ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

โรคเริมเป็นโรคที่บางคนเป็น บางคนไม่เป็น โรคเริมทั้งเจ็บทั้งคัน ไม่สบายตัว แถมยังน่าอายด้วย มันเป็นสิ่งสุดท้ายที่คุณอยากจะรับมือด้วยเลยแหละ แต่โชคดีที่มีขั้นตอนที่ช่วยรักษาโรคเริมได้ทันที และนอกจากจะช่วยรักษาโรคเริมแล้ว ยังช่วยยับยั้งโรคเริมไม่ให้ลุกลามและป้องกันไม่ให้กำเริบขึ้นมาอีกได้ด้วย

ส่วน 1
ส่วน 1 ของ 4:

ป้องกันโรคเริม

ดาวน์โหลดบทความ
  1. มีหลายสิ่งที่ทำให้โรคเริมกำเริบ และคุณก็ควรหลีกเลี่ยงสิ่งที่กระตุ้นให้โรคเริมกำเริบมากเป็นพิเศษ แม้แต่ความเครียดและการอดนอนก็ทำให้กลับมาเป็นเริมได้ เพราะฉะนั้นพยายามนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ [1]
    • ถ้าคุณเป็นหวัด มีไข้ หรือเป็นไข้หวัดใหญ่ ความเสี่ยงที่จะเป็นเริมก็จะเพิ่มมากขึ้นเพราะระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เพราะฉะนั้นคุณต้องได้รับวิตามินที่จำเป็นทุกชนิดและรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ
    • ประจำเดือน การตั้งครรภ์ การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน และแม้กระทั่งแสงแดดก็ทำให้เริมกำเริบขึ้นมาได้
    • ความเครียดก็กระตุ้นให้เป็นเริมได้เช่นกัน เพราะฉะนั้นทำอะไรก็ได้ที่ช่วยให้คุณผ่อนคลาย แบ่งเวลาในแต่ละวันนั่งสมาธิ หายใจลึกๆ หรือจะแค่ชงชาสักถ้วยก็ได้ ทำอะไรก็ได้ที่ช่วยให้คุณคลายเครียด
    • ความเหนื่อยล้าก็ทำให้เริมขึ้นได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นคุณต้องนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ถ้าง่วงจริงๆ จะงีบสักหน่อยก็ได้
    • การสัมผัสกับแสงแดดมากเกินไปจะทำให้ผิวหนังบริเวณนั้นเกิดการระคายเคืองและทำให้เริมขึ้นมาได้ ถ้าริมฝีปากของคุณสัมผัสกับแสงแดดมากเกินไป พยายามเอาน้ำแข็งมาประคบให้เร็วที่สุดหลายๆ นาที นอกจากนี้ให้หาลิปสติกหรือลิปบาล์มที่มีสารป้องกันแสงแดด SPF 15 หรือสูงกว่าและทาบ่อยๆ ตลอดทั้งวัน
  2. รู้จักสัญญาณที่บอกว่าเริมกำลังจะขึ้นเพื่อให้คุณจัดการกับมันได้ก่อนที่มันจะโผล่ขึ้นมาจริงๆ
    • จับแล้วเจ็บ เหมือนมีอะไรทิ่ม แสบ คัน ชา และปวดรอบริมฝีปากอาจเป็นอาการที่บอกว่าเริมกำลังจะขึ้น [2]
    • โรคเริมมักจะมาพร้อมกับอาการไข้ ไข้หวัด และไข้หวัดใหญ่ จึงมีชื่อเล่นในภาษาอังกฤษว่า “fever blisters”
    • โรคเริมมักจะมาพร้อมกับผิวหนังแดงและระคายเคืองซึ่งเป็นช่วงเตือน จากนั้นก็จะขึ้นมาเป็นแผลพุพอง แตก และเป็นสะเก็ดแข็งๆ ก่อนจะหาย
  3. โรคเริมจะมีระยะอาการนำ 6 - 48 ชั่วโมงก่อนจะขึ้นมาให้เห็น [3] ระหว่างนี้คุณอาจจะใช้วิธีการดังต่อไปนี้ป้องกันไม่ให้มันขึ้นมาเพราะเป็นช่วงเวลาที่เหมาะที่สุุด แทนที่จะปล่อยจนมันใหญ่และรุนแรงขึ้นแล้วต้องรอรักษาให้หายทีหลัง!
    • ใช้น้ำแข็งหรือแผ่นประคบเย็น [4] ประคบทุกชั่วโมงหรือให้บ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้
    • แช่ถุงชาลงในน้ำร้อน ทิ้งไว้จนเย็น และถือประคบบริเวณที่กำลังจะเป็นเริม เริมเติบโตได้ดีในความร้อน เพราะฉะนั้นอย่าลืมทิ้งถุงชาไว้ให้เย็นก่อนประคบ
  4. [5] ทาลิปบาล์มที่มีสารป้องกันแสงแดดที่ SPF อย่างน้อย 15 และทาซ้ำบ่อยๆ ตลอดทั้งวัน
  5. โรคเริมไม่ได้ เกิดจาก หวัด แต่หวัดทำให้ระบบภูมิคุ้มกันต่ำลงและอาจกระตุ้นให้เกิดเริมได้ เวลาที่คุณเป็นไข้หวัดใหญ่ เป็นหวัด หรือเป็นไข้ ระบบภูมิคุ้มกันก็จะลดลงและยุ่งกับการต่อสู้กับสิ่งอื่น
    • คุณต้องได้รับวิตามินที่ร่างกายต้องการให้ครบถ้วน รับประทานผักใบเขียวและผักสีสันสดใส แซลมอน ถั่วเปลือกแข็ง และผลไม้เยอะๆ
    • รับประทานอาหารที่อุดมด้วยกรดอะมิโนไลซีน ซึ่งจะพบได้ในเนื้อ เนื้อปลา และผลิตภัณฑ์จากนม อาจช่วยป้องกันอาการเริมได้ คุณยังสามารถรับประทานอาหารเสริมที่มีส่วนผสมของไลซีน สังกะสีและวิตามินซีเพื่อช่วยป้องกันการระคายเคือง อย่างไรก็ตาม อาหารที่อุดมด้วยอาจินีนเช่น ถั่วเปลือกแข็ง ธัญพืช ช็อกโกแล็ต และน้ำตาลทรายขาวอาจทำให้คุณมีอาการเริมได้ง่าย
    • ดื่มชาขาวและชาเขียว ชาทั้งสองชนิดนี้อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งช่วยเสริมระบบภูมิคุ้มกันและชำระล้างสารพิษออกจากร่างกาย
    • ดื่มน้ำเยอะๆ
    • นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
    โฆษณา
ส่วน 2
ส่วน 2 ของ 4:

ใช้วิธีรักษาทางการแพทย์

ดาวน์โหลดบทความ
  1. แต่ต้องจำไว้ด้วยว่ายาทาเฉพาะที่ส่วนใหญ่แค่รักษาไปตามอาการแต่ไม่ได้เร่งกระบวนการรักษาให้หายเร็วขึ้น [6] ลองใช้ยาทาเฉพาะที่ต่อไปนี้
    • โดโคซานอล (อะเบรวา) เป็นยาที่ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกาและสามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป [7]
    • แพทย์อาจสั่งยาอะไซโคลเวียร์สำหรับทาเฉพาะที่ (โซวิแรกซ์) และเพนซิโคลเวียร์ (เดนาเวียร์) ให้
    • สำหรับตัวเลือกแนวธรรมชาติ ลองทาขี้ผึ้งของน้ำมันเลมอน 1% เมื่อคุณสังเกตพบอาการปะทุเพื่อจะช่วยให้มันบรรเทาได้เร็วขึ้น คุณยังอาจใช้สารสกัดว่านหางจระเข้ 0.5% ในรูปแบบครีม
    • จะทำยาบรรเทาเริมจากธรรมชาติ ให้ผสมน้ำมันสกัดยูคาลิปตัส 5 หยด, เบอร์กาม็อต 3 หยด, และน้ำมันสกัดทีทรี 2 หยดในน้ำมัน 1 ออนซ์แล้วทาบริเวณที่เป็น
  2. ยาต้านไวรัสจะช่วยลดระยะเวลาที่เป็นเริมและมีด้วยกันหลายแบบ แต่คุณต้องได้ใบสั่งยาจากแพทย์เท่านั้นจึงจะซื้อได้ คุณจะซื้อแบบยารับประทานหรือแบบครีมก็ได้ แต่แบบที่เป็นยารับประทานมักจะได้ผลที่ดีสุดและหายเร็วสุด พยายามเริ่มใช้ยาทันทีที่มีสัญญาณว่าเริมกำลังจะขึ้น
    • เริ่มใช้ยาอะไซโคลเวียร์ (เซรีสและโซวิแรกซ์) ก่อนที่เริมจะขึ้นเต็มที่และทาวันละ 5 ครั้งเป็นเวลา 5 วัน หรือคุณจะรับประทานยาวาลาไซโคลเวียร์ (วาลเทร็กซ์) เมื่อเริมเริ่มจะขึ้น และรับประทานอีกครั้งหลังจากรับประทานยาครั้งแรกไปแล้ว 12 ชั่วโมงก็ได้
    • ยาแฟมไซโคลเวียร์ (แฟมเวียร์) เป็นยาที่รับประทานครั้งเดียวเช่นเดียวกับ Acyclovir buccal (Sitavig) แต่ให้รับประทานโดยการวางไว้บนเหงือกแทนที่จะกลืนเข้าไป แล้วให้ตัวยาออกมาขณะละลาย [8]
  3. ไลซีนซึ่งเป็นกรดอะมิโนที่เป็นองค์ประกอบในการสร้างโปรตีนนั้นช่วยรักษาและป้องกันโรคเริมได้ ไลซีนสามารถรับประทานในรูปแบบยาหรือจะทาลงบนผิวหนังโดยตรงก็ได้ และสามารถหาซื้อได้ตามร้านขายของสุขภาพทั่วไป [9]
  4. รับประทานยาไอบูโพรเฟนหรือไทลินอลเพื่อลดอาการปวด. ถึงมันจะไม่ช่วยให้เริมหายไป แต่ก็ช่วยบรรเทาความไม่สบายตัวที่เกิดจากเริมได้ แต่จำไว้อย่างว่าการที่มันไม่เจ็บก็ไม่ได้หมายความว่าคุณแพร่เชื้อให้คนอื่นไม่ได้ คุณยังต้องระมัดระวังเหมือนเดิมเพราะว่าเริมติดกันง่ายมาก!
    โฆษณา
ส่วน 3
ส่วน 3 ของ 4:

รักษาด้วยตัวเอง

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ว่านหางจระเข้ช่วยลดความเจ็บปวดและเร่งกระบวนการรักษา มันจึงเหมาะที่จะใช้ในการรักษาโรคเริม [10]
  2. ใช้น้ำแข็งหรือแผ่นประคบเย็นเพิ่มความเย็นให้ผิวบริเวณนั้น. วิธีนี้ช่วยลดอาการบวมและรอยแดง และช่วยบรรเทาอาการต่างๆ ที่เกิดจากเริม แต่ไม่ได้ช่วยให้หายเร็วขึ้น [11]
  3. วิธีนี้ไม่ได้ช่วยให้หายเร็วขึ้น แต่ทำให้คุณรู้สึกค่อยยังชั่วได้ เพราะฉะนั้นมันจึงเหมาะที่จะใช้บรรเทาอาการ [12]
  4. วิธีนี้ช่วยเร่งกระบวนการรักษาและป้องกันการติดเชื้อจากแบคทีเรีย
  5. ใช้คอตตอนบัตจุ่มน้ำแล้วป้ายลงบริเวณที่เป็นเริม จากนั้นจุ่มคอตตอนบัดลงในเกลือหรือเบกกิ้งโซดาแล้วแตะบริเวณที่เป็นเริม. ทิ้งไว้หลายๆ นาทีเพื่อให้มันดูดซึมและระบายของเหลวออกมาแล้วค่อยล้างออก ถ้าจำเป็นให้ทำซ้ำอีกหลายๆ ครั้ง แต่วิธีนี้อาจจะทำให้แสบ
    โฆษณา
ส่วน 4
ส่วน 4 ของ 4:

รู้จักโรคเริม

ดาวน์โหลดบทความ
  1. แม้ว่าคำว่าโรคเริมในภาษาอังกฤษจะเรียกว่า Cold Sore แต่โรคนี้ก็ไม่ได้เกิดจากไข้หวัดแต่อย่างใด ส่วนใหญ่มักจะเกิดจาก Herpes Simplex Virus ประเภทที่ 1 (HSV-1) ที่คุณติดจากการสัมผัสกับผิวหนังหรือของเหลวจากร่างกายของผู้ที่ติดเชื้อ เมื่อติดเชื้อแล้ว Herpes Virus ตัวนี้จะติดตัวคุณไปตลอดชีวิต ถึงคุณจะไม่สามารถกำจัดไวรัสตัวนี้ออกไปได้ แต่คุณสามารถลดความถี่ในการกลับมาเป็นเริมได้ [13]
    • Herpes Virus จะทำลายผิวหนังขณะที่มันแพร่พันธุ์ ทำให้คุณรู้สึกปวดแสบปวดร้อนอยู่ประมาณ 1 สัปดาห์
    • ระหว่างที่เริมขึ้นในแต่ละช่วง HSV-1 จะซ่อนอยู่ในเซลล์ประสาท จึงไม่สามารถหายขาดได้เป็นปลิดทิ้ง ประชากรจำนวน 2 ใน 3 ติดเชื้อไวรัส HSV-1
    • พอผิวของคุณเริ่มแดงและคัน ก็เท่ากับว่าไวรัสปรากฏตัวแล้วและคุณก็สามารถแพร่เชื้อได้ คุณจะแพร่เชื้อได้มากที่สุดในช่วงที่เป็นแผลพุพอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่มันเพิ่งระเบิดออกมา พอคุณหายแล้วคุณจะไม่สามารถแพร่เชื้อไวรัสจากผิวสู่ผิวได้อีก แต่คุณก็ยังแพร่เชื้อทางน้ำลายได้เสมอ
  2. ไวรัสมักจะมาจากการหอมของบรรดาญาติๆ หรือคนรัก เท่ากับว่ามันมากับของเหลวในร่างกาย เริมมักจะปรากฎบนริมฝีปากของคนที่ติดเชื้อแม้ว่ามันอาจจะไม่ได้รู้สึกเจ็บเท่าไหร่ก็ตาม จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเราถึงต้องรู้ว่าอะไรบ้างที่เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าเริมกำลังจะขึ้น เพื่อที่คุณจะได้ไม่แพร่เชื้อต่อให้คนอื่น
    • อย่าใช้อุปกรณ์รับประทานอาหารหรือเครื่องดื่มร่วมกับคนอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าคุณมีเริมขึ้นอยู่ที่ริมฝีปาก ไวรัสมักจะอยู่ในน้ำลาย เพราะฉะนั้นคุณอาจจะแพร่เชื้อไปสู่คนอื่นได้หากคุณใช้อุปกรณ์รับประทานอาหารหรือแก้วน้ำร่วมกับผู้อื่น
    • อย่าใช้ผ้าเช็ดตัว มีดโกน หรือแปรงสีฟันร่วมกับผู้อื่น
    • อย่าใช้ลิปมัน ลิปสติก ลิปบาล์ม ลิปกลอส หรือลิปอื่นๆ ร่วมกับผู้อื่น
    • หลีกเลี่ยงการจูบคนรักในช่วงที่เริมขึ้น เปลี่ยนไปจูบแบบผีเสื้อและจูบแบบเอสกิโมไปพลางๆ จนกว่าเริมจะหายไปแล้ว
    • การมีเซ็กส์ทางปากโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่เป็นเริมสามารถแพร่เชื้อ Herpes Virus จากริมฝีปากไปยังอวัยวะเพศหรือจากอวัยวะเพศไปยังริมฝีปากได้
    โฆษณา

เคล็ดลับ

  • ใช้คอตตอนบัดจิ้มลิปสติกหรือลิปบาล์มแทนการทาลงบนริมฝีปากโดยตรง
  • หาลิปสติกหรือลิปบาล์มที่มีค่าการป้องกันแสงแดดที่ SPF 15 หรือมากกว่า และทาซ้ำบ่อยๆ
  • รู้สัญญาณและสิ่งที่บอกว่าเริมกำลังจะขึ้น (ตามที่กล่าวไว้ด้านบน) เพื่อให้รู้ว่าเริมจะขึ้นก่อนที่มันจะขึ้นมาบนผิวหนังจริงๆ และเพื่อป้องกันไม่ให้เริมปะทุเป็นรอยน่าเกลียด
  • เริมจะขึ้นที่ไหนบนใบหน้าก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นคาง แก้ม หรือจมูก และมักมักจะขึ้นอยู่ที่เดิม
  • เริมสามารถแพร่ไปยังส่วนอื่นของร่างกายได้ วิธีป้องกันคือว่าพยายามอย่าจับเริมและล้างมือบ่อยๆ
  • ล้างมือบ่อยๆ เวลาที่เป็นเริม (และโดยทั่วไปคุณก็ควรล้างมือบ่อยๆ อยู่แล้ว) คุณไม่ควรเอามือไปแตะเริม แต่ถ้าคุณเผลอแตะ ให้ล้างมือทันที
  • ดูแลระบบภูมิคุ้มกันด้วยการรับประทานวิตามินและดื่มชาเขียวกับชาขาว ชาเขียวกับชาขาวมีสารเคมีน้อยและไม่ผ่านกรรมวิธีมากจนเกินไป จึงรักษาสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประโยชน์ได้เป็นส่วนใหญ่ ช่วยป้องกันไม่ให้เริมขึ้นได้ตั้งแต่แรก
  • ใช้คอตตอนบัดทาว่านหางจระเข้ลงบนเริม
  • อย่าจับหรือเลียเริม เพราะจะยิ่งทำให้เริมหายช้าและอาจแพร่เชื้อไปยังบริเวณอื่นๆ ได้
  • ใช้น้ำมะนาวเข้มข้นทาลงบนเริมเพื่อให้หายเร็วขึ้น แต่จำไว้ว่ามันจะแสบ
โฆษณา

คำเตือน

  • การทำความสะอาดเริมด้วยเกลืออาจทำให้แสบ
  • อย่าเอานิ้วแตะเริม เพราะจะยิ่งทำให้เกิดการระคายเคืองนานขึ้นและเพิ่มโอกาสเสี่ยงที่จะแพร่เชื้อไวรัสด้วย
  • อย่าใช้เครื่องสำอางปกปิดเริม เพราะรองพื้นและการใช้เครื่องสำอางปกปิดเริมจะยิ่งทำให้อาการแย่ลง
  • อย่านำคอตตอนบัด ทิชชู่ ผ้าเช็ดตัว หรือผ้าขัดตัวที่สัมผัสกับเริมมาใช้ซ้ำ
  • ช่วงที่เป็นเริมให้ซักและเปลี่ยนปลอกหมอนทุกคืน
  • ถ้าอาการของเริมร้ายแรงมากๆ หรือเป็นบ่อย ให้ไปพบแพทย์หรือนัดพบตจแพทย์ (แพทย์ผิวหนัง)
  • ช่วงที่เริมขึ้น อย่าจูบหรือมีเพศสัมพันธ์ทางปากเพื่อไม่ให้แพร่เชื้อไวรัสไปยังผู้อื่น
  • เวลาล้างเริม อย่าให้น้ำเข้าไปในดวงตาเด็ดขาด เพราะถ้าของเหลวจากเริมไหลเข้าดวงตา มันจะแพร่เชื้อ Herpes Virus ไปที่ดวงตาซึ่งอาจทำให้เกิดการติดเชื้อหรือแผลที่กระจกตาได้ ซึ่งเป็นภาวะที่อันตรายมากๆ ที่เรียกว่าการเป็นเริมที่ดวงตา (Ocular Herpes) ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการตาบอดเนื่องจากตาดำขุ่นมัวในสหรัฐอเมริกา
  • อาหารเค็มๆ หรือเปรี้ยวๆ ถ้าถูกแผลอาจจะยิ่งทำให้ปวดแสบปวดร้อนมากขึ้น อาหารที่ตระกูลส้มอย่างน้ำมะนาวจะทำให้แสบมากๆ
โฆษณา

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 10,806 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา