหลือมากกว่าถ้าคุณถามว่า “คุณช่วยพาเด็กๆ ไปแข่งกีฬาทุกเช้าวันเสาร์ได้ไหมคะ” แทนที่จะบอกว่า “คุณช่วยเด็กๆ เรื่องการแข่งกีฬาบ้างได้ไหมคะ”
    โฆษณา
วิธีการ 4
วิธีการ 4 ของ 4:

ดูแลตัวเอง

ดาวน์โหลดบทความ
  1. การสร้างนิสัยออกกำลังกายเป็นประจำสามารถสร้างผลลัพธ์ที่ดีให้แก่ชีวิตของคุณได้ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอช่วยเพิ่มพลังให้แก่คุณ ช่วยให้คุณมีทัศนคติที่ดีขึ้น ช่วยควบคุมน้ำหนักและต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บ และเพิ่มอายุขัยของคุณด้วย [18]
    • หากิจกรรมสักอย่างหรือหลายๆ อย่างที่คุณทำแล้วสนุกและได้เคลื่อนไหวร่างกาย ตัวอย่างก็เช่นวิ่งจ๊อกกิ้งแถวบ้าน เข้าคลาสฟิตเนสแบบกลุ่ม พายเรือ หรือเดินเขา
  2. การบริโภคอาหารทั้งส่วนที่แท้จริงอย่างสมดุลช่วยให้คุณรู้สึกดีและช่วยให้ร่างกายของคุณทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด เลือกอาหารจากแต่ละกลุ่ม ได้แก่ ผัก ผลไม้ โปรตีน ผลิตภัณฑ์นม และธัญพืชเต็มเมล็ด [19]
    • ระวังอย่ารับประทานอาหาร เช่น อาหารจานด่วนหรือของหวานมากเกินไป
  3. พยายามนอนหลับพักผ่อนให้ได้ 7 – 9 ชั่วโมงต่อคืนเพื่อสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีสูงสุด ถ้าคุณไม่ได้นอนหลับอย่างมีคุณภาพ (และได้ปริมาณ) เป็นประจำ คุณก็มีแนวโน้มที่จะเกิดอุบัติเหตุ ต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บได้ไม่ดีนัก และมักจะตัดสินใจเลือกสิ่งที่ไม่ดีต่อสุขภาพ เช่น รับประทานอาหารจานด่วนตอนกลางคืน ทำให้การนอนเป็นสิ่งสำคัญลำดับต้นๆ เพื่อสุขภาพกาย สุขภาพจิต และภาวะทางอารมณ์ที่ดีขึ้น [20]
  4. กิจกรรมดูแลตัวเองก็คือ กิจกรรมที่หล่อเลี้ยงจิตใจและดวงวิญญาณของคุณ กิจกรรมเหล่านี้ยกระดับอารมณ์ ช่วยลดความเครียด และมอบความเข้มแข็งที่คุณจำเป็นต้องใช้เพื่อข้ามผ่านสถานการณ์ยากๆ [21]
    • นึกถึงกิจกรรมที่คุณชอบทำเพราะมันช่วยเติมพลังให้คุณ คุณอาจจะชอบนอนแช่อ่างอาบน้ำที่เต็มไปด้วยฟองสบู่หรูหราหรือไปทำเล็บ ไม่แน่ว่าคุณอาจจะแค่ชอบไปเดินเล่นในสวนสาธารณะและเดินเล่นท่ามกลางธรรมชาติ ไม่ว่ากิจกรรมที่ช่วยให้ดวงวิญญาณของคุณกระปรี้กระเปร่าจะเป็นอะไร ให้หาเวลาทำมันบ่อยๆ
    โฆษณา

คำเตือน

  • ถ้าคุณดูเหมือนจะแบกรับชีวิตไว้ไม่ไหวหรือรู้สึกสิ้นหวัง และคุณก็รู้สึกว่าตัวเองไม่สามารถข้ามผ่านช่วงเวลาของชีวิตไปได้ด้วยตัวเอง ให้ขอความช่วยเหลือ โทรศัพท์หาเพื่อนหรือคนที่คุณรักเพื่อขอการสนับสนุนและกำลังใจ
  • ถ้าคุณรู้สึกซึมเศร้า ให้ติดต่อผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตโดยเร็วที่สุด
โฆษณา

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 2,317 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา