ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

คนทั่วไป ถ้าไม่ใช่นายแบบนางแบบ จะมีพุงบ้างก็ถือเป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าอยากฟิตแอนด์เฟิร์มให้ดูผอมลีนขึ้นก็ทำได้ ถึงจะหน้าท้องแบนราบไม่ได้ในเวลาแค่ 2 อาทิตย์ แต่ก็พอเปลี่ยนแปลงไปได้บ้าง ถ้าลดน้ำหนักและไขมันส่วนเกินของทั้งร่างกาย ที่ต้องทำก็คือกินอาหารอย่างเหมาะสม (ลดแคลอรี่ในแต่ละวัน) เพิ่มการออกกำลังกาย และปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตบางอย่าง ต่อเนื่องไปสัก 2 อาทิตย์ หลังจากนั้นก็ควรทำต่อไปจนเป็นนิสัย ถ้าไม่อยากให้หน้าท้องแบนราบกลับมาเป็นห่วงยาง!

วิธีการ 1
วิธีการ 1 ของ 3:

เลือกกินลดพุง

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ผักนี่แหละแคลอรี่ต่ำแต่อุดมไปด้วยวิตามิน สารต้านอนุมูลอิสระ และไฟเบอร์ กินแล้วอิ่มนานแถมมีประโยชน์ต่อร่างกาย ให้กินผักประมาณ 2-3 ถ้วยตวงต่อวัน เพื่อลดแคลอรี่ใน 2 อาทิตย์นี้ ลองเข้าเว็บ https://www.choosemyplate.gov/vegetables ไปดูว่าผักต่างๆ ที่ปรุงสุกและยังดิบ ในปริมาณ 1 ถ้วยตวง ให้แคลอรี่เท่าไหร่ [1] พยายามกินให้ได้ครบสีเป็นสายรุ้งทุกวันเลย!
    • เริ่มจากผักใบเขียวและผักต่างๆ แล้วค่อยขยับขยายไปอาหารแคลอรี่สูงอื่นๆ อย่างโปรตีนและคาร์โบไฮเดรต
  2. เพิ่ม โปรตีนไขมันต่ำ ในแต่ละมื้อ จะช่วยสร้างกล้ามเนื้อได้เร็วขึ้น. โปรตีนช่วย สร้างมวลกล้ามเนื้อลีนๆ คือเผาผลาญแคลอรี่ได้ตลอดวัน กระทั่งตอนนั่งเฉยๆ! เพราะงั้นพยายามให้ 15% ถึง 20% ของแคลอรี่ประจำวันเป็นโปรตีนไขมันต่ำ (หรือมากกว่านั้น ถ้าปกติเป็นคน active ออกกำลังกายแทบทุกวัน) [2]
    • อาหารแนะนำคือไข่ขาว ปลา ไก่ หรือเนื้อแดงเป็นชิ้นๆ พยายามให้ลายหินอ่อนหรือไขมันบนชิ้นน้อยที่สุด
    • แหล่งโปรตีนที่ไม่ใช่เนื้อสัตว์ แต่ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อก็เช่น เต้าหู้ เทมเป้ seitan (โปรตีนข้าวสาลี) ถั่วฝัก ถั่วเมล็ดกลม และถั่วเลนทิล
  3. ร่างกายต้องได้รับแคลเซียมและ วิตามินดี เพียงพอ. ผลิตภัณฑ์นมนี่แหละแหล่งแคลเซียมและวิตามินดีที่แนะนำ เขาวิจัยกันมาแล้วว่าช่วยให้น้ำหนักลดในเวลาอันสั้น ผู้หญิงอายุต่ำกว่า 50 ปี และผู้ชายอายุต่ำกว่า 70 ปี ควรได้รับแคลเซียม 1,000 มก. และวิตามินดี 600 IU ต่อวัน ส่วนผู้หญิง 50 ปี และผู้ชาย 70 ปีขึ้นไป ควรได้รับแคลเซียม 1,200 มก. และวิตามินดี 800 IU ต่อวัน [3]
    • ทั้งกรีกโยเกิร์ตโปรตีนสูง นมวัว นมถั่ว และชีสไขมันต่ำ พวกนี้กินแล้วอิ่ม ลด calcitriol ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่สั่งให้ร่างกายกักตุนไขมันเพิ่มเติม
    • ให้กินโยเกิร์ตไม่แต่งรสหวาน หรือหวานน้อยมาก อย่าเลือกโยเกิร์ตที่แต่งรสหวานกลบรสเปรี้ยว ถ้าใครไม่ชอบโยเกิร์ตรสธรรมชาติเพียวๆ จะใส่ผลไม้ลงไปด้วยก็ได้ เช่น บลูเบอร์รี่หรือราสเบอร์รี่สด
    • นอกจากนี้พวกชีสต่างๆ ก็ดี เช่น มอซซาเรลล่า เฟต้า โกทชีส และคอทเทจชีส
    • นอกเหนือไปจากผลิตภัณฑ์นม พวกผักใบเขียว (อย่างคอลลาร์ด เคล เบบี้บร็อคโคลี่ ถั่วเหลือง) น้ำส้ม อิงลิชมัฟฟิน นมถั่วเหลือง และซีเรียล ก็เป็นแหล่งแคลเซียมและวิตามินดีประจำวันได้เช่นกัน
  4. เปลี่ยนจากธัญพืชที่ผ่านการแปรรูป ขัดสี ไปกินโฮลเกรน ไฟเบอร์สูง แทน. พวกธัญพืชขัดสี (เช่น ขนมปังขาว พาสต้าขาว ข้าวขาว) จะมีสารอาหารน้อยกว่าโฮลเกรน อย่างหลังนอกจากกินแล้วอิ่ม ยังลดความเสี่ยงเกิดโรคหัวใจ โรคอ้วน มะเร็งบางชนิด และโรคเบาหวาน ที่สำคัญคือโฮลเกรนไฟเบอร์สูงมาก ช่วยลดอาการตัวบวมท้องอืดได้ใน 2 อาทิตย์ที่กิน [4]
    • ขนมปังโฮลเกรนน่าจะหาได้ง่ายที่สุด แต่ถ้าเป็นไปได้ให้เลือกอาหารไฟเบอร์สูงอย่างคีนัว ข้าวป่ายักษ์ (wild rice) ถั่วเลนทิล ถั่วฝัก กะหล่ำดาว บร็อคโคลี่ ข้าวโอ๊ต แอปเปิ้ล กล้วย เมล็ดแฟลกซ์ และ เมล็ดเจีย จะดีที่สุด
    • ผู้หญิงควรได้รับไฟเบอร์วันละ 25 กรัม ส่วนผู้ชายคือ 38 กรัม [5]
    • ปริมาณคาร์โบไฮเดรตวันละประมาณ 300 กรัม (ถ้ากินวันละ 2,000 แคลอรี่) ถือว่าปกติ แต่ถ้าลดเหลือวันละ 50 - 150 หรือ 200 กรัมต่อวัน ไปประมาณ 2 อาทิตย์ จะช่วยให้ลดน้ำหนักได้เร็วขึ้นกว่าเดิม [6]
  5. เปลี่ยนจากไขมันอิ่มตัว (saturated fat) ไปเป็นไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว (monounsaturated fat) ที่มีโอเมก้า-3. ไขมันดีอย่างอะโวคาโด น้ำมันมะกอก เมล็ดแฟลกซ์ เมล็ดเจีย ถั่วเปลือกแข็ง และเนยถั่ว พวกนี้มีกรดไขมันโอเมก้า-3 (มีผลต่อการเผาผลาญและกักเก็บไขมันของร่างกาย) นอกจากนี้ยังช่วยให้กระฉับกระเฉง อิ่มนาน ไม่ต้องกินของจุกจิกระหว่างมื้อ [7]
    • คนที่กินอาหารมีกรดไขมันโอเมก้า-3 สูงๆ จะมี visceral fat (ไขมันในช่องท้อง ไขมันร้ายที่เกาะรอบๆ อวัยวะ) น้อยกว่า และลดความเสี่ยงการเป็นเบาหวาน
    • ไขมันไม่ใช่อาหารแคลอรี่ต่ำ เพราะงั้นให้ระวังอย่ากินมากเกินพิกัด! พยายามจำกัดปริมาณน้ำมันมะกอกกับเนยถั่วให้ไม่เกิน 2 ช้อนโต๊ะ (6 ช้อนชา) ต่อวัน (2 - 3 หน่วยบริโภค) ในช่วง 2 อาทิตย์นี้
    • ปริมาณกรดไขมันโอเมก้า-3 ที่แนะนำต่อวัน คือประมาณ 1.5 กรัม สำหรับผู้ชาย และประมาณ 1 กรัม สำหรับผู้หญิง
    • อย่าลืมรักษาสมดุลระหว่างกรดไขมันโอเมก้า-3 กับโอเมก้า-6! แหล่งไขมันนี้ก็เช่น น้ำมันดอกคำฝอย น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันข้าวโพด น้ำมันถั่วเหลือง เมล็ดทานตะวัน วอลนัท และเมล็ดฟักทอง [8]
  6. กินโฮลเกรน โปรตีนไขมันต่ำ และไขมันดีเป็นอาหารว่าง. ของว่างก็สำคัญ เพราะช่วยรักษาสมดุลระดับน้ำตาลในเลือด และเพิ่มอัตราการเผาผลาญหรือ metabolism จุดสำคัญอยู่ที่วิธีและเวลาในการกินของว่าง! แทนที่จะกินแต่ของหวานๆ ให้กินอาหารไม่ผ่านการแปรรูป เช่น ผลไม้ ถั่ว และโฮลเกรน ให้กินของว่างเฉพาะตอนที่หิวเท่านั้น (แค่ 2 ครั้งคั่นระหว่างมื้อหลัก จะดีที่สุด) และอย่าให้เกิน 100 - 150 แคลอรี่ แบบนี้น้ำหนักถึงจะลดเร็ว
    • เตรียมของว่างที่ดีต่อสุขภาพไว้ในกระเป๋า ลิ้นชักโต๊ะทำงาน หรือในรถ (ที่ไหนก็ตามที่คุณหิวตอนสายๆ หรือบ่ายๆ แล้วหยิบมากินได้ทันที)
    • พวกโปรตีนบาร์หรือ snack bar สำเร็จรูป มักมีน้ำตาลเยอะ มีไขมันที่ไม่ดีต่อสุขภาพ และส่วนผสมต่างๆ ที่ผ่านกระบวนการมากมาย แนะนำให้อ่านฉลากดีๆ ว่าปริมาณและแคลอรี่เท่าไหร่ รวมถึงมีอะไรบ้าง ถ้าเจอคำว่า “high fructose corn syrup” และ/หรือ “fractionated palm kernel oil” ก็อย่ากิน snack bar นั้นจะดีกว่า! [9]
    • เช่น โปรตีนเชคหรือสมูธตี้ผสมโยเกิร์ต เนยอัลมอนด์ และโอ๊ตมีล หรือแอปเปิ้ลหั่นชิ้น กับถั่วลิสง 2 ช้อนโต๊ะ (6 ช้อนชา) เมล็ดทานตะวัน หรือเนยอัลมอนด์ พวกนี้กินแล้วอิ่มนาน แต่มีโปรตีน ไขมัน และไฟเบอร์ ดีต่อสุขภาพ
  7. คนที่ชอบกินของหวาน หรือดื่มน้ำผลไม้ น้ำอัดลมหวานๆ มักมีไขมันที่พุงเป็นชั้นๆ เพราะน้ำตาลกับแคลอรี่ส่วนเกิน แนะนำให้ดื่มน้ำเปล่าแทน และจำกัดของหวานให้เหลือแค่อาทิตย์ละ 1 ครั้ง ไปอีก 2 อาทิตย์ คุณถึงจะผอมเร็ว สำคัญมากว่าเวลากินต้องมีสติ อย่ากินเกินพิกัด! [10]
    • ถ้าปกติขาดหวานไม่ได้ ให้เปลี่ยนไปเป็นน้ำตาลในธรรมชาติแทน เช่น สตรอว์เบอร์รี่ หรือดาร์กช็อคโกแลต (ทั้ง 2 อย่างมีสารต้านอนุมูลอิสระ) หรือดีกว่านั้น คือทำสตรอว์เบอร์รี่เคลือบดาร์กช็อคโกแลตซะเลย!
  8. ซูเปอร์ส่วนใหญ่จะจัดวางอาหารหรือวัตถุดิบตามธรรมชาติไว้รอบนอก แต่พวกอาหารแปรรูปที่ไม่ค่อยมีประโยชน์จะอยู่ตรงกลางเด่นเลย ให้พยายามเลียบรอบร้าน แล้วเลือกผักผลไม้หลากสีให้เต็มตะกร้า
    • ช่วง 2 อาทิตย์ต่อไปนี้ ให้เลือกซื้อแต่โฮลเกรน ผัก ผลไม้ และโปรตีนไขมันต่ำ
  9. ปริมาณอาหารสำคัญมากต่อการลดน้ำหนัก (และไขมัน) ไม่ว่าจะทำอาหารเอง หรือกินอาหารตามร้าน (โดยเฉพาะร้านที่จานใหญ่พิเศษ) ต้องกินอย่างมีสติ อย่าตบะแตก [11]
    • เวลากินตามร้าน ให้แบ่งอาหารกินเล่นกับเพื่อน หรือพกกล่องทัพเพอร์แวร์ไปเก็บอาหารครึ่งมื้อของคุณ เพื่อไม่ให้กินเยอะเกินไป
    • คุณใช้มือกะปริมาณอาหารได้โดย...
      • ผักปรุงสุก ซีเรียลที่ยังไม่ใส่นม ผลไม้ทั้งลูกหรือหั่นแล้ว: 1 กำมือ = 1 ถ้วยตวง (16 ช้อนโต๊ะ)
      • ชีส: 1 นิ้วชี้ = 1.5 ออนซ์ (43 กรัม)
      • บะหมี่ ข้าว ข้าวโอ๊ต: 1 ฝ่ามือ = 0.5 ถ้วยตวง (8 ช้อนโต๊ะ)
      • โปรตีน: 1 ฝ่ามือ = 3 ออนซ์ (85 กรัม)
      • ไขมัน: 1 นิ้วโป้ง = 1 ช้อนโต๊ะ (3 ช้อนชา)
    โฆษณา
วิธีการ 2
วิธีการ 2 ของ 3:

กายบริหารต้านไขมัน

ดาวน์โหลดบทความ
  1. จ็อกกิ้ง วิ่ง หรือเดินเร็ว เพื่อเผาผลาญแคลอรี่และไขมันทุกวัน เป็นเวลา 2 อาทิตย์ การออกกำลังกายแบบแอโรบิกทำให้ร่างกายหลั่งเอนดอร์ฟินส์ ทำให้คุณรู้สึกมีความสุขและมั่นใจกว่าเดิม หลังได้เสียเหงื่อมาสักพัก อารมณ์ดีๆ นี่แหละที่จะช่วยให้คุณผ่าน 2 อาทิตย์ ที่ต้องเหนื่อยกับการลดแคลอรี่และขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวเยอะๆ ไปได้ อย่าเพิ่งถอดใจนะ!
    • แนะนำให้ปรึกษาคุณหมอก่อนเริ่มโปรแกรมออกกำลังกายใหม่ๆ
    • ถ้าคุณเพิ่งเคยออกกำลังกาย ให้เริ่มจากแบบที่ช้าๆ ง่ายๆ จนออกได้นาน 30 - 40 นาที เช่น เริ่มจากจ็อกกิ้ง 15 นาที แล้วเดินอีก 15 นาที พอผ่านอาทิตย์แรกไปได้ ให้จ็อกกิ้ง 30 นาทีเต็มๆ โดยเพิ่มความเร็วและความแรง
  2. เลือกการออกกำลังกายแบบแอโรบิกที่คุณชอบและทำต่อเนื่องได้นาน. เลือกกิจกรรมที่คุณทำแล้วสนุก เพื่อให้ทำต่อเนื่องได้ถึง 2 อาทิตย์ ทั้งว่ายน้ำ ต่อยมวย เต้น และกีฬาอื่นๆ ถือเป็นการออกกำลังกายแบบแอโรบิกประจำวัน 30 นาที (ขึ้นไป) ได้ ไม่ว่าคุณจะเลือกกิจกรรมไหน ขอแค่ทำแล้วหัวใจเต้นเร็ว 20 - 30 นาทีขึ้นไป และเหงื่อออกเยอะๆ
    • ว่ายน้ำก็เป็นกีฬาแบบ low-impact ที่แนะนำ เพราะมีแรงกระแทกน้อย ไม่ทำให้ปวดข้อ
    • เข้าคอร์สเต้นกับเพื่อนๆ หรือครอบครัวก็สนุกดี!
  3. การยกเวทช่วยสร้างกล้ามเนื้อลีนๆ ที่ดีต่อระบบเผาผลาญ ทำให้เบิร์นไขมันได้มากระหว่างวัน แนะนำให้ทั้งเล่นเวทและแอโรบิก เพื่อให้ลดน้ำหนักได้เร็วและเห็นผลกว่าการออกแค่แบบใดแบบหนึ่ง [12]
    • ย้ำว่าการเล่นเวทไม่ถือเป็นแอโรบิกวันละ 30 นาที
    • ถ้าไม่รู้ว่าต้องยกดัมเบลท่าไหน แนะนำให้เล่นเครื่องแทน
    • ถ้าจะชั่งน้ำหนักทุก 2 - 3 วัน ก็ท่องไว้ว่า กล้ามเนื้อนั้นหนักกว่าไขมัน แต่ไม่ต้องเครียดไป กล้ามเนื้อพวกนี้จะช่วยให้ห่วงยางที่พุงยุบเร็วใน 2 อาทิตย์แน่นอน!
    • เริ่มจากท่าง่ายๆ แต่นิยมทำกัน อย่าง bicep curl, วิดพื้น, ดึงข้อ, tricep curl, lateral raise และ chest press
    • ทำซ้ำเซ็ตละ 8 - 10 ครั้ง ทั้งหมด 3 เซ็ต แนะนำให้ยกเวทที่น้ำหนักพอประมาณ คือยกถูกท่าได้เต็มเซ็ต แต่ก็ต้องพักระหว่างเซ็ตด้วย
  4. การออกกำลังกายแบบ HIIT ช่วยเพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจ แถมทำให้กล้ามเนื้องง ไม่เกิดความเคยชินจนหยุดพัฒนา นอกจากนี้ยังช่วยเบิร์นแคลอรี่เยอะมากในเวลาอันสั้น (ตรงข้ามกับการออกกำลังกายเบาๆ รูปแบบเดิมๆ) พยายามออก HIIT ให้ได้อาทิตย์ละ 3 - 4 ครั้งขึ้นไป (หรือจัดตารางออก HIIT สั้นๆ ทุกวัน เพิ่มเติมจากแอโรบิกก็ได้) [13]
    • เช่น วิ่งสุดแรงตอนจ็อกกิ้งสัก 30 - 60 วินาที จากนั้นจ็อกกิ้งเร็วปานกลาง 2 - 4 นาที แล้วค่อยวิ่งสุดแรงอีกรอบ
    • กระทั่ง การเดิน ธรรมดา ก็ปรับให้เป็น HIIT ได้ โดยเพิ่มความเร็วและขึ้นเนิน การเดินเหมาะสำหรับคนที่มีปัญหาข้อเข่าหรือข้อต่ออื่นๆ ต่อไปนี้คือตัวอย่างการเดินลู่ 20 นาทีที่ทำให้เป็น HIIT ได้
      • วอร์มร่างกาย 3 นาที ความชัน 5%
      • เดินเร็ว 3 นาที ความชัน 7%
      • เดินเร็ว 2 นาที ความชัน 12%
      • เดินเร็วปานกลาง 2 นาที ความชัน 7%
      • เดินเร็ว 2 นาที ความชัน 12%
      • เดินช้าถึงเร็วปานกลาง 2 นาที ความชัน 15%
      • เดินเร็วปานกลาง 1 นาที ความชัน 10%
      • เดินเร็ว 2 นาที ความชัน 12%
      • คูลดาวน์ 3 นาที ความชัน 5%
  5. บริหารกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัวทุกวัน เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรง กระชับ และปรับกล้ามเนื้อให้ได้สมดุล. การบริหารกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว ช่วยสร้างและกระชับกล้ามเนื้อหน้าท้องและหลัง ต้องทำความเข้าใจกันก่อน ว่าคุณกระชับกล้ามเนื้อ “เฉพาะจุด” ไม่ได้ ลดก็ลดทั้งตัว แต่ยิ่งเน้นกล้ามเนื้อกลางลำตัวเท่าไหร่ ก็ยิ่งได้กล้ามเนื้อลีน ทำให้เพิ่มแคลอรี่ที่เผาผลาญระหว่างวัน
    • ของแถมที่ได้ คือ ท่าทาง ของคุณจะดูดีขึ้นในแค่อาทิตย์เดียวหลังฝึกกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว (ทำให้ดูลีนขึ้น)!
    • ลองเล่นโยคะท่าเบสิก เช่น plank, warrior twist และ cobra เพื่อยืดเหยียดและกระชับกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว
    เคล็ดลับจากผู้เชี่ยวชาญ

    Laura Flinn

    เทรนเนอร์ที่มีใบรับรองจาก NASM
    ลอร่า ฟลินน์เป็นเทรนเนอร์ที่ได้ใบรับรองจากสถาบันแพทยศาสตร์การกีฬาแห่งชาติ (NASM) เป็นโค้ชให้กับทีมกีฬายกน้ำหนักในกีฬาโอลิมปิกของสหรัฐ และเป็นนักโภชนาการที่มีใบรับรอง และยังเป็นครูฝึก TRX Suspension ที่มีใบรับรองด้วย ลอร่าจัดทำโปรแกรมการฝึกร่างกายขึ้นมาเองและมีความเชี่ยวชาญในเรื่องการลดน้ำหนัก การสร้างกล้ามเนื้อ การฝึกแบบคาร์ดิโอ และการฝึกความแข็งแกร่ง
    Laura Flinn
    เทรนเนอร์ที่มีใบรับรองจาก NASM

    การออกกำลังกายบริหารแกนกลางลำตัวจะช่วยให้คุณดูกระชับยิ่งขึ้น แต่มันไม่จำเป็นว่าจะต้องสลายไขมันตรงบริเวณนั้น โชคร้ายที่เราไม่สามารถลดไขมันได้เฉพาะจุด กระนั้น การผสมผสานระหว่างการรับประทานอาหารแบบคลีน คาร์ดิโอ และการออกกำลังกายแบบเสริมความแข็งแกร่งจะช่วยเผาผลาญไขมันโดยรวมได้ และการออกกำลังกายบริหารแกนกลางลำตัวจะช่วยทำให้หน้าท้องดูกระชับและแข็งแรงขึ้นได้

  6. ให้ขึ้นบันไดหรือเดินเยอะๆ ไปอีก 2 อาทิตย์ เดินย่อยหลังมื้ออาหาร สัก 10 - 20 นาที ช่วยเบิร์นแคลอรี่ส่วนเกิน ให้ระบบเผาผลาญดี [14]
    • ลงป้ายรถเมล์หรือสถานีรถไฟฟ้าที่ห่างจากจุดหมายไป 1 - 2 ป้าย/สถานี แล้วเดินต่อไปจนถึงปลายทาง
    • เดินไปที่ต่างๆ อย่างเซเว่นใกล้บ้าน แทนการขับรถหรือนั่งมอเตอร์ไซค์
    • จะดีที่สุดถ้าเดินหรือขี่จักรยาน นั่งมอเตอร์ไซค์ไปทำงาน ไปเรียน
    • ขึ้นบันไดแทนลิฟต์และบันไดเลื่อน
    โฆษณา
วิธีการ 3
วิธีการ 3 ของ 3:

ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต

ดาวน์โหลดบทความ
  1. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และ หาทางคลายเครียด . ถึงอาหารและการออกกำลังกายจะสำคัญ แต่การนอนและระดับความเครียดก็ส่งผลต่อการใช้งานและกักตุนไขมันในร่างกายเช่นกัน ถ้านอนน้อย เครียดจัด ฮอร์โมน cortisol ยิ่งเพิ่ม ทำให้ร่างกายเข้าใจว่าต้องกักตุนไขมันรอบเอว เพราะงั้นถ้ามีเรื่องเครียด ปัญหางาน ครอบครัว ใน 2 อาทิตย์นี้ พยายามหาอะไรทำคลายเครียดซะ [15]
    • พยายาม ฝึกสมาธิ ให้ได้วันละ 10 นาทีขึ้นไป โยคะช่วยคลายเครียดได้ดี แถมช่วยกระชับกล้ามเนื้อ และเบิร์นแคลอรี่ด้วย!
    • ปรึกษาคุณหมอดีกว่า ถ้าคิดว่าตัวเองมีปัญหาเรื่องการนอน (เช่น โรคนอนไม่หลับ หรือภาวะหยุดหายใจขณะหลับ) จนทำให้พักผ่อนไม่เพียงพอ
  2. อย่าสวนล้างลำไส้ ดื่มแต่น้ำ หรือลดน้ำหนักแบบอื่นๆ ที่ส่งผลเสียต่อร่างกาย. การสวนล้างลำไส้จะช่วยเรื่องลดน้ำหนักได้ก็ต่อเมื่อกินอาหารดีมีประโยชน์ในปริมาณที่เหมาะสมควบคู่กันไปด้วย (เพราะอาหารเหลวหรือเครื่องดื่มให้สารอาหารไม่เพียงพอ) ไม่ว่าตอนนี้คนจะฮิตลดน้ำหนักแปลกแหวกแนวแค่ไหน ก็บอกเลยว่าไม่มีอะไรทำให้คุณผอมเร็วง่ายๆ เหมือนดีดนิ้วแน่นอน!
    • Fad diet จริงๆ แล้วอันตรายมากกว่าเห็นผล โดยเฉพาะถ้าร่างกายได้รับแคลอรี่ไม่เพียงพอ หรืองดอาหารบางหมู่ไปเลย (ทำให้ขาดสารอาหาร) [16]
  3. กินน้อยไป ทำให้ร่างกายเข้าใจว่าต้องเข้าสู่โหมดกักตุนไขมัน เพราะงั้นให้กินอาหารเช้า อาหารว่างที่มีประโยชน์ และอาหารสดไม่แปรรูป ผู้หญิงอย่ากินเกิน 1,200 แคลอรี่ต่อวัน และผู้ชายอย่ากินเกิน 1,500 แคลอรี่ต่อวัน การลดแคลอรี่ประจำวันไป 500 - 1,000 แคลอรี่ ถือเป็นการลดน้ำหนักแบบปลอดภัยต่อสุขภาพ จริงๆ แล้วเวลา 2 อาทิตย์สั้นนิดเดียว เพราะงั้นให้พยายามลดให้ได้วันละ 700 - 1,000 แคลอรี่ [17]
    • ระวังแคลอรี่ส่วนเกินในแต่ละมื้อ วิธีแก้ก็เช่น ใส่มัสตาร์ดในแซนวิชแทนมายองเนส แล้วกินขนมปังแค่แผ่นเดียว หรือเปลี่ยนขนมปังเป็นผักกาดไม่ก็แป้งห่อ
    • ใช้กะหล่ำดอกแทนข้าว จะสร้างสรรค์เมนูไหนก็ตามสบาย เช่น ข้าวผัด ข้าวหน้าต่างๆ กระทั่งข้างเคียง
    • เปลี่ยนเส้นพาสต้าเป็น เส้นซุกินี หรือสปาเก็ตตี้จากน้ำเต้าสควอช จะช่วยลดแคลอรี่ได้
    • ใช้แอพหรือเว็บคำนวณแคลอรี่ เพื่อหาแคลอรี่ประจำวันที่ร่างกายคุณต้องการถ้าจะลดน้ำหนัก
  4. อย่าถึงขั้น นับแคลอรี่ จนเครียด. ถึงลดแคลอรี่ที่ร่างกายได้รับในแต่ละวัน จะช่วยให้ลดน้ำหนักได้ แต่ขอให้เน้นที่คุณภาพไม่ใช่ปริมาณ อย่าไปนับแคลอรี่แต่ละมื้อเคร่งจนเครียด เดี๋ยวจะพาลรู้สึกไม่ดีกับตัวเองจนกินไม่ลง พยายามกินแบบมีสติ อย่าเกินแคลอรี่ที่กำหนดไว้ แต่ก็ไม่ต้องคำนวณตัวเลขเป๊ะๆ เน้นกินอาหารดีมีประโยชน์ต่อร่างกายใน 2 อาทิตย์นี้จะดีกว่า (นานกว่านั้นยิ่งดี!) [18]
    • เช่น แอปเปิ้ล 100 แคลอรี่ ก็ดีต่อร่างกาย มากกว่าพายแอปเปิ้ล 100 แคลอรี่แน่นอน เพราะแอปเปิ้ลมีน้ำตาลตามธรรมชาติ แถมไฟเบอร์สูง ในขณะที่พายเป็นน้ำตาลที่เติมเข้าไป มีไขมันอิ่มตัว แถมเป็นแป้ง (คาร์โบไฮเดรต) ทั้งนั้น
  5. ฝึกกินแบบมีสติ เพื่อให้กินช้าลง อิ่มเร็วขึ้น ทั้งที่กินน้อยลง. กินตอนรีบเร่งหรือไม่มีสมาธิจดจ่อ จะทำให้กินไม่รู้รสอาหาร แถมอิ่มช้า แนะนำให้กินช้าลง ตั้งใจกิน รับรู้สัมผัสและรสชาติต่างๆ ของอาหาร คนที่กินแบบมีสติจะกินช้า ทำให้อิ่มเร็วทั้งๆ ที่กินน้อย [19]
    • ปิดมือถือ ทีวี คอม วิทยุ และสิ่งรบกวนอื่นๆ ตอนกินอาหารช่วง 2 อาทิตย์นี้
    • เตรียมอุปกรณ์ทุกอย่างที่ต้องใช้ในการกินอาหารไว้ที่โต๊ะตั้งแต่เริ่มกิน จะได้ไม่ต้องลุกไปไหนระหว่างมื้ออาหาร
    • เคี้ยวอาหารให้ละเอียด จดจ่อกับรสชาติและผิวสัมผัส
    • พิจารณาคุณค่าของอาหารในจาน เช่น ถ้ากินโจ๊ก หรือหมูปิ้ง ก็ให้นึกถึงขั้นตอนการปรุง กว่าจะมาเป็นโจ๊ก หรือแผ่เมตตาให้หมูและสัตว์อื่นๆ ที่กินเข้าไป
  6. เลิกสูบบุหรี่ ก็ช่วยลดห่วงยางรอบเอวได้. คนสูบบุหรี่อาจจะนึกว่าทำให้ผอมได้ แต่จริงๆ แล้วสิงห์อมควันทั้งหลายมักมีรอบเอวหนากว่าคนที่ไม่สูบ เพราะงั้นถ้าอยากให้เอวคอดเร็วๆ ก็เลิกสูบบุหรี่จะดีกว่า! [20]
    • ใช้ลูกอม หมากฝรั่ง หรือแผ่นแปะแทนบุหรี่ จะช่วยให้ร่างกายค่อยๆ ปรับตัว และเลิกนิโคตินได้ในที่สุด
    • สังเกตว่าอะไรเป็นตัวกระตุ้นให้คุณอยากสูบบุหรี่ แล้ววางแผนเอาชนะใจตัวเองและความอยากให้ได้ เช่น ถ้าปกติสูบบุหรี่ในรถ ให้เคี้ยวไม้จิ้มฟันหรือหมากฝรั่งแทน ให้ปากไม่ว่าง และ/หรือร้องเพลงโปรดเพื่อดึงความสนใจตัวเอง
  7. ถ้าตั้งใจจริงและมีวินัย ช่วง 2 อาทิตย์แรกมักจะลดรอบเอวได้หลายนิ้ว แต่หลังจากนั้นจะเริ่มไม่ค่อยเปลี่ยนแปลง ถ้าน้ำหนักเกินไปอย่างน้อย 7 กก. (15 ปอนด์) มักเห็นผลมากเป็นพิเศษในช่วง 1 - 2 อาทิตย์แรก หลังจากนั้นรอบเอวจะลงยากเหลือเกิน ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ อย่าชิงถอดใจซะก่อน! [21]
    • แก้ปัญหาระยะ plateau คือติดเพดาน น้ำหนักไม่ลดเพิ่ม โดยปรับเปลี่ยนพฤติกรรม (เช่น พิจารณาอาหารการกินและวางแผนออกกำลังกายใหม่โดยละเอียด) ลดแคลอรี่ และเพิ่มการออกกำลังกาย ช่วง 2 อาทิตย์แรกจะยังไม่เจอ plateau แต่ถ้าเกินกว่านั้น จะสังเกตว่าน้ำหนักเริ่มไม่ลดหลังครบ 1 เดือน
  8. เป็นใครก็ต้องตื่นเต้นเวลาเห็นตัวเลขที่ตราชั่งลดลงเรื่อยๆ แต่แค่เลขนั้นบอกไม่ได้ว่าคุณบวมน้ำหรือหนักไขมัน การชั่งน้ำหนักตัวเองทุกวันเป็นเวลา 2 อาทิตย์ ไม่ได้ช่วยให้น้ำหนักลดลง เพราะน้ำหนักจะลดหรือเพิ่มนั้นขึ้นอยู่กับอาหารและน้ำที่ร่างกายกักเก็บไว้ ให้ชั่งน้ำหนัก 2 - 3 วันครั้ง ตลอด 2 อาทิตย์นี้จะดีกว่า [22]
    • ไขมันตามต้นขา บั้นท้าย และแขนนั้นไม่น่าเป็นห่วงเท่า “พุงโตเพราะดื่มเบียร์” แน่นอน
    • วัดรอบเอว ด้วยสายวัดเพื่อเช็คว่าไขมันที่หน้าท้องลดลงหรือยัง ให้พันสายวัดรอบเอวระดับสะดือ (อย่าไปวัดตรงจุดที่คอดสุดของท้อง) และอย่าดึงสายวัดตึงหรือหย่อนเกินไป
    • ถ้าผู้หญิงรอบเอว 35 นิ้ว (90 ซม.) ขึ้นไป เป็นสัญญาณว่าต้องลดน้ำหนักแล้ว ส่วนผู้ชาย อย่าให้รอบเอวเกิน 40 นิ้ว (100 ซม.)
    โฆษณา

เคล็ดลับ

  • แนะนำให้ปรึกษาคุณหมอก่อนเปลี่ยนอาหารการกินและเริ่มออกกำลังกาย โดยเฉพาะถ้ามีโรคประจำตัว โรคเรื้อรัง หรือมีปัญหาเรื่องข้อต่อ คุณหมออาจแนะนำให้ออกกำลังกายในความดูแลของนักกายภาพบำบัด เพื่อป้องกันการบาดเจ็บ รวมถึงให้นักโภชนาการดูแลเรื่องอาหารด้วย
  • พยายามดื่มน้ำเยอะๆ ถ้าขาดน้ำ ร่างกายจะกักเก็บน้ำจนทำให้ตัวบวม เหมือนน้ำหนักเยอะได้
  • ลองใส่ผลไม้รสเปรี้ยวในขวดน้ำดื่ม ช่วยให้ได้วิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระ แค่ฝานผลไม้อย่าง ส้ม กีวี่ เลมอน หรือเกรปฟรุต เป็นชิ้นบางๆ แล้วแช่ในน้ำดื่ม
โฆษณา

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 116,298 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา